
ในวันที่ 21 กันยายนของทุกปี คือ “วันสันติภาพสากล” ซึ่งเป็นวันที่องค์การสหประชาชาติชวนให้คนทั้งโลกร่วมกันทบทวนว่า สันติภาพไม่ใช่เพียงการยุติความรุนแรง แต่คือการสร้างความเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจ และความร่วมมือกันในฐานะมนุษย์
ตลอดเส้นทางประวัติศาสตร์ เราได้ยินเสียงอันหนักแน่นของผู้นำทางความคิดและผู้สร้างแรงบันดาลใจมากมายที่ได้ฝากถ้อยคำชวนคิดเอาไว้ คำพูดเหล่านี้ไม่เคยเก่า เพราะตราบใดที่ยังมีความขัดแย้ง ความรุนแรง และสงคราม การรณรงค์เพื่อสันติภาพก็จะยังคงดำเนินต่อไป

ถ้อยคำที่ฝากไว้
เมื่อปี ค.ศ. 1964 มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ (Martin Luther King Jr.) ขึ้นเวทีรับรางวัลโนเบลสันติภาพ เขากล่าวไว้ว่า “Peace is not merely a distant goal that we seek, but a means by which we arrive at that goal.” สันติภาพไม่ใช่เพียงเป้าหมายปลายทางที่เราตามหา แต่คือเส้นทางที่จะพาเราไปถึงเป้าหมายนั้น
คำพูดนี้ทำให้เราเห็นว่า สันติภาพไม่ใช่การรอคอยวันที่ไม่มีสงคราม แต่คือการเลือกใช้ความสงบ การเจรจา และความเข้าใจเป็นเครื่องมือในการสร้างอนาคต

หลายสิบปีต่อมา เนลสัน แมนเดลา (Nelson Mandela) ก็ย้ำแนวคิดนี้ด้วยถ้อยคำที่ยังคงเป็นแรงบันดาลใจแก่คนทั่วโลกว่า “Courageous people do not fear forgiving, for peace is the weapon of the brave.” ผู้กล้าหาญไม่กลัวการให้อภัย เพราะสันติภาพคืออาวุธของผู้กล้า
นี่คือถ้อยคำที่ไม่เพียงสอนให้เราเลือกความสงบ แต่ยังบอกว่า การให้อภัยคือหนทางเดียวที่จะทำให้สังคมก้าวข้ามบาดแผลจากอดีตได้

ในโลกศิลปะ เสียงของ จอห์น เลนนอน (John Lennon) ก็ยังคงก้องอยู่จากบทเพลง Imagine ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของการเรียกร้องสันติภาพ “Imagine all the people living life in peace.” ลองจินตนาการถึงผู้คนทุกคนที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
ถ้อยคำและท่วงทำนองนี้ ทำให้เราเห็นถึงพลังของดนตรีและศิลปะที่ชวนให้เราสร้างภาพจำลองของสันติภาพ ขั้นแรกของการเดินสู่ถึงเป้าหมายนั้น

และในยุคสมัยใหม่ บารัค โอบามา (Barack Obama) ได้กล่าวในสุนทรพจน์รับรางวัลโนเบลสันติภาพปี 2009 ว่า “Peace is not merely the absence of visible conflict. Only a just peace based on the inherent rights and dignity of every individual can truly last.” สันติภาพไม่ใช่เพียงการไม่มีความขัดแย้ง แต่สันติภาพที่แท้จริงจะยั่งยืนได้ก็ต่อเมื่อมีความยุติธรรม และเคารพสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทุกคน และนี่คือเสียงสะท้อนที่เตือนเราว่า สันติภาพต้องยืนอยู่บนรากฐานของความยุติธรรม ไม่ใช่เพียงความเงียบสงัดชั่วคราว

Never Violence ต้นรากของสันติภาพ
หนึ่งในสุนทรพจน์ที่ทรงพลังที่สุดเกี่ยวกับการสร้างสันติภาพจากรากฐานเล็ก ๆ ของสังคม คือคำพูดของ แอสตริด ลินด์เกรน (Astrid Lindgren) นักเขียนชาวสวีเดนผู้สร้าง “Pippi Longstocking” เมื่อปี ค.ศ. 1978
แอสตริดกล่าวบนเวทีเมื่อรับรางวัลสันติภาพจากสมาคมผู้ค้าหนังสือเยอรมัน (German Publishers and Booksellers Association) ว่า “Never violence! Children are the future of peace.” ไม่เอาความรุนแรง! เด็กคืออนาคตของสันติภาพ
นี่คือความเชื่อมั่นแน่วแน่ของแอสตริด ว่าสันติภาพโลกเริ่มต้นที่บ้านและการเลี้ยงดูที่ปลอดจากความรุนแรง เพราะหากเด็กคนหนึ่งเติบโตขึ้นโดยไม่ถูกกระทำด้วยความรุนแรง เด็กคนนั้นก็จะไม่เคยเรียนรู้ที่จะใช้ความรุนแรงต่อใครเลย

หนังสือที่กำลังจะออกเดินทาง
เพื่อให้ถ้อยคำเหล่านี้กึกก้องในสังคมไทย สำนักพิมพ์ Barefoot Banana ร่วมกับ อุทยานการเรียนรู้ TK Park กำลังริเริ่มโครงการจัดพิมพ์สุนทรพจน์ Never Violence ฉบับภาษาไทย พร้อมบทกวีและคำนำจากเอกอัครราชทูตสวีเดนประจำประเทศไทย เพื่อเป็นอีกหนึ่งก้าวในการปลุกเสียงแห่งสันติภาพให้เดินทางข้ามพรมแดนภาษาและวัฒนธรรม
ในปี พ.ศ. 2568 นี้ ประเทศไทยได้แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567 โดยระบุ "ห้ามการลงโทษทางร่างกายและจิตใจต่อเด็กทุกรูปแบบ" ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศลำดับที่ 68 ของโลก ที่ประกาศยุติการใช้ความรุนแรงต่อเด็ก ซึ่งถือเป็นข่าวดีที่ควรค่าแก่การเฉลิมฉลอง เพราะไม่ใช่แค่กฎหมายที่เปลี่ยนไป แต่คืออนาคตของเด็ก ๆ ทุกคนที่จะเติบโตขึ้นในสังคมที่เข้าใจพวกเขามากขึ้น
เมื่อกฎหมายไทยขยับสู่มาตรฐานใหม่แล้ว สังคมก็จำเป็นต้องขับเคลื่อนตามไปด้วย สถาบันอุทยานการเรียนรู้ TK Park จึงร่วมกับสำนักพิมพ์หนังสือเด็ก Barefoot Banana Publishing ริเริ่มโครงการ Never Violence นำสุนทรพจน์ของ Astrid Lindgren มาจัดพิมพ์เป็นภาษาไทย
คุณแจน ณฐภัทร อุรุพงศา กล่าวกับ TK Park ว่า “ในฐานะสำนักพิมพ์หนังสือเด็ก Barefoot Banana Publishing เราเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดขึ้นเพียงในหน้ากฎหมาย แต่เริ่มต้นจาก หัวใจของครอบครัวและชุมชน เราจึงริเริ่มโครงการ Never Violence เพื่อนำสุนทรพจน์อันทรงพลังของ Astrid Lindgren มาถ่ายทอดเป็นภาษาไทย เพื่อเป็นแรงบันดาลใจแก่พ่อแม่ ครู และผู้ใหญ่ทุกคน ถึงความสำคัญของการเลี้ยงดูเชิงบวก ที่โอบอุ้มเด็กด้วยความเมตตา ความเข้าใจ และการเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของพวกเขา เราหวังว่าโครงการนี้จะจุดประกายให้เกิดบทสนทนาและความตระหนักร่วมกันในสังคม"
ในอีกไม่กี่เดือน หนังสือกว่า 1,500 เล่ม จะถูกส่งต่อไปยังศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โรงเรียนอนุบาล และโรงเรียนประถม โดยเฉพาะในพื้นที่เปราะบาง นอกจากนี้ยังมีการจัดทำ e-book และ audiobook เพื่อให้ถ้อยคำแห่งสันติภาพสามารถเดินทางไปได้กว้างที่สุด เข้าถึงผู้อ่านทุกวัยและทุกพื้นที่
การแปล Never Violence เป็นภาษาไทย จึงไม่ใช่เพียงการถ่ายทอดงานเขียนชิ้นสำคัญของแอสตริด ลินด์เกรน แต่คือการต่ออายุถ้อยคำแห่งสันติภาพ เพื่อให้เด็ก เยาวชน และผู้ใหญ่ในสังคมเรียนรู้ร่วมกันว่า สันติภาพเริ่มต้นได้ตั้งแต่รากฐานที่อ่อนโยนที่สุด ซึ่งก็คือที่หัวใจมนุษย์