
หนังสือก็เล่มเดิม แต่ตัวเราที่เปลี่ยนไป
ที่อุทยานการเรียนรู้ TK Park มีหนังสือมากมายให้บริการยืมอ่าน และบ่อยครั้ง เราพบว่าหนังสือบางเล่มแม้มีอายุหลายทศวรรษ ก็ยังคงความคลาสสิก มีผู้คนแวะเวียนมาอ่านและยืมกลับบ้านอยู่เสมอ
ว่ากันว่าหนังสือหลายเล่ม ยิ่งตัวผู้อ่านเติบโตขึ้น ความเข้าใจและความหมายของหนังสือเล่มนั้นก็ยิ่งเปลี่ยนตาม หนังสือเล่มเดิมที่เคยอ่านไม่จบหรือไม่เข้าใจ วันนี้กลับได้ความหมายใหม่ เข้าใจได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น หรือข้ามพ้นหนังสือเล่มนั้นไปแล้วก็ได้ ซึ่งก็อยู่ที่ผู้อ่านคนนั้น ๆ ตัดสินเอง
สำหรับหนังสือ 5 เล่มนี้ นักอ่านท่านหนึ่งแนะนำกับ TK Park ว่าเป็นหนังสือดีที่ควรอ่าน และถ้าใครอ่านแล้ว ก็แนะนำว่าให้อ่านซ้ำเรื่อย ๆ ควบคู่ไปกับจังหวะชีวิตในแต่ละช่วง

1) ต้นส้มแสนรัก (Meu Pé de Laranja Lima) โดย โจเซ่ เมอโร เดอ วาสคอนเซลอส (ดูสถานะที่ TK Park↗)
หลายคนอาจะเคยอ่าน “ต้นส้มแสนรัก” วรรณกรรมเยาวชนสัญชาติบราซิลเล่มนี้มาก่อน ซึ่งได้รับการตีพิมพ์มายาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ และได้รับการแปลไปมากกว่า 30 ภาษา เพราะหลายโรงเรียนมักจะหยิบยกมาเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาในชั้นเรียน
หนังสือเล่มนี้ว่าด้วยเรื่องราวของ ‘เซเซ่’ เด็กชายผู้เติบโตมาในครอบครัวที่โหดร้าย ผ่านเรื่องราวสุข ทุกข์ อาศัยการสร้างโลกจินตนาการเพื่อหลีกหนีความเจ็บปวด จุดนี้น่าจะทำให้ผู้อ่านที่เป็นเด็กได้เรียนรู้เกี่ยวกับชีวิต และรับรู้ถึงอารมณ์ของคนวัยเดียวกัน แต่นอกจากเด็ก ๆ แล้ว หนังสือเล่มนี้ก็ทำงานกับผู้ใหญ่ได้ทรงพลังไม่แพ้กัน เพราะหลายคนกล่าวว่า ผู้ใหญ่ก็อาจเป็นเพียงเด็กคนเดิมที่ตัวโตขึ้นเท่านั้นเอง
ดังนั้น เราทุกคนอาจเป็นเหมือนเซเซ่ ที่แม้จะโตขึ้นแค่ไหน ก็หลีกเลี่ยงความจริงของชีวิตไม่ได้ และด้วยความเป็นผู้ใหญ่ เรื่องที่รับผิดชอบก็ใหญ่ขึ้น จริงจังขึ้น และอาจไม่มีใครเข้าใจเราเช่นเดียวกับที่เซเซ่ต้องเผชิญ ทว่า ต้นส้มแสนรักกลับบอกกับเราว่า ชีวิตก็เป็นเช่นนี้ มีความสุขเศร้าที่ต้องเผชิญแตกต่างกันไป แต่เมื่อใดที่เราไม่สามารถรับมือกับทุกเรื่องได้ การสร้างโลกจินตนาการเพื่อหลบหนีความเจ็บปวดเป็นครั้งคราวก็อาจไม่ใช่เรื่องผิด
และที่สำคัญ การกลับมาอ่านหนังสือเล่มนี้ในวัยผู้ใหญ่ อาจช่วยให้เราย้อนพิจารณาตัวเองอย่างถ่องแท้ว่า ตัวเราเองได้เติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่คนที่เราไม่ชอบเมื่อครั้งเป็นเด็กหรือเปล่า

2) วินนีเดอะพูห์ (Winnie the Pooh) โดย เอ.เอ. มิลน์ (ดูสถานะที่ TK Park↗)
เมื่อครั้งเป็นเด็ก เราอาจเคยตกหลุมรักเจ้าหมีตัวสีเหลืองอ้วนกลมในชุดสีแดง ที่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไปกับการกินน้ำผึ้ง และผจญภัยในป่าร้อยเอเคอร์ร่วมกับผองเพื่อน แต่เมื่อโตแล้วและได้กลับมาอ่านเรื่องราวของ วินนี เดอะ พูห์ อีกครั้ง หลายคนพบว่าความคิดเรียบง่ายไม่ซับซ้อนของเจ้าหมีในวรรณกรรมคลาสสิกเรื่องนี้ กลับชุบชูใจได้อย่างประหลาด
อาจเพราะยิ่งโตเป็นผู้ใหญ่ สิ่งที่เราต้องเผชิญในชีวิตก็ยิ่งซับซ้อนมากขึ้น มุมมองที่เรามีต่อสิ่งรอบตัวจึงเต็มไปด้วยความระแวดระวัง จนลืมที่จะเสาะหาและกักเก็บความสุขในชีวิต การกระทำของพูห์และผองเพื่อน ที่ดูเผิน ๆ เหมือนคนที่ใช้ชีวิตแบบไม่คิดอะไร แต่กลับซ่อนปรัชญาการดำเนินชีวิตที่ลึกซึ้งไว้ จึงกระทบใจและสะกิดเตือนเราให้หันมามองชีวิตในอีกแง่มุมที่เราอาจไม่เคยมอง
ตัวอย่างเช่น ประโยคที่พูห์บอกว่า “นายไม่สามารถนั่งเฉย ๆ อยู่ที่มุมหนึ่งของป่า แล้วรอให้ใครเดินเข้ามาหาอย่างเดียวได้หรอกนะ นายต้องเดินออกไปหาพวกเขาด้วย” ประโยคง่าย ๆ ที่ทำให้เราย้อนนึกถึงความสัมพันธ์ในชีวิต เพราะในขณะที่ผู้ใหญ่มักทำให้การสานสัมพันธ์เป็นเรื่องซับซ้อน และต้องใช้กลยุทธ์ในการบริหาร แต่ความจริงแล้ว หากเราคิดถึงใคร เราก็แค่เปิดใจและก้าวออกไปก่อนอย่างไม่ต้องลังเล แล้วการสานสัมพันธ์ก็อาจกลายเป็นเรื่องแสนง่าย

3) เจ้าชายน้อย (Le Petit Prince) โดย อ็องตวน เดอ แซ็งแตกซูว์เปรี (ดูสถานะที่ TK Park↗)
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เคยได้อ่านวรรณกรรมชื่อดังจากฝรั่งเศสเรื่องนี้ในวัยเด็ก เราเชื่อว่าคุณคงยังจำเรื่องราวการเดินทางของเจ้าชายน้อย และปฏิสัมพันธ์ของเขากับดอกกุหลาบ สุนัขจิ้งจอก ดาว B612 และตัวละครแปลก ๆ บนดาวดวงต่าง ๆ ได้ไม่รู้ลืม เพียงแต่เมื่อคุณเติบโตขึ้น แล้วได้ย้อนกลับมาอ่านวรรณกรรมทรงคุณค่านี้อีกครั้ง อาจพบว่าหลายวรรคตอนที่คุณเคยไม่เข้าใจ บทสนทนาที่ฟังดูเรียบง่ายจนอ่านข้ามไป หรือคำพูดที่ชวนเข้าใจยาก อาจเริ่มเข้าใจมันได้มากขึ้น
เพราะแม้หนังสือเล่มนี้จะอยู่ในหมวดวรรณกรรมเยาวชน แต่ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าหนังสือเล่มนี้ทำงานกับผู้อ่านที่เป็นผู้ใหญ่ได้ดีเสียยิ่งกว่ากับคนวัยเยาว์ โดยเฉพาะแก่นเรื่องที่เป็นหัวใจหลักของเล่ม ‘เราจะมองเห็นแจ่มชัดด้วยหัวใจเท่านั้น สิ่งสำคัญนั้นไม่อาจเห็นได้ด้วยดวงตา’
เมื่อเราเติบโตขึ้น แล้วพบว่าหลายครั้งโลกนี้ขับเคลื่อนด้วย ‘มูลค่า’ มากกว่า ‘คุณค่า’ เราอาจเผลอพิจารณาความคุ้มค่าของทุกอย่างโดยเฉพาะความสัมพันธ์อยู่ตลอดเวลา ทำให้ความสัมพันธ์ในยุคนี้เต็มไปด้วยความฉาบฉวย เปลี่ยวเหงา และบางครั้ง เราก็อาจเผลอมองข้ามความรักความหวังดีจากคนสำคัญในชีวิตเราไปอย่างน่าเสียดาย การได้กลับมาอ่านหนังสือเล่มนี้อีกครั้ง นอกจากจะช่วยปลุกจินตนาการวัยเยาว์แล้ว ยังช่วยให้เราได้หันมาทบทวนและชวนรักษาความสัมพันธ์ล้ำค่ากับคนรอบตัวอีกด้วย

4) ชาร์ล็อตต์ แมงมุมเพื่อนรัก (Charlotte's Web) โดย อี.บี. ไวท์ (ดูสถานะที่ TK Park↗)
นี่คือหนึ่งในวรรณกรรมที่ได้รับการยกย่องให้เป็นวรรณกรรมเด็กและเยาวชนที่ดีที่สุดตลอดกาล แต่ไม่ว่าจะในช่วงเวลาไหนในชีวิต คุณก็สามารถอ่านและประทับใจกับหนังสือเล่มนี้ได้
แม้หนังสือเล่มนี้จะเล่าถึงเรื่องราวมิตรภาพของสัตว์ในฟาร์มที่ช่วยเหลือกัน ทว่า ระหว่างบรรทัดกลับพูดถึงเรื่องราวที่คนทุกคนต้องเผชิญในชีวิต ซึ่งก็คือ ‘ความตาย’ เพราะตั้งแต่ต้นเรื่อง แมงมุมเพื่อนรักได้ช่วยปกป้อง วิลเบอร์ หมูตัวหนึ่งในฟาร์มเอาไว้ ไม่ให้ต้องถูกส่งไปเชือดเหมือนสัตว์ตัวอื่น ๆ จนกระทั่งถึงตอนท้ายของเรื่องที่ความตายวนเวียนกลับมาอีกครั้งราวกับจะบอกเราว่านี่คือสิ่งแน่นอนที่ชีวิตต้องเผชิญ
ความแก่ชราและการการสูญเสียนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ เรื่องราวของวิลเบอร์และชาร์ล็อตต์ จึงช่วยเตรียมใจให้เราเห็นว่าสุดท้ายแล้วไม่มีใครที่หนีความตายได้พ้น แต่ขณะเดียวกัน หนังสือเล่มนี้ก็บอกเราด้วยว่าชีวิตและมิตรภาพคือของขวัญล้ำค่าที่กาลเวลาไม่อาจเอาชนะ

5) ความสุขของกะทิ โดย งามพรรณ เวชชาชีวะ (ดูสถานะที่ TK Park↗)
ความสุขไม่มีสูตรสำเร็จ แต่กว่าคนเราจะได้เรียนรู้ความจริงข้อนี้อย่างถ่องแท้ ก็อาจจะต้องใช้เวลาและพบเรื่องราวมากมาย และหนังสือแนะนำเล่มสุดท้ายนี้ คือ ‘ความสุขของกะทิ’ วรรณกรรมเยาวชนรางวัลซีไรต์จากปลายปากกานักเขียนไทย งามพรรณ เวชชาชีวะ
เรื่องราวว่าด้วย กะทิ เด็กหญิงวัย 9 ขวบที่โตมากับตาและยายในบ้านริมคลองอันแสนอบอุ่น แล้วกะทิก็ได้เจอกับแม่ที่เคยทิ้งเธอไปตั้งแต่เด็ก แต่การพบกันครั้งนี้ช่างแสนสั้น เพราะแม่ของเธอกำลังจะจากไปด้วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เมื่อแม่จากไป กะทิก็ต้องเผชิญกับทางเลือกอีกครั้ง ว่าอยากจะทำความรู้จักกับพ่อผู้ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนในชีวิตหรือเปล่า
การอ่านหนังสือเล่มนี้ในวัยเด็ก อาจทำให้หลายคนสงสัยในทางเลือกและวิธีคิดของกะทิ แต่เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้วย้อนมองกลับไป สิ่งที่กะทิเลือกก็อาจสมเหตุสมผล ซึ่งถ้าเป็นตัวเรา ก็อาจตัดสินใจไปในทางเดียวกันนั้น แล้วได้พบกับความสุขเช่นเดียวกับกะทิก็เป็นได้
สร้างสรรค์โดย Jaruwan C. และ TK Park