
อยากฟังเพลงไทย หรือเพลงสากลดีนะ ‘ลองเปลี่ยนคลื่นวิทยุหน่อย’ ประโยคนี้คงไม่ค่อยคุ้นหูแล้วในโลกยุคดิจิทัลที่มีเทคโนโลยี แอปพลิเคชันมารับรองทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต จะฟังเพลงทีก็แค่คลิกเข้ายูทูป หรือสตรีมมิงเพลงก็ได้แล้ว แถมยังเต็มไปด้วยแนวดนตรีที่หลากหลาย บ่งบอกว่าเราอยู่ในโลกที่เปิดกว้างมาก
สังเกตจากเพื่อนร่วมวงสนทนาก็ได้ ถ้าให้พูดถึงเพลงที่ชอบของแต่ละคน แน่นอนว่าไม่กี่นาทีต่อมา เราจะได้ยินสไตล์เพลงที่แตกต่างมากมาย จนเก็บเป็นเพลย์ลิสต์กันแทบไม่ทัน แต่ถ้าย้อนกลับไปเมื่อกว่า 10 ปีก่อน ในยุคอนาล็อกที่การฟังเพลงไม่ได้ขึ้นอยู่การสตรีมมิง แต่เป็นการเปิดจากตลับเทป แผ่นซีดี หรือไม่ก็แผ่นเสีย แต่ที่นิยมสุดคือการฟังเพลงตามคลื่นวิทยุต่างๆ ซึ่งมักเป็นเพลงในกระแสที่กำลังได้รับความนิยม ทำให้การฟังเพลงไม่ได้กว้างมากหากเปรียบกับปัจจุบัน แต่แล้วก็มีผู้ที่เปลี่ยนวิถีวงการเพลงไทย จนได้รับฉายาว่า ‘ตัวพ่อแห่งวงการเพลงอินดี้รุ่นบุกเบิก’
หนึ่งในคลื่นวิทยุยอดฮิตในอดีตอย่าง ‘Fat Radio’ กับนิยามรายการวิทยุที่เลือกเปิดแต่เพลงใหม่ๆ ที่อาจไม่คุ้นหู แต่กลายเป็นพื้นที่สำคัญของวงดนตรีมากมายได้โชว์ผลงาน หลายวงกลายมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในปัจจุบัน อย่างวงอพาร์ตแมนต์คุณป้า วง Scrubb จ๋อง - พงศ์นรินทร์ อุลิศ จะมาเผยเหตุผลที่เปิดเพลงไม่แมส รวมถึงการแลกเปลี่ยนวิถีความคิดต่อโลกยุคนี้ที่มีพร้อมเกือบทุกอย่าง เต็มไปด้วยความหลากหลายว่า เราจำเป็นต้องพร้อมไปสิ่งเหล่านี้ด้วยจริงไหม?

จุดพลิกผันเมื่อทำรายการ Fat Radio
ก่อนจะมาก่อตั้งแและบริหาร Cat Radio ในปัจจุบัน จ๋องเคยเป็นนักข่าวอยู่ช่วงหนึ่ง จนกระทั่งเข้ามาทำงานที่คลื่นวิทยุ Fat Radio ในปี 2542 นับว่าเป็นจุดพลิกผันในชีวิต เพราะท่ามกลางคลื่นวิทยุที่มักนิยมเปิดเพลงยอดฮิตติดหูกันทั่วบ้านทั่วเมือง ทำให้แนวเพลงหรือทางเลือกของการฟังเพลงในช่วงนั้นค่อนข้างจำกัดเกินไป จ๋องเลือกทำสิ่งที่แตกต่าง นั่นคือ ‘เปิดเพลงที่ไม่มีใครฟัง’
เขาตั้งใจนำเสนอเพลงนอกกระแส เพื่อเปิดโลกการฟังเพลงของคนไทยให้กว้างขึ้น ไม่ต้องจำกัดอยู่แนวเพลงใดแนวหนึ่ง อีกทั้งต้องการสนับสนุนศิลปินหน้าใหม่ที่มีผลงานดี แต่ขาดโอกาสและพื้นที่ในการแสดงศักยภาพ แต่ผลตอบแทนความตั้งใจของเขา นั่นคือ “แทบไม่มีใครฟัง” จ๋องเล่าไปหัวเราะไป แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาท้อแท้ถอดใจแต่อย่างใด เพราะการเปิดเพลงนอกกระแสไม่ได้เป็นเพียงแค่ความตั้งใจ แต่เพราะเป็นสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบด้วย เขาจึงยังยืนหยัดที่จะเปิดเพลงไม่ฮิตต่อไป
จากนั้น เขาลองจัดเทศกาลดนตรี Fat Festival ในปี 2544 โดยเปิดโอกาสให้ศิลปินหน้าใหม่ที่เริ่มเป็นที่รู้จักแล้ว ทำให้คนฟังเพลงเริ่มสนใจแนวดนตรีใหม่ๆ และศิลปินเองก็ได้รับความนิยมมากขึ้น รวมถึง Fat Radio เองก็ได้ขยายกลุ่มคนฟังให้กว้างขึ้น เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จ เขาจึงสานต่อการจัดเทศกาลดนตรีนี้อย่างต่อเนื่องมานานกว่า 10 ปี

สวัสดี Cat Radio
หลังทุ่มเทให้ Fat Radio กว่า 10 ปี จ๋องขอลาออก ทำให้คลื่นต้องปิดตัวลง แต่เพราะความชอบและความตั้งใจที่แปรเปลี่ยนเป็นอุดมการณ์อันแข็งแกร่ง นักจัดรายการวิทยุหนุ่มอินดี้ตัวพ่อผู้นี้จึงไม่ขอหยุดอยู่แค่นั้น เขาก่อตั้งคลื่นใหม่ในชื่อ Cat Radio พ่วงด้วยสโลนแกนคือ ‘โตโต แมวแมว’
จ๋องอธิบายเพิ่มเติมว่า ครั้งนี้จะได้เห็นสิ่งใหม่ที่กว้างกว่าขึ้นและสนุกกว่าเดิม ปัจจุบัน Cat Radio เป็นคลื่นวิทยุออนไลน์ และยังมีแอปพลิเคชันให้ดาวน์โหลดฟังได้สะดวกสบาย เน้นเปิดเพลงศิลปินไทยสากลตลอด 24 ชั่วโมง และยังเป็นพื้นที่ให้ศิลปินได้โชว์ความสามารถ อีกทั้งยังมี Cat Expo เทศกาลดนตรีเพื่อแฟนเพลงทุกกลุ่มทุกวัย จากวันที่ไม่มีใครฟังเพลงที่เขาเปิดจนถึงวันนี้ที่ผู้คนฟังเพลงหลากหลายขึ้น กลุ่มคนฟังรายการของเขาก็มีทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ปะปนกันไป
แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนคือคำนิยามที่ทุกคนพร้อมใจยกให้เขาเป็น ‘คนอินดี้’ ที่เท่ ไม่เหมือนใคร ในขณะที่เจ้าตัวเองรู้สึกว่า “จริงๆ เหนื่อยมาก ต้องอดทนและใช้เวลา แต่เพราะเราชอบ ถ้าทำงานแล้วรวย อยากรวยจากการทำสิ่งที่ชอบ อยากรวยจากเพลงที่ไม่มีเปิด ไม่ได้อยากรวยจากการทำอย่างอื่น”

ทุกวันนี้ยังมีคนฟังคลื่นวิทยุอยู่ไหม จ๋องเองก็ไม่แน่ใจในคำตอบ และยังหาคำตอบไม่ได้ด้วย เขามองบริบทวิทยุในปัจจุบันนี้ว่าได้กลายเป็นมีเดียของคนแก่เสียแล้ว ด้วยความที่มียูทูปและสตรีมมิงที่เลือกเปิดฟังเพลงได้ทุกเวลาที่ต้องการ ซึ่งตอบโจทย์คนฟังมากกว่า “เราเลยต่อยอดด้วยการเอารายการวิทยุ Cat Radio มาอยู่ในอินเทอร์เน็ต ซึ่งก็ไม่รู้ว่าถูกต้องไหม เพราะเมื่อก่อนเราอยู่ได้ด้วยคอนเทนต์ เปิดเพลงที่ชาวบ้านไม่รู้จักก็เหนื่อยมากแล้ว ยังต้องมีอยู่ในอินเทอร์เน็ต ซึ่งในเน็ตเน้นดู ไม่ได้เน้นฟัง แต่ก็มี Podcast ที่คนรุ่นใหม่ชอบฟังนี่น่า แต่ก็ยังรู้สึกว่าไม่ค่อยมีใครฟัง Cat radio เท่าไหร่ เลยยังตอบคำถามนี้ไม่ได้ ยังเป็นโจทย์ที่น่าคิดอยู่นะ ส่วนตัวมองว่านี่เป็นทางเลือก ใครชอบฟังเพลงที่มีคนแนะนำให้ ก็เปิดเพลย์ลิสต์ได้ แต่ถ้าชอบฟังที่มีคนออกมาพูด มานำเสนอที่มาของเพลงนี้ เพราะอะไรทำไมเพลงนี้ถึงเจ๋ง นักดนตรีคนนี้เก่งยังไง ก็เลือกฟังวิทยุ ซึ่งเรามองว่านี่คือคุณค่าของการฟังวิทยุด้วยนะ และเชื่อว่ารายการเราเจ๋ง ดีเจเก่งและมีความหลากหลายนะ”

ชีวิตที่ไหลไปกับคำชักชวน กว่าจะค้นพบความชอบ
ย้อนกลับไปช่วงวัยเรียน จ๋องฝันอยากทำอาชีพต่างๆ ถ้าเขาสนใจอะไร แค่มองตาแวบเดียวก็เห็นถึงความมุ่งมั่นที่ชัดเจนมากทำให้ใครๆ คิดว่าเขาน่าจะเป็นคนมีเป้าหมายมาตั้งแต่เด็ก แต่ใครจะรู้แท้จริงแล้วจ๋องเป็นอีกคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองอยากเป็นอะไร
“เราชอบอ่าน ชอบเขียน เลยคิดแค่ว่าวันนึงฉันอาจจะเป็นนักเขียน แต่ถึงไม่ได้เป็น ก็ไม่เป็นไร” จ๋องมองย้อนชีวิตที่ผ่านมาดูเหมือนว่าเขาจะดำเนินชีวิตไหลไปตามคำชักชวนจากคนรอบข้างมากกว่าฝันของตัวเอง “เข้าเรียนนิเทศฯ จุฬาฯ ภาควิชาหนังสือพิมพ์ แต่ก็ไม่ได้อยากเป็นนักข่าวขนาดนั้น กระทั่งเรียนจบ มีรุ่นพี่ชวนให้ไปเป็นนักข่าว ก็ไป ทำไปสักพักมีคนชวนให้มาจัดรายการวิทยุ แม้จะไม่เคยฟังเลย แต่ก็ทำ เพราะคิดว่าตัวเองทำได้”

โลกพร้อม แต่เรายังไม่พร้อมได้
จ๋องมองว่าชีวิตทุกคนสามารถทำอะไรก็ได้ ยิ่งคนรุ่นใหม่ที่ต่างมีเป้าหมาย มีสิ่งที่อยากทำ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่ในขณะเดียวกัน เขารู้สึกว่า สังคมบีบบังคับให้เราต้องพร้อมไปด้วยหรือเปล่า
“เรามองภาพผู้คนยุคนี้แล้วรู้สึกว่าแต่ละคนมีเป้าหมาย หรือต่างก็ลองหาว่าฉันจะเป็นอะไร จะทำอะไรกันตั้งแต่อายุยังน้อยแค่วัยเด็กก็เริ่มคิดกันแล้ว เลยรู้สึกว่า ทำไมจะต้องมาอยู่ในจุดที่ต้องรู้อะไรมากมายเหลือเกินสำหรับชีวิตในอีก 10 ปีข้างหน้า สมมติว่าถ้าถึงตอนนั้นมารู้ตัวว่าไม่ชอบขึ้นมาล่ะ เพราะคนเราเปลี่ยนใจได้ทุกวัน แล้วยุคสมัยนี้เหมือนกับเราต้องชัดเจน ถ้าตอบไม่ได้จะดูเชยหรือล้าสมัย การรู้ความต้องการของตัวเองเป็นเรื่องดี แต่ถ้ายังไม่รู้ว่าจะเรียนอะไร จะเริ่มอะไร ก็ไม่เป็นไรหรอก ค่อยๆ ตามหาไป โดยเฉพาะน้องๆ เด็กๆ วัยเรียน อายุยังน้อยอยู่เลย ไม่ต้องรีบ อยากให้ลองสำรวจความชอบนั้นไปเรื่อยๆ ถ้าวันหนึ่งเราพาตัวเองไปจุดนั้นแล้วพบว่ามันไม่ใช่ มันจะเจ็บนะ”
แม้วันนี้จ๋องเข้าสู่วัย 52 ปี มีหน้าที่การงานมั่นคง และชัดเจนในเส้นทางที่เลือก แต่เชื่อไหมว่า สิ่งที่เขารู้สึกกลับตรงกันข้าม “ยังรู้สึกสับสนกับชีวิตอยู่เลย” เพราะการทำคลื่นวิทยุก็เสมือนอยู่ในวงการบันเทิง ซึ่งมีทั้งขึ้นและลงอยู่ “วงการบันเทิงไม่มีอะไรแน่นอน อย่างผู้กำกับทำหนังเรื่องนี้ดังมากๆ เรื่องต่อไปอาจจะไม่ดัง พี่เรียกมันว่า ‘พลุ’ ในสายอาชีพนี้จะมีงานที่ทำแล้วจะเป็นพลุได้เหมือนกัน แต่ก็ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นพลุตลอด ส่วนใครที่เป็นพลุได้ตลอดนี่ถือว่าสุดยอดจริงๆ”
ถึงกระนั้นจ๋องเองก็ไม่เชื่อเรื่องการตกงาน เพราะเชื่อว่าทุกอาชีพมีงานรองรับ อยู่ที่ว่าจะเลือกงานแค่ไหน คนที่ไม่มีงานทำอาจเป็นคนที่เลือกงานมากไป ซึ่งเขามองว่าควรทำไปก่อนแล้วค่อยต่อยอดทีหลัง “ทำงานสายบันเทิงคือการทำเรื่องที่ไม่บันเทิงให้ออกมาบันเทิง เบื้องหลังความบันเทิงนั้นมีเรื่องไม่บันเทิงอยู่มากมาย เต็มไปด้วยการทำงานหนักและการแข่งขันสูง จึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าบันเทิงเอาซะเลย แต่ก็ต้องทำให้ออกมาบันเทิง”
สุดท้ายจ๋องฝากไว้ว่า “เราเชื่อว่า ถ้าชอบจะอยู่กับสิ่งนั้นไปได้ไกล ดังนั้นจงหาสิ่งที่ชอบ เพื่อจะได้อยู่กับมันนานๆ ชีวิตเราเป็นไปได้ทุกแบบ ไม่จำเป็นต้องตั้งมั่นว่าจะทำอะไรในอนาคตขนาดนั้นหรอก”
