“ทำไมเราไม่เก่งเหมือนคนนั้น ไม่ประสบความสำเร็จเหมือนคนนี้ ?”
อาจเป็นคำถามที่หลายคนรู้สึกเมื่อมองเห็นชีวิตของผู้คนบนโลกออนไลน์ กระทั่งการใช้ชีวิตทั่วไปท่ามกลางสังคมที่กำหนด ‘ความสำเร็จ’ ไว้แบบ ‘สำเร็จรูป’ จนเริ่มเกิดความสงสัยในตัวเองขึ้นมา ว่าเรายังไม่เก่ง พยายามไม่พอ หรือแท้จริงแล้วเราไม่จำเป็นต้องเก่งหรือประสบความสำเร็จแบบคนอื่น ๆ ก็ได้
อุทยานการเรียนรู้ TK Park ร่วมสร้างบทสนทนาออนไลน์ Journey to Find Yourself เพื่อตั้งคำถามว่าด้วยความคาดหวังของสังคม ในหัวข้อ ‘SOCIAL EXPECTATION กับดักของความฝัน ภาพจำของความสำเร็จ และสิ่งที่หนุ่มสาวกำลังเผชิญ’ ร่วมพูดคุยโดย พี่แหม่ม-วีรพร นิติประภา, เบนซ์-ธนชาติ ศิริภัทราชัย, ญา-ปราชญา ศิริมหาอาริยะโพธิ์ญา และอัด-อวัช รัตนปิณฑะ
บาดแผลจาก ‘ความคาดหวัง’
“แอดติดที่ไหน ?”
“เงินเดือนเท่าไร ?”
“มีรถหรือยัง ?”
“จะแต่งงานตอนไหน ?”
เหล่านี้คือส่วนหนึ่งในคำถามจำนวนมากที่ปรากฏชัดในวันรวมญาติ หรือคำถามที่เรามักได้ยินในช่วงวัยต่างๆ ซึ่งบางคราวก็ชวนรู้สึกว่า หากไม่มีคำตอบที่ตรงใจผู้ถาม ตนเองจะถูกตัดสินว่าอยู่ในหมวด ‘คนที่ไม่ประสบความสำเร็จ’ ในชีวิตหรือไม่ และบางครั้งคำถามเหล่านี้ก็ทำให้หลายคนต้องยอมสละความสุขและความต้องการของตัวเอง เพื่อเดินไปบนเส้นทางที่คนอื่นบอกว่า “นี่คือความสำเร็จ” เช่นเดียวกับอัด-อวัช รัตนปิณฑะ ซึ่งพ่อแม่อยากให้เรียนมหาวิทยาลัยที่สอบติด แม้ไม่ใช่คณะที่เขาอยากเรียนก็ตาม
อัด-อวัช รัตนปิณฑะ
“สองปีแรกของผมคือทรมานไม่อยากไปเรียนเลย จนมันถึงจุดที่เราไม่เรียน ติด F เยอะขึ้น ช่วงกำลังจะขึ้นปี 3” อัดเล่าถึงประสบการณ์ในรั้วมหาวิทยาลัยที่เขาพยายามฝืนทนจนสามารถเรียนจบมาได้ แต่กลับเต็มไปด้วยความทุกข์ใจ
“หลังจากนั้นมันทำให้ผมกลับมาแคร์ตัวเองมากที่สุด… จริงๆ มาตรฐานบางอย่างของสังคมมันก็ยังหลอกหลอนเราอยู่ อย่างอายุ 25 เรียนจบมา 2-3 ปี ตามหลักแล้วถ้าเป็นคนรุ่นก่อนต้องมีบ้าน มีเงิน มีอะไรที่มันเริ่มเยอะแล้ว แต่กลายเป็นว่า ณ วันนี้ผมยังไม่มีอะไรที่มันเป็นชิ้นเป็นอัน เป็นหลักเป็นแหล่ง บางทีก็ทำให้เรายัง struggle อยู่กับสิ่งนี้ว่าความมั่นคงในชีวิตเราคืออะไร แต่สุดท้ายแล้วผมก็จะย้อนกลับมาที่ แล้วทุกวันนี้เรามีความสุขกับชีวิตหรือเปล่า”
ส่วนเบนซ์-ธนชาติ ศิริภัทราชัย แม้จะมีโอกาสได้เรียนและทำงานบนเส้นทางที่หวัง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคนในครอบครัวจะเข้าใจและเห็นด้วยกับเขาเสียทีเดียว
เบนซ์-ธนชาติ ศิริภัทราชัย
“เราเป็นคนแรกในตระกูลที่เรียนสายนิเทศศาสตร์ เพราะฉะนั้นเขาก็จะตั้งคำถามเยอะมากเลยว่าทำไม เราไม่รู้ว่าในตอนนี้มันดีขึ้นหรือยัง แต่ในยุคเรานิเทศศาสตร์ปุ๊บคือเต้นกินรำกิน อยากไปอยู่รายการทีวีเหรอ อยากเป็นดาราเหรอ อะไรอย่างนี้ เขายังไม่ได้มีความรู้ในศาสตร์วิชา หรือเส้นทางอาชีพที่อยู่ในหัวเขามาก เพราะฉะนั้นเขาก็จะ say no ไปก่อน เราก็อธิบายให้เขาฟังว่าเราชอบจริงๆ เราถนัดจริงๆ เขาก็ยังไม่ซื้อเลยนะ คือผ่านการโต้เถียงมานานมาก”
สิ่งเหล่านี้ทำให้หลายคนต้องเผชิญกับความกดดัน บ้างก็ต้องพับเก็บความฝันและความต้องการไปเสียก่อน เพราะสังคมได้กำหนดทางเลือกที่ ‘ควรจะเป็น’ ไว้เพียงไม่กี่อย่าง ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยชื่อดัง คณะที่จบมาแล้วมีงานรองรับ แม้แต่วัยผู้ใหญ่ที่ต้องมีเงินเก็บ มีทรัพย์สินเป็นชิ้นเป็นอันไว้เป็นหลักฐานแสดงความมั่นคง ทั้งที่จริงแล้วมนุษย์มีทางเลือกและความต้องการหลากหลายมากไปกว่านั้น
คำถามต่อมาคือ กรอบและความคาดหวังของสังคมที่ว่านี้มีสาเหตุจากอะไร ?
ญา-ปราชญา ศิริมหาอาริยะโพธิ์ญา
“รู้สึกว่าปัญหาเรื่องความฝันของวัยเด็ก มันคือการที่เราไม่รู้ว่าเราฝันอยากเป็นอะไร แล้วพอวันหนึ่งที่มีผู้ใหญ่คาดหวังมา โยนเข้ามาว่าเราต้องเป็นอาชีพนี้ หรือต้องเป็นคนแบบนี้ แล้วเรารับมันเอาไว้ เราก็รู้สึกว่า นี่แหละเป็นความฝันของเรา แต่ว่าในอนาคต พอมันเกิดขึ้นแล้ว เราก็เพิ่งรู้ว่า นี่ไม่ใช่ความฝันของเรานี่นา"
ญา-ปราชญา ศิริมหาอาริยะโพธิ์ญา ในวัย 16 ปีเล่าถึงความฝันวัยเด็กของเธอที่เป็นไปตามความคาดหวังของคนรอบข้าง ก่อนจะพบว่าความฝันเหล่านั้นไม่ใช่ตัวตนและความชอบของเธอไปเสียหมด
พี่แหม่ม-วีรพร นิติประภา
นอกจากในระดับครอบครัวแล้ว อีกมุมหนึ่งของพี่แหม่ม-วีรพร นิติประภา ยังมองว่า ปัญหาเหล่านี้เกิดจากโครงสร้างทางสังคม เช่น การต้องมีบ้าน มีรถ มีเงินเก็บสำรองไว้สำหรับช่วงตกงานหรือวัยเกษียณ เพราะรัฐบาลไม่ได้จัดสรรสิ่งสวัสดิการเหล่านี้ไว้ให้ หรือหากจัดสรรไว้ก็มีราคาสูงจนคนบางกลุ่มไม่สามารถเข้าถึงได้ อย่างรถไฟฟ้าไปจนถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ
“พวกคุณไม่มีสิทธิตกงานด้วยซ้ำ เพราะว่ารัฐไม่จ่ายระหว่างที่คุณตกงาน มันไม่ได้เป็นเรื่องเลื่อนลอย มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับโครงสร้างทางสังคมอันใหญ่ ...อีกข้อหนึ่งคือการศึกษาของเรามันแพงมาก พ่อแม่เลยต้องใช้จ่ายเงินส่วนหนึ่งให้กับการศึกษาของลูก”
“มันคือเรื่องของทุนนิยม จริงๆ แล้วเราไม่ได้เกิดมาพร้อมกับความต้องการมีบ้าน มีรถ โฆษณาต่างหากที่บอกว่าคุณต้องมี เขาบอกว่าคุณจะต้องมีบ้านตอนคุณอายุ 30 ขณะที่ 30 คุณไม่มีปัญญาหรอก ดังนั้นเขาจะบอกคุณว่าคุณจงผ่อน เพราะคุณต้องมีไง ระบบเงินผ่อนมา ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ผ่อนทุกอย่าง”
นั่นทำให้หลายคนต้องพยายามดิ้นรน เพื่อให้มีฐานะ มีความมั่นคงในชีวิต ก่อนจะไปให้ความสำคัญกับความฝันและความชอบของตนเอง โดยอัดมองว่าสิ่งเหล่านี้อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้หลายคนเริ่ม ‘รู้สึกผิดกับเวลาว่าง’
"เวลาที่เราไม่ทำงาน ไม่สร้างผลงาน มันทำให้เรารู้สึกผิด โครงสร้างสังคมพวกนี้มันทำให้เราต้องทำงานหาเงินตลอดเวลา ซึ่งเราเราเป็นมนุษย์ ต้องมีเวลาพักโดยไม่ต้องรู้สึกผิด"
ส่วนเบนซ์-ธนชาติที่มีประสบการณ์การเรียนต่อในสหรัฐอเมริกา ทำให้เขาได้รับรู้ว่า การมีรัฐสวัสดิการที่ดีทำให้วิถีชีวิตของผู้คนแตกต่างออกไป บ้างก็เริ่มเรียนปริญญาช่วงวัยกลางคน บ้างก็ออกเดินทางค้นหาตัวตนก่อนเริ่มเรียนมหาวิทยาลัย แม้แต่การซื้อรถที่ไม่ใช่เรื่องจำเป็นอีกต่อไป
"เรื่องรัฐสวัสดิการมันเปลี่ยนวิธีคิดเราไปเหมือนกัน มันเกี่ยวข้องกับชีวิตเราทุกอย่าง อย่างการเดินทางเราก็พบว่าเราไม่จำเป็นต้องมีรถก็ได้ เพราะเรามีขนส่งสาธารณะที่ดี"
สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า คนรุ่นใหม่เริ่มมองโลกในมุมที่ต่างออกไป จากเดิมที่คนรุ่นก่อนหน้าพยายามแสวงหาความมั่นคงของชีวิต แต่คนรุ่นหลังกลับมองว่าความมั่นคงเหล่านั้นควรมาจาก ‘สวัสดิการพื้นฐานของรัฐ’ โดยสาเหตุส่วนหนึ่ง อาจมาจากการข้ามทวีปไปยังสถานที่ใหม่ ๆ ได้ง่ายกว่าสมัยก่อน หรือการมองเห็นชีวิตของผู้คนอย่าง ‘ไร้พรมแดน’ ผ่านโลกออนไลน์
โดยพี่แหม่ม-วีรพรกล่าวเสริมถึงประเด็นนี้ว่า
"คนรุ่นใหม่เขาเริ่มมองเห็นว่า คนมันไม่ได้มีชีวิตที่ดีได้โดยโดดเดี่ยว มันมีเรื่องของโครงสร้างสังคม รัฐสวัสดิการด้วย แต่ครอบครัวเขายังอยู่ในยุคสมัยแบบเก่า ยังไม่เห็นตรงนี้"
เมื่อการเปลี่ยนสังคมเป็นเรื่องยาก จะใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
แม้คนรุ่นใหม่จะให้ความสำคัญกับ ‘ความสำเร็จ’ รูปแบบเดิมลดน้อยลงเรื่อยๆ แต่ใช่ว่าสิ่งเหล่านี้จะหายไปโดยสิ้นเชิง เพราะโครงสร้างสังคมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในระยะสั้น ดังนั้นโจทย์ของคนรุ่นใหม่คือ ทำอย่างไรให้ความฝันที่มีไม่มอดดับไปเสียก่อน และสามารถมีความสุขได้ท่ามกลางสังคมที่เต็มไปด้วยไม้บรรทัดวัดความสำเร็จ ซึ่งญาให้คำตอบว่า เธอไม่ได้ทิ้งความคาดหวังเหล่านั้นไปอย่างสิ้นเชิง แต่เก็บมาเป็น ‘ตัวเลือกหนึ่ง’ สำหรับการค้นหาตนเอง
“วิธีการของญา-ปราชญา ก็คือว่า เก็บเอาความคาดหวังมาเป็นชอยส์หนึ่งในการเลือกของเรา ญารู้สึกว่าความฝันของเรามันเหมือนกับการเปิด Mystery Box แล้วทดลองดูว่าชอบหรือไม่ชอบ ถ้าไม่ชอบก็เปิดกล่องใหม่ ลองดูใหม่ จนเจออันที่เราชอบมากที่สุด”
ส่วนอัด-อวัช ที่เพิ่งผ่านช่วง First Jobber มาไม่นานนั้นมองว่า ความคาดหวังของสังคมอาจจะยังมีผลต่อชีวิต แต่คงไม่สำคัญมากเท่าความต้องการและความสุขของตัวเขาเอง
“นับวันเรายิ่งรู้สึกว่าเราแคร์ตัวเองมากขึ้น แล้วเรารู้สึกว่าเราไม่อยากจะพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ต้องเปรียบเทียบกับมาตรฐานที่เขาอยากให้เป็น ที่เขาวาดไว้… เรื่องความมั่นคง สิ่งที่เป็นตัววัดมาตรฐานพวกนี้เราก็ยังอยากมี แต่เราไม่ได้เอามันไปยึดติดว่าชีวิตเราต้องเป็นแบบนั้นร้อยเปอร์เซ็นต์ เรายังเชื่อว่าทางเดินของเรามันก็เป็นทางเดินของเรา”
เช่นเดียวกับเบนซ์-ธนชาติ ที่มองเรื่องนี้ในฐานะคนทำสื่อว่า "โฆษณาชอบบอกว่าเราต้องเป็นคนยังไง พอเราได้มาทำสื่อ เราเลยพยายามนำเสนอถึงคนรุ่นใหม่ว่า แกเป็นแบบไหนก็ได้ที่อยากเป็น ไม่จำเป็นต้องกล้าแสดงออกหรือผาดโผนมากก็ได้… ความฝันของคนยุคนี้มันไม่ต้องไปยึดติดกับความสำเร็จแบบยุคก่อนแล้ว โชคดีที่มันอาจจะเป็นประสบการณ์ก็ได้ แต่โชคร้ายคือมันดันถ่ายรูปลงโซเชียลได้ เราต้องรู้เท่าทันมัน อย่าไปรู้สึกเปรียบเทียบ"
นอกจากมุมของคนหนุ่มสาว ในแง่ของการเป็นพ่อแม่ พี่แหม่ม-วีรพร กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า พ่อแม่ที่เป็นอีกเจเนอเรชันนั้นไม่จำเป็นต้องเข้าใจหรือเห็นด้วยกับลูกทุกๆ อย่าง แต่สิ่งสำคัญมากไปกว่านั้น คือ ‘ความเชื่อมั่น’ และ ‘เคารพการตัดสินใจ’ ของลูกหลาน
"เราไม่จำเป็นต้องเข้าใจกันทุกอย่างก็ได้ เด็กรุ่นใหม่ก็มีทางของเขา มันก็เป็นเรื่องของคุณ พี่ไม่ได้เข้าใจคนรุ่นใหม่เท่ากับตัวเขาเอง แต่พี่เชื่อมั่นว่าเค้าจะผ่านมันไปได้ ทุกอย่างมันจัดการตัวของมันเองได้"
สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ตราบใดที่โครงสร้างของสังคมยังไม่เปลี่ยนแปลงไป ‘ความสำเร็จแบบสำเร็จรูป’ อาจเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่สังคมกำหนดจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด
ฉะนั้นคำถามที่สำคัญกว่า “เราไม่เก่งใช่ไหม” หรือ “เราไม่ดีพอหรือเปล่า” อาจเป็นคำถามที่ว่า “สิ่งสำคัญในชีวิตเราคืออะไร” และ “ชีวิตที่ดีสำหรับเราเป็นแบบไหน” เพื่อหาวิธีการ ‘ใช้ชีวิต’ ในแบบของตนเอง ไปพร้อมกับการพยายามขับเคลื่อนให้โครงสร้างเดิมเกิดความเปลี่ยนแปลง เพื่อรองรับความฝันและตัวตนของผู้คนที่มีภาพความสำเร็จหลากหลายในสังคม