คุยกับ ป๋าเต็ด ยุทธนา บุญอ้อม ในวันที่ไวรัสทำให้ธุรกิจบันเทิงหมดความบันเทิง
วงการบันเทิงเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบหนักหน่วงเอาเรื่องไม่แพ้วงการใดจากวิกฤติโรคระบาดที่ทั่วโลกต่างเผชิญ เพราะธุรกิจนี้มีขอบเขตที่กว้างใหญ่ ไม่ใช่เพียง ดารา ศิลปิน หรือนักร้อง เห็นเพียงหน้าจอเท่านั้น ยังมีทีมงานเบื้องหลัง คนจัดงานอีเวนต์ ไปจนถึงคนขับรถตู้ และอีกมากมาย ที่ต่างก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างถ้วนหน้า
กิจกรรม Re:learning for the Future 19 ความท้าทายใหม่ในโลกที่(ไม่)เหมือนเดิม สำหรับธุรกิจบันเทิง ชวนทุกคนไปคุยกับ คุณยุทธนา บุญอ้อม หรือที่ทุกคนรู้จักกันดีในนาม ‘ป๋าเต็ด’ พิธีกรและนักจัดรายการชื่อดังทั้งยังเป็นนักจัดอีเวนต์มากมาย เช่น เทศกาลดนตรีใหญ่แห่งปีอย่าง Big Mountain Music Festival ที่ทุกคนต่างรู้จัก ในเรื่องราวของ “ธุรกิจบันเทิงที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป”
ในวันที่ทุกอย่างต้องเปลี่ยนแปลง การรอคอยให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม ไม่น่าจะเป็นทางออกที่ดีในการรับมือกับวิกฤติที่โถมเข้ามา สำหรับธุรกิจบันเทิงนั้นกำลังปรับตัว รับมือ การเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นฐานะของผู้ชม ผู้ผลิต เราต่างต้องเรียนรู้พบเจอสิ่งใหม่กันต่อไป
“เวลาพูดถึงธุรกิจบันเทิงในส่วนที่ผมทำงานอยู่ ก็จะต้องโฟกัสไปที่ธุรกิจอีเวนต์ คอนเสิร์ต, มิวสิกเฟสติวัล หรือ อีเวนต์ในรูปแบบต่างๆ ขึ้นชื่อว่า อีเวนต์ ความสำเร็จก็คือเราสามารถรวบรวมผู้คนได้มากเท่าไหร่ยิ่งดี ดังนั้นจะเห็นได้ว่ามันขัดแย้งกับสิ่งที่วิถีชีวิตกำลังดำเนินอยู่ตอนนี้”
สุขอนามัยเรื่องสำคัญ
คุณยุทธนา กล่าวว่า ตั้งแต่เริ่มต้นโรคระบาดจนถึงตอนนี้ ผู้คนให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตแบบ Social Distancing รักษาระยะห่าง แม้ตอนนี้จะมีการปลดล็อกดาวน์ ผ่อนผันมาตรการสำหรับการเดินทางแล้วก็ตาม แต่ทุกสถานที่ต่างต้องอยู่กับความไม่เคยชิน
เมื่อวันที่ธุรกิจบันเทิง สามารถที่จะกลับมาจัดงานได้อีกครั้ง เราต้องพบเจอสิ่งใหม่มากมายแน่ๆ เรื่องหนึ่งที่เจอเลยคือ เรื่องของสุขอนามัย จะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ซึ่งในทุกอีเวนต์จะต้องคำนึงถึง แต่ก่อนเวลาที่เราจัดอีเวนต์ เราจะดูแลเรื่องของความปลอดภัยเป็นหลัก เช่น ต้องต่อแถวยังไงไม่ให้เบียดเสียดกัน หรือ อยู่ในคอนเสิร์ตอย่างไรให้ปลอดภัย
เรื่องสุขอนามัยเราอาจจะไม่ได้พูดถึงมาก แต่ในปัจจุบันไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว เราต้องป้องกันเรื่องสุขอนามัยเป็นลำดับแรกเลย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ที่จะเข้าร่วมงาน เราต้องมั่นใจได้ว่าในงานนั้นจะมีการคัดกรองอย่างดี ใช้น้ำยาฉีดฆ่าเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพมากแค่ไหน ซึ่งสิ่งนี้กลายเป็น new normal ไปแล้วแน่ๆ เพราะฉะนั้นเรื่องสุขอนามัยจะกลายเป็นหนึ่งในมาตรฐานที่จะเกิดขึ้นในธุรกิจอีเวนต์แน่นอน หน้ากากอนามัยจะกลายเป็นแฟชั่นที่เราพกติดตัวไปตลอดต่อจากนี้ไป
“ผมเป็นคนทำอีเวนต์ แต่ก่อนผมจะมีความเชื่อว่า ไม่ว่าอย่างไร การทำอีเวนต์หนึ่งงานคือ การที่ผู้คนต้องมาพบปะกัน เราจะไม่เชื่อว่า Online event หรือ Virtual concert จะสามารถมาแทนที่คอนเสิร์ตจริงๆ ได้ แต่ ณ วันนี้เราอาจจะคิดแบบนั้นอีกไม่ได้แล้ว"
“วิธีคิดของเราอาจจะต้องปรับเพื่อมองหาว่า ออนไลน์คอนเสิร์ตนั้นมีดีอะไร ออนไลน์อีเวนต์มันดียังไง หรือ อะไรก็ตามที่การออฟไลน์ไม่สามารถทำได้ ซึ่งสิ่งนี้จะได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องต่อไปแน่นอน โควิด-19 เป็นเหมือนตัวเร่งให้ Online event หรือ Virtual concert พัฒนาเร็วขึ้นไปอีก สิ่งใหม่ๆ เหล่านี้ก็เป็นเรื่องของโอกาสต่างๆ ที่ตามมา”
คอนเสิร์ตออนไลน์
ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถเดินทางไปคอนเสิร์ตแบบสามารถกระโดดร้องเพลงกับเพื่อนได้ การจัดคอนเสิร์ตออนไลน์จึงเป็นตัวเลือกหลักที่ทุกค่ายเพลง หลากหลายวงดนตรีกำลังมุ่งเข้าหา คอนเสิร์ตแบบที่ว่า ได้เกิดขึ้นแล้วในทั่วโลก และในไทยก็เพิ่งเกิดงานคอนเสิร์ตออนไลน์ขึ้นจาก 2 วงดนตรีแห่งยุค
สองคอนเสิร์ตที่คล้ายกันแต่ต่างกันคนละขั้วในแง่ที่ว่า คอนเสิร์ตที่หนึ่งของวงดนตรี whal & dolph นั้นใช้วิธี Live streaming โดยการออกแบบสตูดิโอที่ทำให้ผู้ชม 1,000 คน เข้ามามาชมคอนเสิร์ตร่วมกันได้ แต่ว่าเป็นการอยู่ร่วมกันในต่างจอ (ให้ลองนึกถึงการประชุมผ่านแอปพลิเคชัน zoom) ทำให้ทั้งวงดนตรีและผู้ชมได้มีประสบการณ์แปลกใหม่ร่วมกันในการชมคอนเสิร์ตออนไลน์ครั้งนั้น
อีกหนึ่งงานเป็นของ นักร้อง นักแต่งเพลงชื่อว่า แสตมป์ อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข เมื่อต้องเป็นคอนเสิร์ตออนไลน์ก็ไม่จำเป็นต้องสร้างเวทีเพื่อแสดง แต่ใช้เรื่องของเทคโนโลยีเข้ามาช่วย เช่น การใช้คอมพิวเตอร์กราฟิกหรือการสร้างภาพเหนือจริงทั้งหลาย ทำให้แสตมป์สามารถนั่งเล่นคอนเสิร์ตอยู่ที่ไหนก็ได้ (ให้ลองนึกถึงรายการข่าวในสมัยนี้ที่มี Visual studio) เป็นการพยายามคิดว่า ออนไลน์คอนเสิร์ตไม่ต้องเป็นเหมือนคอนเสิร์ตจริงก็ได้ ในเมื่อเป็นออนไลน์ก็เลือกทำในสิ่งที่คอนเสิร์ตปกติทำไม่ได้ไปเลย สองงานนี้เป็นตัวอย่างของการเริ่มต้นปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของแวดวงดนตรีบ้านเรา ซึ่งน่าจะมีกรณีศึกษาไว้สำหรับปรับปรุงแก้ไขและต่อยอดงานอื่นๆ ให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
ทางฝั่งต่างระเทศเองก็มีคอนเสิร์ตออนไลน์ที่ทั่วโลกพูดถึงกันหนาหู จงหยิบมาเป็นกรณีศึกษา และ อาจใช้เป็นต้นแบบในการพัฒนาแนวทางอื่นๆ ต่อไป นั่นคือการแสดงคอนเสิร์ตออนไลน์ของศิลปินฮิปฮอปชาวอเมริกาที่ชื่อว่า ทราวิส สก็อตต์ (Travis Scott) โดยใช้รูปแบบการจัดคอนเสิร์ตในเกมชื่อดังอย่าง ฟอร์ทไนท์ (Fortnite) เกมเมอร์หรือว่าผู้ชมที่เล่นเกมนี้จะมีอวตาร (avatar) ตัวตนจำลองที่จะเข้าไปอยู่ในเกม ไปรวมตัวกันเพื่อพบเจอกันในเกม เมื่อถึงเวลา ศิลปินฮิปฮอปเปิดตัวด้วยอุกาบาตลูกใหญ่ที่พุ่งลงมาระเบิดบนดินแดนเสมือนนั้น ปรากฏเป็นอวตารตัวยักษ์ของทราวิส สก็อตต์ออกมาทำการแสดง ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่จะมีโอกาสใหม่ๆ เกิดขึ้น จากการมองข้ามข้อจำกัดที่มี
“จากสิ่งที่ผมยกตัวอย่างไป สองออนไลน์อีเวนต์ที่เกิดขึ้นในไทย จากแนวคิดที่แตกต่างกัน สำหรับผมนั้นถือว่า เป็นสิ่งใหม่ที่น่าสนใจทั้งคู่ แล้วก็น่าจะเป็นวิธีการจุดประกายให้ผู้คนที่ทำงานอีเวนต์อีกมากมายเอาไปคิดต่อว่าจะเกิดอะไรขึ้นได้อีกบ้าง”
อีกหนึ่งสิ่งที่เปิดโอกาส ทั้งศิลปินหรือผู้จัด คือ การที่เราสามารถทำอะไรกับช่องทางออนไลน์ได้ มันทำลายข้อจำกัดไปหลายอย่างเหมือนกัน อย่างเช่น เมื่อก่อนจะจัดคอนเสิร์ตสักงาน จะต้องมีคนดูเยอะๆ ถึงจะคุ้มสำหรับค่าทำฉาก ต้องเสียค่าเช่าอีเวนต์ที่อาจมีต้นทุนที่ค่อนข้าสูง แต่การเข้ามาของการจัดแบบออนไลน์ ทำให้เราพบว่า ไม่จำเป็นต้องไปเช่าสถานที่ที่คิวแน่นๆ หรือมีราคาแพง ก็สามารถจัดงานได้แล้ว สามารถพลิกแพลงอะไรได้อีกมากมาย ซึ่งต่างๆ เหล่านี้ค่อนข้างเปิดช่องให้เกิดอะไรใหม่ๆ ขึ้นมาได้อย่างแน่นอน
ในเมื่อทำแบบเดิมไม่ได้ ก็ต้องหาวิธีอื่นมาทำ ซึ่งก็ทำให้ผมคิดถึงปรัชญาในการทำงานที่ผมยึดถือมาเสมอ คือ อุปสรรคจะก่อให้เกิดไอเดียที่ดีเสมอ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราสะดวกสบาย ความคิดเจ๋งๆ ก็อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นมา ถ้าเมื่อไหร่เกิดภาวะที่ทำให้เราต้องดิ้นรนจะทำให้เราเกิดไอเดียอะไรใหม่ตามมาอีกมากมาย
ถ้าโควิดไม่จากไป
“ผมว่าผมพูดแทนคนทำอีเวนต์ทั้งหมดได้เลย เพราะว่าวิธีคิดของพวกเราตอนนี้ เราจะทำควบคู่กันไป แต่ว่าจะอยู่บนพื้นฐานของการทำวันนี้ให้ดีที่สุดเหมือนเดิม หมายความว่า เราจะคิดเรื่องไกลกับใกล้ไปพร้อมๆ กัน เราไม่สามารถดีไซน์ทุกอย่างโดยการเดาว่า เมื่อถึงวันนั้นแล้วสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ซึ่งไม่มีทางเดาได้ เพราะสถานการณ์นั้นเปลี่ยนทุกวัน ดังนั้นก็จะมีสองแผนควบคู่กันไป
แผนที่หนึ่งคือ ทุกอย่างเป็นปกติ เราก็ดีไซน์เป็นบิ๊กเมาเท่นแบบปกติไว้ แต่ในขณะเดียวกันเราก็จะคิดว่า มาตรการเรื่องสุขอนามัยต้องเพิ่มขึ้น เราาจะต้องเตรียมอะไรไว้บ้าง เพราะฉะนั้นการจัดคอนเสิร์ตอย่าง drive in หรือ จัดในพื้นที่ปิดที่ต้องเว้นระยะห่างระหว่างคนดูก็มีความเป็นไปได้ หรือ ปีนี้ทั้งปีต้องจัดคอนเสิร์ตออนไลน์ไปเลยอย่างเดียวก็มีโอกาสเป็นไปได้ทั้งหมด และผมก็เชื่อว่า ทุกอุตสาหกรรมก็คงจะมีวิธีคิดคล้ายๆ กัน คือ คิดแบบไกลและใกล้ควบคู่กันไป เราไม่สามารถทิ้งวิธีใดวิธีนึงได้ เพราะเราต้องอยู่กับสถานการณ์ที่ไม่เคยเจอมาก่อน เราอยู่กับสถานการณ์ที่มีเงื่อนไขใหม่เกิดขึ้นมาทุกวัน
วิกฤติครั้งนี้สอนให้เรารู้ว่าความสามารถในการทำงานที่หลากหลาย เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เราไม่สามารถที่จะอยู่รอดด้วยทักษะเพียงอย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว เพราะเราไม่รู้เลยว่า วันดีคืนดี ทักษะบางอย่างอาจไม่จำเป็นอีกต่อไปหรือทักษะบางอย่างไม่สามารถที่จะดำรงอยู่ได้ในสภาวะบางสภาวะ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สอนให้เราได้รู้
คำว่าการอยู่ได้ด้วยการทำอะไรหลายๆ อย่างหรือการเพิ่มพูนทักษะ ไม่ได้แปลว่าต้องพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ การทำอีเวนต์คือการรวมคนให้มาอยู่ร่วมกัน แต่ในสถานการณ์ที่ทำแบบนั้นไม่ได้ เราอาจต้องพลิกมุมความคิด ทำอย่างไรผู้คนจะได้รับความบันเทิงจากศิลปินที่เขาชื่นชอบได้ โดยอยู่บนพื้นฐานข้อจำกัดที่ต้องเผชิญ ซึ่งก็มีตัวอย่างให้เห็นแล้ว หลายอย่างเกิดจากแค่พลิกมุมคิดนิดเดียว
“สิ่งหนึ่งที่ทุกคนต้องยอมรับคือ มันจะไม่มีสิ่งที่เหมือนเดิมแล้ว ถึงแม้มันจะกลับมาแต่มันจะไม่ปกติ คำว่า new normal นั้นมีอยู่จริง ดังนั้นเราต้องยอมรับอีกว่า บางสิ่งบางอย่างจะหายไป บางสิ่งบางอย่างจะไม่จำเป็น บางสิ่งบางอย่างเราจำเป็นต้องทำให้เป็น จำเป็นต้องคิดให้เป็น เราจำเป็นต้องเข้าใจมัน มิเช่นนั้นเราก็จะอยู่กับความปกติแบบใหม่นี้ไม่ได้”