ทุกวันนี้มีสารพัดสินค้าผลิตมาให้เราได้เลือกสรร หากเราอยากได้อะไร ก็แค่ถือเงินไปที่ร้านขายสินค้าดังกล่าวหรือสั่งซื้อออนไลน์ได้อย่างสะดวกสบาย แต่ถ้าสิ่งที่เราอยากได้นั้นเกินจินตนาการจะเป็นสินค้าได้ เช่น เวลา ความฝัน ชะตาชีวิต หรือแม้แต่ความตาย คงไม่มีใครจะผลิตเป็นสินค้าออกมาขาย เว้นแต่ร้านประหลาดสุดแสนมหัศจรรย์ในหนังสือซึ่งแต่ละร้านล้วนมีสินค้าเหนือจินตนาการ TK Park ได้รวบรวมลิสต์ร้านสุดแปลกเหล่านี้มาให้ลองติดตามกัน จะมีเล่มไหนบ้างไปดูกันเลย
1. ร้านชำสำหรับคนอยากตาย (The Suicide Shop)
ผู้เขียน : ฌอง เติลเล่ ผู้แปล : องอาจ กันใจศักดิ์
“หากคุณล้มเหลวทุกเรื่องในชีวิต อย่างน้อยคุณก็ยังมีสิทธิ์ประสบความสำเร็จในการตาย!” คติประจำร้านที่เขียนไว้บนกระเป๋าของร้านประหลาดที่คงไม่มีคนปกติอยากจะเดินเข้าไปอุดหนุน เว้นแต่คนที่สิ้นหวังในการมีชีวิตอยู่ ซึ่งนับวันจะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในโลกยุคที่กำลังจะล่มสลาย
“ร้านชำสำหรับคนอยากตาย” (The Suicide Shop) ดำเนินกิจการโดยตระกูลตูวาช ซึ่งก็ดูเหมาะสมกับกิจการค้าความตายเป็นอย่างดีเพราะผู้คนในตระกูลต่างไม่รู้จักรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ความรื่นรมย์ในชีวิต ลูกค้าที่เดินเข้ามาในร้านจึงไม่เคยต้องผิดหวังเมื่อทางร้านคอยจัดหาอุปกรณ์สำหรับการตายที่ถูกใจเสมอไม่ว่าจะเป็นเชือกแขวนคอ ยาพิษหลากชนิด แมงมุมแม่ม่ายดำ อุปกรณ์สำหรับทำฮาราคีรี หรือแม้แต่จุมพิตมรณะ
จนกระทั่ง “อลัน” ลูกชายคนเล็กถือกำเนิดขึ้น ร้านชำสำหรับคนอยากตายก็อยู่อย่างไม่เป็นสุขอีกต่อไป เมื่อเจ้าเด็กน้อยเกิดมาพร้อมกับรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และการมองโลกในแง่งาม ซึ่งเป็นขั้วตรงข้ามของคนอยากตาย เรื่องราวตลกร้ายประชดประชัน “การมีชีวิต” จึงเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน
แม้การฆ่าตัวตายจะเป็นเรื่องที่ดูน่ากลัวน่าสยดสยอง แต่ฌอง เติลเล่ ผู้เขียนกลับเขียนเรื่องราวเหล่านั้นด้วยอารมณ์ขันจนชวนให้ผู้อ่านอมยิ้มตามวิธีการใช้อุปกรณ์ฆ่าตัวตายแสนพิสดารที่เจ้าของร้านบรรยายไว้อย่างละเอียดแบบตลกหน้าตาย ขณะที่เจ้าหนูอลันก็จะคอยขัดคออยู่เป็นระยะ ๆ ชวนให้พ่อแม่และบรรดาคนอยากตายต้องปวดเศียรเวียนเกล้า เรื่องราวแต่ละบทสั้น ๆ ทำให้ลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาต่างก็ได้ค้นพบบางสิ่งที่สำคัญกับชีวิต ขณะที่คนในตระกูลตูวาซก็ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปเพราะความสดใสของเจ้าหนูโลกสวยอย่างอลัน จนสุดท้ายนำไปสู่บทสรุปของนิยายที่หักมุมอย่างคาดไม่ถึง แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้ตัวละครในเรื่องและผู้อ่านได้กลับมาทบทวนว่าแท้จริงแล้วการมีชีวิตนั้นช่างสวยงามและมีความหมายเพียงใด
2. ร้านขนมแห่งความลับ
ผู้เขียน : ซากากิ สึคาสะ ผู้แปล : ปาวัน การสมใจ
ขนมกับการสืบสวนสอบสวน ดูเหมือนจะเป็นสองสิ่งที่ไม่น่าจะไปด้วยกันได้ แต่คำโปรยหน้าปกว่า “นิยายสืบสวนที่ไม่มีเลือดสักหยด” ก็เป็นคำที่เชื้อเชิญให้คนรักขนมและนิยายสืบสวนได้มาใจเต้นและท้องร้องไปพร้อมกับการค้นหาความลับของขนมในร้านนี้ด้วยกัน
เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อเด็กสาวมัธยมปลายชื่ออุเมโมโตะ เคียวโกะ ที่กำลังหลงทางสายชีวิตและยังไม่ได้ตัดสินใจเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยได้มาพบกับ "ร้านมิตสึยะ" ร้านขนมวากาชิแห่งหนึ่งในโตเกียว (ขนมวากาชิ เป็นชื่อเรียกโดยรวมของขนมที่มักจะทานคู่กับน้ำชาในพิธีชงชาของชาวญี่ปุ่น เช่น ดังโงะ โมจิ โดรายากิ) เด็กสาวร่างท้วมผู้ชอบกินขนมเป็นทุนเดิมจึงตัดสินใจทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านแห่งนี้ นั่นทำให้เธอได้พบกับผู้จัดการสุดเฉียบ พนักงานหนุ่มสาวเนิร์ดขนมมืออาชีพ และสารพัดลูกค้าที่พกปัญหามาเต็มอก พร้อมกับเปิดโลกใบใหม่ทำให้เธอรู้จักขนมวากาชิว่าไม่ใช่เป็นแค่เพียงขนมเท่านั้น แต่ยังมีรากเหง้า ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมญี่ปุ่นอัดแน่นอยู่ในไส้ถั่ว กรรมวิธีการทำที่พิถีพิถัน ตลอดจนชื่อเรียกภาษาญี่ปุ่นที่มีความหมายลึกซึ้ง ส่วนปริศนาในเรื่องไม่ได้เกี่ยวกับการฆาตกรรมแต่อย่างใด แต่คือการวิเคราะห์ความต้องการหรือช่วยแก้ไขปัญหาหนักอกของลูกค้าผ่านขนมวากาชิราวกับเป็นนักสืบนั่นเอง
ร้านขนมแห่งความลับ เหมาะกับผู้อ่านนักทานขนมหรือคนที่สนใจวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่จะได้อ่านเรื่องราวของขนมวากาชิที่สร้างความสุขให้แก่คนญี่ปุ่นมาอย่างยาวนานไปพร้อมกับตัวเอก และหากได้อ่านฉบับแปลภาษาไทยก็จะพบกับเชิงอรรถที่เรียกว่าอัดแน่นไปด้วยความรู้ทางวัฒนธรรมจากขนมวากาชิแทบทุกแง่มุมเลยทีเดียว
3. ที่ร้านอูคิกิ มีคนเปลี่ยนชะตาชีวิตให้คุณได้
ผู้เขียน : หลินถิงอี๋ ผู้แปล : ชาญ ธนประกอบ
บางครั้งเมื่อเราผิดหวังกับบางสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตตัวเอง พร้อมกับมองไปยังชีวิตของไอดอลหรือคนที่เราชื่นชอบ (หรือแอบอิจฉา) แล้วคิดในใจว่า "ถ้าเรามีชีวิตแบบคนนี้ก็คงดีกว่านี้" "ถ้าเรามีชีวิตแบบนี้จะต้องมีความสุขมาก ๆ แน่นอน" แต่จะดีแค่ไหนหากโลกนี้มีร้านหนึ่งที่สามารถลิขิตชีวิตของเราให้เป็นไปตามที่ต้องการ
ร้าน “อูคิกิ” ร้านอิซากายะหรือบาร์ญี่ปุ่นริมถนนของ “ซีเหมินติง” ดาวน์ทาวน์ในไทเป กล่าวกันว่ามีองค์กรลับชื่อว่า อั้นเจวี๋ย ซ่อนอยู่ชั้นบนสุดของร้าน หน้าที่ของพวกเขาคือรับปรึกษาปัญหาของลูกค้า และรับเปลี่ยน “ชะตาชีวิต” ให้กับคนที่ไม่พอใจในชีวิตเดิมของตนเอง โดยมีกฎการเปลี่ยนชีวิตของร้านอูคิกิที่ที่ลูกค้าจะต้องทำตาม นั่นคือ “ต้องยอมรับทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดีของคนต้นแบบ ที่เราอยากเปลี่ยนชีวิตของเราให้เป็นดั่งชีวิตของเขา” และราคาสำหรับการเปลี่ยนชะตาชีวิตคืออะไรบางอย่างที่สำคัญเท่ากับชีวิต หรือบางทีอาจจะมากกว่านั้น
การเปลี่ยนชะตาชีวิตกลายเป็นคนที่เราใฝ่ฝัน บางครั้งอาจไม่ได้ชีวิตที่ฝันใฝ่ เพราะฉากหน้าที่เคลือบด้วยรอยยิ้มและความสุข อาจมีความทุกข์ทนและทรมานไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเราก็เป็นได้ ดังนั้นอาจต้องระวังหากจะรับบริการที่ร้านอูคิกิ เพราะการเป็นตัวเองนั้นไม่เคยง่าย แต่ก็น่าจะดีกว่าการพยายามเป็นคนอื่น
4. ร้านมหัศจรรย์สำหรับคนไม่หยุดฝัน
ผู้เขียน : อีมีเย ผู้แปล : วนิดา คราวเหมาะ
เมื่อพูดถึงความฝัน คนทั่วไปมักจะหมายถึงสิ่งที่ไม่มีทางเกิดขึ้นจริงหรือเรื่องไร้สาระ แต่ไม่ใช่สำหรับดินแดนแห่งความฝันที่ตื่นขึ้นยามมนุษย์หลับใหล ในดินแดนแห่งนั้นมีสถานที่สำคัญชื่อว่า “ห้างสรรพสินค้าขายความฝันดัลเลอร์กู้ท” ห้างแสนมหัศจรรย์ที่เราสามารถเลือกความฝันและสัมผัสความจริงในความฝันได้อย่างน่าอัศจรรย์
“ร้านมหัศจรรย์สำหรับคนไม่หยุดฝัน” เป็นนิยายแฟนตาซีเล่าเรื่องราวในโลกแห่งความฝัน ผ่านสายตาของ "เพนี" พนักงานสาวหน้าใหม่ของห้างสรรพสินค้าขายความฝันดัลเลอร์กู้ท ซึ่งเป็นห้างที่มีทั้งหมด 5 ชั้น และมีความฝันหลากหลายรอให้ลูกค้าเลือกสรรไม่ว่าจะเป็นความฝันเบสต์เซลเลอร์ ความฝันถึงความสำเร็จ ความฝันถึงคนรัก ความฝันของสัตว์เลี้ยงและเด็ก หรือแม้กระทั่งความฝันลดราคาที่ไม่ค่อยมีใครอยากจะซื้อมากนัก งานของเพนีจึงไม่ง่ายดาย เพราะนอกจากจะมีสารพัดสินค้าความฝันให้จดจำ ยังต้องคอยรับมือกับลูกค้าที่ต้องการความฝันแปลกประหลาดมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความฝันแสนสุขอย่างการฝันถึงคนที่แอบชอบ การได้เดบิวต์เป็นศิลปินดัง หรือฝันอันแสนเศร้าอย่างการอยากเป็นคนอื่น หรือการฝันถึงใครบางคนที่จากไป
แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นนิยายแฟนตาซี แต่การบรรยายถึงความฝันในเรื่องนั้นค่อนข้างเป็นระบบและสมจริงจนชวนให้เชื่อว่านี่คือโลกความฝันอย่างแท้จริง นอกจากนั้นแล้วผู้เขียนยังสอดแทรกความรู้สึกที่อยู่ใต้จิตสำนึกที่เชื่อมโยงกับความฝัน ทำให้เห็นว่าความฝันไม่ว่าจะดีหรือร้าย แต่การที่เราได้เผชิญหน้ากับความฝันเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้มนุษย์เติบโต สุดท้ายแล้วการเข้าใจความฝันอย่างถ่องแท้ ก็นำมาซึ่งการเข้าใจคุณค่าของความจริงมากขึ้นเมื่อลืมตาขึ้นมาจากความฝันนั่นเอง
5. ร้านเครื่องเขียนนั้นใต้ต้นสึบากิ
ผู้เขียน : โอกาวะ อิโตะ ผู้แปล : ฉัตรขวัญ อดิศัย
ร้านเครื่องเขียนเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในเมืองคามาคุระ จังหวัดคานางาวะ มีจุดสังเกตสำคัญคือต้นสึบากิต้นใหญ่ที่งอกงามอยู่ตรงทางเข้าร้าน ป้ายหน้าร้านซึ่งเขียนว่าอาเมมิยะเริ่มซีดจาง นั่นคือชื่อของตระกูลอาเมมิยะ ตระกูลที่มีอาชีพเป็นอาลักษณ์หรือคนรับจ้างเขียนหนังสือมาแต่โบราณจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
ผู้สืบทอดรุ่นที่สิบเอ็ด อาเมมิยะ ฮาโตโกะ หรือที่คนแถวนั้นเรียกเธอว่า ป๊บโปะจัง ที่ไม่อยากจะสานต่องานของบรรพบุรุษมากนักเนื่องจากความเข้มงวดของ “รุ่นก่อน” หรือคุณยายที่ถ่ายทอดวิชาการเขียนจดหมายให้เธอตั้งแต่เด็ก หลังจากคุณยายจากไปเมื่อสามปีก่อน เธอจึงตัดสินใจทิ้งร้านและย้ายไปอยู่เมืองอื่นก่อนจะกลับมาสืบทอดกิจการอาลักษณ์ด้วยเหตุผลบางอย่าง
การกลับมาครั้งนี้ทำให้เธอได้พบกับลูกค้าหลากหลายรูปแบบ และพบว่าการเขียนนั้นมีพลังในการสร้างมิตรภาพ สานต่อความสัมพันธ์ หรือแม้แต่การสะบั้นสายสัมพันธ์ที่เคยลึกซึ้งด้วยถ้อยคำไม่กี่ประโยค สิ่งที่เธอต้องเขียนให้แก่ลูกค้าจึงมีทั้งจดหมายปฏิเสธการยืมเงิน จดหมายถึงคนรักเก่า หรือแม้แต่ “จดหมายจากสวรรค์” ที่ใครบางคนเขียนส่งมาจากฟ้า ทำให้คนบางคนที่รอคอยจดหมายได้นอนตายตาหลับเสียที นอกจากจดหมายที่คลายปมหัวใจให้ลูกค้าแล้ว ป๊บโปะจังยังพบ “จดหมายลับ” ของคุณยายที่เก็บซ่อนความลับอะไรบางอย่างไม่ให้เธอรู้ตลอดมา ทำให้ถ้อยคำบางคำที่หายไปในหัวใจของเธอค่อย ๆ กลับมาชัดเจนขึ้น
“ร้านเครื่องเขียนนั้นใต้ต้นสึบากิ” เป็นนวนิยายฟีลกู๊ดเล่มเล็กที่อัดแน่นด้วยเรื่องราวอบอุ่นหัวใจสำหรับคนที่รักการอ่านและการเขียน นอกจากการเล่าเรื่องจดหมายจะทำให้เห็นพลังของตัวหนังสือในการสื่อสารแล้ว ยังมีเรื่องราวเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับลายมือแบบญี่ปุ่น หรือแม้แต่การเลือกกระดาษปากกาสำหรับการเขียนจดหมายอีกด้วย ชวนให้อยากหยิบกระดาษและปากกามาเขียนจดหมายถึงคนที่เราคิดถึงทันทีที่อ่านจบเลยทีเดียว
6. ร้านขายเวลา
ผู้เขียน : คิมซ็อนย็อง ผู้แปล : สุมาลี สูนจันทร์
เวลาคือสิ่งมีค่าที่สุดของมนุษย์ หากมีใครบางคนที่ขายเวลา และเราสามารถซื้อเวลาจากเขาเพื่อทำทุกสิ่งที่ต้องการได้จะดีแค่ไหน นั่นคือเรื่องราวของ “อนโจ” เด็กสาวมัธยมปลายคนหนึ่งซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากพ่อผู้เป็นพนักงานดับเพลิงที่เสียชีวิตไปในเหตุเพลิงไหม้ เธอจึงถอดแบบจิตอาสาของพ่อมาแบบลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นโดยการเปิด “ร้านขายเวลา” ซึ่งเป็นคาเฟ่ทางอินเทอร์เน็ตเพื่อช่วยเหลือคนอื่น โดยเธอได้ตั้งเงื่อนไขสำคัญเอาไว้ 4 ข้อ ได้แก่ 1) ปฏิเสธสิ่งที่เกินความสามารถของตัวเอง 2) ไม่ทำเรื่องที่ไม่ถูกต้อง 3) เลือกเรื่องที่ช่วยปลอบประโลมลูกค้าได้แม้แต่น้อยก็ยังดี และ 4) เหนือสิ่งอื่นใดคือ เลือกงานที่ทำให้เวลากลายเป็นเงินได้จริง
การเปิดร้านขายเวลา ทำให้อนโจได้เข้าไปพัวพันกับเรื่องราวมากมาย ตั้งแต่คำของ่าย ๆ อย่างการนำของที่ขโมยไปคืนที่เดิม การไปกินข้าวกับคุณปู่แปลกหน้า งานส่งจดหมาย หรือแม้แต่งานที่คอขาดบาดตายอย่างการตามหาเพื่อนคนหนึ่งเพื่อยับยั้งไม่ให้เขาฆ่าตัวตาย นอกจากเนื้อหาในนิยายจะบอกเล่าถึงคุณค่าและความสำคัญของ “เวลา” ที่ผ่านไปแล้วไม่หวนคืน ยังมีเรื่องราวของมิตรภาพระหว่างอนโจและผองเพื่อน หรือการก้าวข้ามความเศร้าที่กัดกินหัวใจของอนโจและแม่ซึ่งสูญเสียพ่อไปตลอดกาล คุณค่าของเวลาจึงไม่ได้อยู่ที่ว่าแต่ละคนมีเหลืออยู่มากน้อยเพียงใด แต่อยู่ที่ว่าแต่ละคนเลือกใช้เวลาไปกับสิ่งสำคัญในชีวิตมากน้อยเพียงใดต่างหาก
7. ร้านหนังสือชื่อมีไหมนะ
ผู้เขียน : ชินสุเกะ โยชิทาเกะ ผู้แปล : ชมนาด ศีติสาร
เชื่อว่านักอ่านทุกคนคงจะชอบร้านหนังสือที่มีคุณลุงเจ้าของร้านสุดแสนใจดี แถมคำถามที่พกไปถามเจ้าของร้านว่า “มีหนังสือ...ไหมนะ” ไม่เคยได้รับการปฏิเสธ ยิ่งสำหรับ “ร้านหนังสือชื่อมีไหมนะ” ที่เต็มไปด้วยคำถามสุดประหลาดอย่าง “มีหนังสือวิธีปลูกนักเขียนไหม” “มีหนังสือสำหรับคนอ่านสองคนไหม” หรือแม้แต่หนังสือสุดแปลกอย่างหนังสือพิเศษที่พิมพ์ขึ้นด้วยหมึกแสงจันทร์ที่จะอ่านได้ภายใต้แสงจันทร์ในคืนที่มีพระจันทร์เต็มดวงเท่านั้น กิจกรรมสุดครีเอตอย่าง “พิธีแต่งงานของคนรักหนังสือ” ต้องทำเช่นไร คำถามง่าย ๆ แต่มีคำตอบที่คาดไม่ถึงอย่าง “เหตุผลที่หนังสือเป็นสี่เหลี่ยม” ก็ชวนให้คนอ่านได้หัวเราะ เปิดมุมมองที่คาดไม่ถึง และบางครั้งก็ทำให้ซาบซึ้งถึงขั้นน้ำตาซึม
“ร้านหนังสือชื่อมีไหมนะ” เป็นหนังสือภาพของชินสุเกะ โยชิทาเกะ นักเขียนหนังสือภาพสุดกวนที่มีผลงานน่ารัก ๆ อย่าง “แล้วดูตอนนี้สิ” หนังสือภาพที่บอกเล่าความสัมพันธ์ของแม่ลูกสุดแสนน่ารัก หรือ “ผมมีเหตุผลของผมนะ” หนังสือภาพที่เล่าถึง “เหตุผล” จากมุมมองของเด็กในพฤติกรรมที่ผู้ใหญ่ไม่เข้าใจ เช่นเดียวกับเล่มนี้ที่บอกเล่าเรื่องราวของหนังสือในทุกแง่มุม แม้ลายเส้นของชินสุเกะดูเรียบง่าย ถ้อยคำไม่ซับซ้อนคล้ายกับเป็นหนังสือภาพของเด็ก แต่สิ่งที่เขานำเสนอนั้นลึกซึ้งและคมคาย จนอดไม่ได้ที่จะหยุดใคร่ครวญและพยักหน้าไปตามจินตนาการสุดแสนประหลาดในร้านหนังสือเล่มนี้ สมดังคำโปรยที่ปกหลังว่านี่คือ “หนังสือสำหรับคนรักหนังสือ คนขายหนังสือ คนอ่านหนังสือ และสำหรับทุก ๆ คนที่รักหนังสือ”
8. แมวนักพยากรณ์แห่งร้านกาแฟจันทร์เต็มดวง
ผู้เขียน : ไม โมจิทสึกิ ผู้แปล : ธนพล ศักดิ์สมุทรานันท์
ดวงดาว โชคชะตา แมวเหมียว เครื่องดื่มและของหวานเกินจินตนาการชวนให้น้ำลายสอ องค์ประกอบที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเข้ากันได้ทั้งหมดนั้นอยู่ใน “ร้านกาแฟจันทร์เต็มดวง” ร้านคาเฟ่รถตู้ที่จะเปิดทำการเฉพาะคืนจันทร์เต็มดวง มีมาสเตอร์ของร้านเป็นแมวตัวใหญ่ที่ทำนายดวงชะตาให้ลูกค้าได้ พร้อมเสิร์ฟเมนูของหวานและเครื่องดื่มรสเลิศที่จะเยียวยาหัวใจของ “ลูกค้าที่ถูกเลือก” ซึ่งได้โคจรมาเจอกันที่ร้านสุดแสนประหลาดแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นนักเขียนตกอับ ผู้กำกับรายการที่เกือบมีสัมพันธ์ต้องห้าม ช่างเสริมสวยที่ลาออกจากงาน หรือเจ้าของบริษัทไอทีที่ทำเรื่องผิดพลาดบ่อยครั้ง ทุกคนต่างมีโชคชะตาที่มาพัวพันกันผ่านดวงดาวและนำไปสู่บทสรุปของแต่ละชีวิตที่เกินคาดเดา
"แมวนักพยากรณ์แห่งร้านกาแฟจันทร์เต็มดวง" เป็นนวนิยายฟีลกู๊ดที่ว่าด้วยเรื่องราวของชะตาชีวิตมนุษย์ที่สัมพันธ์กับดวงดาว อัดแน่นด้วยความรู้เกี่ยวกับโหราศาสตร์ เช่น เรื่องจักรราศีและดาวนพเคราะห์ เรือนทั้ง 12 ในผังชะตากำเนิด การโคจรถอยหลังของดาวพุธ (Mercury retrograde) ด้วยภาษาที่เรียบง่ายผ่านการบอกเล่าของแมวเหมียวในร้าน แสดงให้เห็นว่าชะตาของแต่ละคนสอดคล้องกับการโคจรของดวงดาวอย่างไร ทว่าแม้ดวงดาวจะมีผลต่อวิถีชีวิตและนิสัย แต่สุดท้ายแล้วความสำเร็จในชีวิตของเราล้วนแต่ได้มาด้วยความพยายามของเจ้าของชะตาเท่านั้น ดังที่ตัวละครกล่าวว่า “ดวงดาวเป็นอย่างไร เจ้าของชะตาจะเป็นอย่างไร ก็ไม่สู้มานะตนที่เปลี่ยนแปลงชะตานั้น”
นอกจากจะถูกใจนักอ่านสายมูและทาสแมวแล้ว นักอ่านสายขนมหวานยังได้ฟินกับภาพประกอบและชื่อเมนูเครื่องดื่มและของหวานที่น่าอร่อยเกินจินตนาการ เช่นว่า อัลโฟกาโตไอศกรีมดวงดาว แพนเค้กเนยจันทร์เต็มดวง กาแฟเย็นประกายดาว ราดด้วยไซรัปรุ่งอรุณ เห็นแล้วชวนให้วิ่งไปสั่งของหวานที่ร้านคาเฟ่พร้อมกับละเลียดหนังสือด้วยความรื่นรมย์ไปตลอดทั้งเล่ม
เป็นอย่างไรบ้างกับ 8 ร้านสุดแปลกที่ TK Park คัดสรรมาให้ทุกคนได้สนุกไปกับเรื่องราวมหัศจรรย์เหนือจินตนาการ แม้บางร้านจะมีอยู่แต่ในความฝัน แต่ความต้องการที่จะซื้อเวลา ความฝัน หรือเปลี่ยนชะตาชีวิตก็ยังคงเป็นความต้องการในใจมนุษย์ที่สะท้อนผ่านนิยายเสมอ หากในโลกความจริงเราซื้อหาหรือแก้ไขสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ เราก็ต้องมุ่งมั่นใช้ชีวิตและทำความฝันให้ดีที่สุดนั่นเอง อ่านแล้วชอบเล่มไหนอย่าลืมมาพูดคุยแชร์ความรู้สึกกันนะ