7 เรื่องราวมหัศจรรย์กับร้านหนังสือในฝันจากนิยาย
24 กุมภาพันธ์ 2565
476
ความสุขสำหรับหนอนหนังสือทั่วโลกนั้น คงไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการได้ฝังตัวอยู่ในร้านหนังสือหรือห้องสมุด นั่งละเลียดนิยายเล่มใหม่เอี่ยมของนักเขียนคนโปรด หรือเอนหลังไปกับนิยายคลาสสิกดี ๆ สักเล่มตลอดทั้งวัน ร้านหนังสือและห้องสมุดจึงเป็นสถานที่รวมจินตนาการและความฝันที่นักเขียน-นักอ่านได้มาใช้เวลาร่วมกัน จึงไม่แปลกที่จะมีหนังสือกล่าวถึงร้านหนังสือหรือห้องสมุดที่ดูจะลึกล้ำเหนือจินตนาการของคนทั่วไป แต่สำหรับหนอนหนังสือชาว TK Park อาจไม่แปลกใจมากนักกับร้านหนังสือมหัศจรรย์เหล่านี้ เพราะพวกเราต่างก็รู้ว่าเรื่องราวมหัศจรรย์เกิดขึ้นได้ทุกที่ที่มีหนังสืออยู่ด้วย วันนี้พี่ ๆ TK Park ได้รวบรวมลิสต์ร้านหนังสือที่แสนพิเศษในนิยายมาให้ลองติดตามกัน จะมีเล่มไหนบ้างไปดูกันเลย
1. The Last Bookshop in London
ผู้เขียน : Madeline Martin
ท่ามกลางเปลวเพลิงของสงครามโลกครั้งที่สองที่กำลังคืบคลานเข้ามาในดินแดนยุโรป เกรซ แบนเน็ตต์ และวีฟ สองคู่ซี้จากชนบทได้เดินทางมาตามหาฝันที่มหานครลอนดอน ดูเหมือนว่าวีฟจะโชคดีกว่าที่ได้ทำงานในห้างแฮร์รอดสุดหรู ขณะที่แม่สาวขี้อายอย่างเกรซต้องจับพลัดจับผลูเข้าไปทำงานที่ร้านหนังสือพริมโรส ฮิลล์ เป็นเวลาหกเดือนเพื่อจะได้มีจดหมายรับรองในการไปทำงานห้างสรรพสินค้าตามความฝัน
การทำงานในร้านหนังสือ สำหรับบางคนอาจเรียกได้ว่าเป็นงานในฝัน แต่สำหรับเกรซซึ่งไม่เคยสนใจว่าตัวหนังสือในหน้ากระดาษเหล่านี้จะสร้างความสนุกในหัวใจได้อย่างไร ก้าวแรกของการเดินเข้ามาในร้านนี้จึงอาจเรียกว่าเป็นฝันร้ายเล็ก ๆ เมื่อเธอพบว่ามีหนังสือในร้านมากมายที่ฝุ่นเกาะหนา ซ้ำยังวางกระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ ลูกค้าจะเรียกหาหนังสืออะไรก็ดูเหมือนว่าจะหากันแทบไม่เจอ หญิงสาวจึงต้อง “ปฏิวัติ” ทั้งเรื่องความสะอาดและหมวดหมู่ของหนังสือให้เข้าที่ ในระหว่างนั้นเธอได้พบความเปลี่ยนแปลงมากมาย ทั้งจอร์จ ชายหนุ่มหนอนหนังสือที่เข้ามาเติมความหวานให้หัวใจและแนะนำให้เธอรู้จักหนังสือดี ๆ รวมทั้งลูกค้ามากหน้าหลายตาที่เข้ามาแบ่งปันรอยยิ้มและความสุขผ่านเรื่องราวจากหนังสือเล่มเดียวกัน
แต่แล้วสงครามก็พรากความสุขเหล่านั้นไปจนหมดสิ้น เมื่อไฟสงครามจากกองกำลังนาซีแผ่ขยายไปทั่วยุโรป มือบอบบางที่เคยจับแต่หนังสือของชายหนุ่มที่เธอรักต้องเปลี่ยนไปจับปืนเพื่อเข้าร่วมสงคราม ข่าวการพลัดพรากของแต่ละครอบครัวทยอยมาเข้าหูเธอไม่ขาดสาย จนกระทั่งเกิด “สงครามสายฟ้าแลบ” (The Blitz) หรือการระดมทิ้งระเบิดทางอากาศของกองกำลังนาซีเข้าใส่ใจกลางกรุงลอนดอนก็ทำให้ทั้งเมืองกลายเป็นทะเลเพลิงไปในพริบตา ท่ามกลางเสียงคร่ำครวญและน้ำตาจากสงคราม เกรซพบว่าปาฏิหาริย์เล็ก ๆ กำลังก่อตัวขึ้น เกรซและผู้คนที่เหลือรอดต่างเข้าร่วมกลุ่มอาสาสมัครเพื่อปกป้องเมืองส่วนที่เหลืออย่างเต็มกำลัง เกรซอาสาเป็นนักอ่านหนังสือ และใช้เรื่องราวแสนสนุกในหนังสือเพื่อปลอบประโลมขวัญของเด็ก ๆ และชาวเมืองในหลุมหลบภัยใต้ดินระหว่างการถูกโจมตีทางอากาศ เธอจึงได้เรียนรู้ว่า ไฟสงครามอาจเผาทั้งเมืองให้เป็นจุณ แต่ไม่อาจแผดเผาความหวังและความสุขที่เกิดขึ้นจากหนังสือได้
The Last Bookshop in London จึงเป็นเรื่องราวความรัก ความหวัง และมิตรภาพที่เกิดขึ้นจากร้านหนังสือเล็ก ๆ ที่แสนอบอุ่น โดยมีฉากหลังเป็นมหานครลอนดอนในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง การเติบโตของเกรซที่ค่อย ๆ ซึมซับความรักในตัวอักษรทำให้ผู้อ่านค่อย ๆ เติบโตไปกับหนังสือที่เธออ่านเช่นกัน แม้ว่าในหน้าประวัติศาสตร์จะบันทึกว่าสงครามในกรุงลอนดอนจบลงไม่สวยนัก แต่เรื่องราวของเกรซและร้านหนังสือเล็ก ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในบันทึกประวัติศาสตร์ก็บอกให้เรารู้ว่า ที่ใดมีหนังสือ ที่นั่นก็ยังมีความหวังอยู่เสมอ
2. The Little Paris Bookshop
ผู้เขียน : Nina George
“หนังสือบางเล่มเหมาะกับคนทั้งโลก บางเล่มเหมาะกับคนอ่านเพียงหลักร้อย บางเล่มนั้นเกิดขึ้นมาเพื่อเยียวยาบาดแผลในใจใครสักคน...ฉันหมายถึงหนังสือบางเล่มนั้นถูกเขียนมาเพื่อให้ใครเพียงหนึ่งคนบนโลกใบนี้ได้อ่าน เชื่อไหมล่ะว่าหนังสือสร้างแนวทางการรักษาและเป็นยาวิเศษ การนำนวนิยายที่ใช่มาใช้กับโรคภัยไข้เจ็บที่เหมาะสม นั่นคือวิธีที่ฉันขายหนังสือ”
ฌอง เพอร์ดูร์ เป็นนักขายหนังสือจากร้านขายหนังสือบนเรือในแม่น้ำแซนแห่งกรุงปารีส แต่เขาไม่ได้เรียกตัวเองว่าคนขายหนังสือ เมอร์ซิเออร์เพอร์ดูร์นิยามตัวเองว่าเป็น “เภสัชกรทางวรรณกรรม” (Literary apothecary) เมื่อลูกค้าก้าวขึ้นไปบนเรือที่เต็มไปด้วยหนังสือ บอกเล่าเรื่องราวอึดอัดคับข้องใจ ฌองใช้เวลาวินิจฉัยความเจ็บป่วยทางใจสักครู่ แล้วลูกค้าก็เดินออกมาพร้อมกับนวนิยายที่ใช่เพื่อให้พวกเขารู้สึกดีขึ้น
แม้เภสัชกรทางวรรณกรรมผู้นี้จะเยียวยาจิตใจผู้คนที่แวะเวียนเข้ามาในร้านหนังสือของเขามาอย่างยาวนานนับศตวรรษ แต่ก็เหมือนเรื่องตลกร้าย เมื่อแท้จริงแล้วมีชายคนหนึ่งที่ฌองไม่เคยรักษาบาดแผลทางจิตใจของเขาได้ นั่นก็คือตัวของเขาเอง บาดแผลที่เขาแบกรับมากว่ายี่สิบปีกับการหายตัวไปอย่างปริศนาของมานอน หญิงสาวที่เขารักมากที่สุด เหลือทิ้งไว้เพียงจดหมายที่เขาไม่กล้าแม้แต่จะเปิดอ่านเพราะกลัวที่จะได้รู้ว่าเขาสูญเสียเธอไปเพราะอะไร ทว่าวันหนึ่งเขาก็กลับได้รู้ข้อความในจดหมายโดยไม่ตั้งใจ นำไปสู่การตัดสินใจออกเดินทางของเภสัชกรทางวรรณกรรมและผองเพื่อนเพื่อแก้ไขบาดแผลในใจที่ตกค้างมานานกว่ายี่สิบปี
The Little Paris Bookshop เป็นนวนิยายสำหรับคนที่เชื่อมั่นใน “พลังการเยียวยาหัวใจ” ของหนังสือวรรณกรรม แถมด้วยเรื่องราวความรักโรแมนติก มิตรภาพและการผจญภัยของผองเพื่อนต่างวัยท่ามกลางกลิ่นหอมของใบไม้ในฤดูร้อนทางตอนใต้ของฝรั่งเศส การเดินทางอันยาวนานทำให้ต่างคนต่างก็ได้เรียนรู้ชีวิต ความรัก และความหมายที่แท้จริงของการเป็นคนรักหนังสือ ดังที่ตัวเอกได้เรียนรู้ว่าหนังสือบางเล่มอาจไม่ใช่ยาวิเศษ แต่เป็นดวงประทีปนำทางให้เราได้ออกเดินทางจนค้นพบตัวเอง และพบวิธีเยียวยารักษาบาดแผลในใจของตัวเองต่างหาก
3. Mr. Penumbra's 24-Hour Bookstore
ผู้เขียน : Robin Sloan
ยิ่งเทคโนโลยีในการอ่านพัฒนามากขึ้น ข้อถกเถียงที่ไม่จบสิ้นว่า e-book จะมาแทนหนังสือแบบเดิมได้หรือไม่ สำหรับหนอนหนังสือผู้ชอบสูดกลิ่นกระดาษก็คงเถียงขาดใจว่ามนต์เสน่ห์ของหนังสือเล่มนั้นไม่มีวันจางหาย ส่วนชาวเก็ดเจ็ตก็คงบอกว่าทำไมต้องแบกหนังสือหนักใส่กระเป๋า ในเมื่อถือหนังสือเป็นพันเล่มไว้ในเครื่องมือที่สร้างขึ้นมาสำหรับอ่านหนังสือโดยเฉพาะและพลิกหน้าอ่านได้ไม่ต่างจากหน้ากระดาษแม้แต่น้อย ข้อถกเถียงดังกล่าวนำมาสู่นวนิยายเรื่องแรกของ Robin Sloan อย่าง Mr. Penumbra's 24-Hour Bookstore ส่วนผสมที่ลงตัวของนวนิยายไซไฟและการไขปริศนาลึกลับแห่งหนังสือในโลกอนาคต
เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อ เคลย์ แจนอน ต้องตกงานจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ของอเมริกาในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 และได้มาเริ่มงานใหม่ที่ร้านหนังสือของมิสเตอร์เพนัมบรา ร้านหนังสือที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง แม้งานในร้านหนังสือออกจะน่าเบื่ออยู่สักหน่อย แต่เคลย์ก็เริ่มสังเกตว่านอกจากร้านหนังสือแห่งนี้จะมีลูกค้าทั่วไปที่แวะเวียนมาซื้อหนังสือหน้าร้าน ยังมีลูกค้าอีกกลุ่มหนึ่งที่มีบัตรพิเศษ พวกเขามาเพื่อคืนและยืมหนังสือที่อยู่ลึกเข้าไปที่หลังร้าน พวกเขาถูกเรียกว่า “the Waybacklist”
ความอยากรู้อยากเห็นของเคลย์ทำให้เขาเขียนโปรแกรมเพื่อสร้างภาพสามมิติเสมือนจริงในร้าน เขาค้นพบว่าหนังสือทุกเล่มใน Waybacklist นั้นเขียนด้วยโค้ดประหลาด เขาได้ติดตามรูปแบบการยืมหนังสือของกลุ่ม Waybacklist และพบความจริงว่าคนกลุ่มนั้นเกี่ยวข้องกับองค์กรโบราณนามว่า "the Unbroken Spine" องค์กรที่พยายามถอดรหัสหนังสือของ Aldus Manutius ในช่วงศตวรรษที่ 15 ซึ่งเป็นหนังสือที่พวกเขาเชื่อว่าสามารถเปิดเผยความลับสู่ความเป็นอมตะได้ ทว่าการล่วงรู้ความลับนี้กลับนำพาให้เคลย์และมิสเตอร์เพนัมบราพัวพันกับเรื่องยุ่งยากอย่างคาดไม่ถึง
Mr. Penumbra's 24-Hour Bookstore นอกจากจะเล่าเรื่องราวการไขปริศนาของหนังสือลึกลับจากยุคโบราณ การผจญภัยและมิตรภาพของตัวละคร ยังสอดแทรกวิวาทะระหว่างรูปแบบหนังสือของยุคเก่าและยุคใหม่เอาไว้ให้คนอ่านได้ขบคิด ครั้งหนึ่งแท่นพิมพ์เคยเปลี่ยนแปลงโลกของการอ่านมาแล้ว จะมีครั้งต่อไปหรือไม่ที่รหัสดิจิทัลจะเปลี่ยนแปลงโลกของการอ่านอีกครั้ง เช่นตอนหนึ่งที่มิเตอร์เพนัมบราถามเคลย์ว่าเขามี Kindle สักเครื่องหรือไม่ "ฉันรู้สึกเหมือนโดนครูใหญ่ถามว่าฉันมีวัชพืชในกระเป๋าเป้หรือเปล่า" หรืออีกตอนหนึ่งที่พูดถึงความแตกต่างของหนังสือเล่มกับหนังสือดิจิทัลว่า “ความรู้ของมนุษยชาติควรอยู่ที่ใด ติดอยู่ระหว่างผ้าคลุมบนชั้นวางที่เต็มไปด้วยฝุ่น? หรือควรให้ทุกคนเข้าถึงได้? ความรู้ที่พิมพ์บนกระดาษล้วนถูกล่ามโซ่ และเปราะบาง เมื่อมันมอดไหม้ เรื่องราวชีวิตอันตรธานไปในทันที ทว่าเมื่ออัพโหลดแล้ว พวกมันก็โบยบินไปทั่วโลกอย่างอิสระ”
แต่สุดท้ายพวกเขาต่างก็ได้เรียนรู้ความจริงข้อหนึ่งว่า ไม่ว่าเราจะหมกมุ่นอยู่กับหนังสือปกอ่อนเล่มเก่าพร้อมกระดาษเหลืองกรอบ หรือหน้าจอเรืองแสงบนสมาร์ทโฟนก็ตาม สิ่งสำคัญของหนังสือไม่ได้อยู่ที่รูปแบบ แต่อยู่ที่พลังของถ้อยคำที่จะเปลี่ยนแปลงโลกได้ต่างหาก
4. The Reading List
ผู้เขียน : Sara Nisha Adams
รายชื่อหนังสือแนะนำ (Reading List) คงเป็นเสมือนลายแทงขุมทรัพย์สำหรับหนอนหนังสือแทบทุกคน แต่คงไม่ใช่สำหรับมูเกซ พ่อหม้ายผู้มิได้พิสมัยเรื่องราวใดบนหน้ากระดาษ ซ้ำยังอยู่ในความโศกเศร้าเมื่อต้องสูญเสียภรรยารักยอดนักอ่านไป และดูเหมือนว่าปรียา หลานสาวของเขาก็เริ่มหมกตัวเองอยู่ในห้องอ่านหนังสือมากขึ้น ขณะที่ตัวเขาเองรู้สึกว่าโลกของหนังสือเป็นเรื่องลึกลับเกินความเข้าใจของเขาเหลือเกิน เพื่อรักษาสายสัมพันธ์ที่เหลืออยู่ เขาจึงตัดสินใจเดินทางไปยังห้องสมุดท้องถิ่น นอกจากจุดประสงค์เพื่อมาคืนหนังสือ The Time Traveller's Wife ซึ่งเป็นหนังสือเล่มสุดท้ายที่ภรรยาของเขายืมมา เขายังไปที่นั่นเพื่อหวังจะเปิดโลกการอ่านของตนเองอีกด้วย
อเลชา บรรณารักษ์วัยทีนที่ไม่ได้สนใจการอ่านหนังสือมากนัก เธอมาทำงานที่นี่ในช่วงฤดูร้อนเพราะน้องชายผู้เป็นหนอนหนังสือเคยทำงานที่นี่เท่านั้น เมื่อมูเกซมาถึง บรรณารักษ์หน้าใหม่ก็ทำให้เขาผิดหวังเล็กน้อยเมื่อไม่สามารถแนะนำหนังสือที่เขาควรเริ่มต้นอ่านได้ แต่เมื่อมูเกซจากไป สาวน้อยกลับได้พบรายชื่อหนังสือปริศนาหรือ Reading List ซ่อนอยู่หลังหนังสือ To Kill a Mockingbird อเลชาจึงลองอ่านหนังสือในลิสต์ปริศนานั้นทีละเล่ม และพบว่าหนังสือแต่ละเล่มกลับช่วยเยียวยาบาดแผลในใจที่เธอมีต่อครอบครัวของเธอได้ อเลชาตัดสินใจจะแก้ตัวใหม่โดยแนะนำลิสต์หนังสือนี้ให้มูเกซได้อ่านไปพร้อมกับเธอ มิตรภาพต่างวัยของคนที่อยากจะเรียนรู้ความพิเศษของการเป็นหนอนหนังสือจึงเริ่มต้นขึ้น
นิยายของคนรักหนังสืออย่าง The Reading List ไม่ได้ทำหน้าที่แค่เพียง “แนะนำลิสต์หนังสือ” ที่น่าอ่านเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นหนังสือเล่มใดก็มักจะมีบางสิ่งที่ “ทัช” หัวใจของคนอ่าน แม้ว่าจะเป็นหนังสือเล่มเดียวกัน ทว่าเนื้อหาของหนังสือในลิสต์ปริศนากลับตรงกับช่วงชีวิตที่คนสองวัยต้องเผชิญ และบางถ้อยคำในหนังสือแต่ละเล่มก็ช่วยเติมเต็มรูโหว่ในหัวใจของทั้งคู่ได้พอดี นอกจากนี้แล้ว The Reading List ยังแสดงให้เห็นว่า โลกของการอ่านจะเชื่อมต่อหัวใจของนักอ่านไว้ด้วยกันเสมอ เพราะการอ่านมักถูกมองว่าเป็นการเดินทางอันโดดเดี่ยวของนักอ่าน แต่แท้จริงแล้ว “เส้นทาง” ที่สร้างจากหนังสือเล่มเดียวกัน ก็ทำให้คนอ่านทั้งสองคนผูกพันกันไม่ต่างจากเพื่อนที่ร่วมผจญภัยไปด้วยกัน เห็นอย่างนี้แล้วหนอนหนังสืออย่างเรายิ่งไม่ควรพลาดในการตามหา “ลิสต์หนังสือปริศนา” มาอ่านและร่วมผจญภัยไปกับเส้นทางเดียวกันกับคู่หูต่างวัยทั้งสองคนนี้
5. หลากเรื่องในชีวิตของชายที่รักหนังสือ (The Storied Life of A.J. Fikry)
ผู้เขียน : Gabrielle Zevin ผู้แปล: อภิญญา ธโนปจัย
การได้เป็นเจ้าของร้านหนังสือดูเหมือนจะเป็นความฝันอันยิ่งใหญ่ที่ทำให้คนรักหนังสือมีความสุขในทุกวัน แต่บางทีอาจไม่ใช่กับ เอ.เจ.ฟิกรี้ เจ้าของร้านหนังสือไอร์แลนด์บุ๊กส์เพียงร้านเดียวบนเกาะอลิซ ที่มีสโลแกนสุดแสนคมคายแขวนไว้หน้าร้านว่า “ไม่มีผู้ใดอ้างว้างดั่งเกาะกลางทะเล เพราะหนังสือทุกเล่มคือโลกใบหนึ่ง” แต่ถึงอย่างนั้น โลกทั้งใบของฟิกรี้ก็กำลังพังทลายเมื่อต้องสูญเสียภรรยาอย่างกะทันหันเพราะอุบัติเหตุรถยนต์ หลังจากนั้นชีวิตของเขาก็ดูเหมือนจะดิ่งลงไปเรื่อยๆ ยอดขายหนังสือก็แทบไม่พอประทังชีวิต ซ้ำร้ายสมบัติล้ำค่าที่สุดในร้านอย่างหนังสือรวมบทกวีหายากของเอ็ดการ์ อัลลัน โพ ซึ่งตีมูลค่าได้มากกว่าสี่แสนดอลลาร์ยังมาโดนขโมยไปอีก ความสิ้นหวังทำให้เขาเลิกล็อคกุญแจร้าน เพราะสิ่งที่อยู่ในร้านคงไม่มีคุณค่ากับใครอีก ทว่าเช้าวันต่อมา เขาก็กลับพบว่ามีเด็กน้อยนาม “มายา” ถูกทิ้งไว้ที่ร้านแทน พ่อหม้ายผู้สิ้นหวังในชีวิตไม่คิดอยากจะรับใครไว้เลี้ยงอยู่แล้ว แต่เจ้าเด็กน้อยก็ช่างแสนรู้ที่ทำให้ฟิกรี้เปลี่ยนใจด้วยคำสั้น ๆ เพียงคำเดียวว่า “รักเธอ”
เรื่องราวของเด็กน้อยมายากระจายไปทั่วเกาะ ทำเอาบรรดาแม่ ๆ ทั้งหลายต่างก็แวะเวียนมายังร้านหนังสือเพราะเป็นห่วงว่าพ่อหม้ายผู้ไร้ประสบการณ์จะมีปัญหาในการเลี้ยงเด็ก ฟิกรี้ได้รับของใช้ที่จำเป็นเกี่ยวกับเด็กตลอดจนรู้เคล็ดลับเกี่ยวกับการเลี้ยงเด็กที่ไม่มีในตำราเพิ่มขึ้นมากมาย พร้อมกันนั้น ยอดขายหนังสือก็กระเตื้องขึ้น เพราะบรรดาแม่ทั้งหลายเมื่อมาถึงร้านหนังสือต่างก็ซื้อหาหนังสือติดไม้ติดมือกลับบ้าน โดยเฉพาะนิยายโรแมนซ์ที่ทุกคนต่างก็ซื้อหาไปอ่าน จนกระทั่งมีการรวมกลุ่มพูดคุยเรื่องหนังสือของแม่บ้านขึ้นมา หรือแม้แต่ตำรวจที่เคยช่วยเหลือฟิกรี้ตามหาแม่ของมายา ก็กลับกลายมาเป็นแฟนตัวยงของนิยายสืบสวนสอบสวนที่ฟิกรี้แนะนำให้อ่าน
ชีวิตที่เคยโดดเดี่ยวเพราะอยู่ในโลกของหนังสือและโลกของตัวเองมากเกินไปของฟิกรี้เปลี่ยนไปเพราะการเข้ามาของเด็กน้อยมายา ร้านหนังสือของเขาจากเดิมที่เคยมีแต่วรรณกรรมคลาสสิกระดับโลกหรือวรรณกรรม “หัวสูง” ที่ฟิกรี้คัดสรรมาด้วยรสนิยมส่วนตัวก็กลับกลายเป็นร้านหนังสือที่ทุกคนในเกาะแห่งนี้จะได้เชื่อมโยงกันด้วยเรื่องราวมากมายจากหนังสือหลากรส ชวนให้เรากลับไปทบทวนสโลแกนหน้าร้านอีกครั้งว่า การอ่านหนังสืออย่างโดดเดี่ยวในโลกส่วนตัวก็ไม่ต่างอะไรกับการถูกทิ้งร้างในเกาะกลางทะเล สิ่งสำคัญของร้านหนังสือจึงไม่ใช่ชั้นหนังสือที่เต็มไปด้วยวรรณกรรมระดับโลก แต่คือพื้นที่ที่ทำให้ทุกคนได้ร่วมแบ่งปันโลกส่วนตัวของแต่ละคน หลากเรื่องในชีวิตของชายที่รักหนังสือจึงไม่ใช่แค่ชีวิตของฟิกรี้ แต่คือการส่งข้อความมาถึงผู้อ่านถึงความหมายที่แท้จริงของการอ่านว่าไม่ใช่การสร้างโลกส่วนตัวที่ตัดขาดจากผู้อื่น แต่คือการเชื่อมโยงหัวใจของคนที่รักการอ่านเอาไว้ด้วยกันต่างหาก
6. ปาฏิหาริย์แมวลายส้มผู้พิทักษ์หนังสือ (The Cat who loved to Protect Books)
ผู้เขียน: Sōsuke Natsukawa ผู้แปล: ฉัตรขวัญ อดิศัย
นัตสึกิ รินทาโร่ นักเรียนหนุ่มมัธยมปลายที่อาศัยอยู่กับปู่ในร้านหนังสือมือสองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่รวบรวมวรรณกรรมดี ๆ ไว้มากมาย แม้จะเป็นเด็กหนุ่มธรรมดา ๆ ทว่าสิ่งที่อาจเรียกได้ว่าเป็นพลังพิเศษของเขาคือความเนิร์ดในการอ่านหนังสือวรรณกรรมชั้นดีมากมายหลายเล่มตั้งแต่ยังอายุไม่มากนัก กระทั่งจุดเปลี่ยนของชีวิตเดินทางมาถึง เมื่อปู่เสียชีวิตอย่างกะทันหัน เขาก็รับสืบทอดร้านหนังสือของปู่มาอย่างไม่ทันตั้งตัว เด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจว่าจะบริหารร้านหนังสือต่อจากปู่ได้หรือไม่ ขณะที่กำลังสับสนนั้น ก็มีแมวลายส้มปริศนานามว่า “โทระ” ปรากฏตัวขึ้นมาเพื่อ “ขอยืมพลัง” ของเด็กหนุ่มในการช่วยเหลือบรรดา “หนังสือที่ถูกจองจำ” หลังจากนั้นเรื่องราวแฟนตาซีของเนิร์ดหนังสือกับแมวเหมียวตัวป่วนก็ได้เริ่มขึ้นที่หลังร้านหนังสือ ซึ่งพาสองคู่หูเดินทางข้ามมิติไปยังเขาวงกตชั้นต่าง ๆ เพื่อพิชิต “บอส” และพาหนังสือที่ถูกจองจำกลับคืนมา
เรื่องราวในปาฏิหาริย์แมวลายส้มผู้พิทักษ์หนังสือ นอกจากจะเปี่ยมสีสันด้วยเรื่องราวการผจญภัยแฟนตาซี แถมยังได้เดินทางไปต่อกรกับ “บอส” ในแต่ละด่าน ราวกับเป็นตัวเอกในเกม RPG แล้ว เรื่องราวการต่อสู้ในเขาวงกตแต่ละชั้นก็ไม่ใช่การเตะต่อยปล่อยพลังวิเศษ แต่คือการคลายปมเกี่ยวกับหนังสือในแง่มุมต่าง ๆ ช่วยกระตุกความคิด กระตุ้นให้หนอนหนังสืออย่างเรา ๆ ได้ทบทวนว่า เราเป็นเนิร์ดหนังสือที่ดีหรือเป็นเหมือน “บอส” ผู้จองจำหนังสือในเขาวงกตเหล่านั้นโดยไม่รู้ตัวหรือไม่ เชื่อแน่ว่าเมื่อร่วมผจญภัยกับเจ้าแมวลายส้มไปจนถึงหน้าสุดท้ายแล้ว ไม่เพียงแต่จะเราจะเห็นการเติบโตของรินทาโร่ แต่จะเห็นการเติบโตของตัวเองและได้คำตอบเสียทีว่าเหตุผลที่แท้จริงที่เราอ่านหนังสือคืออะไร
7. Franklin's Flying Bookshop
ผู้เขียน : Jen Campbell ภาพประกอบ : Katie Harnett
หนังสือภาพสุดแสนน่ารักของคนรักหนังสือ เล่าถึงเรื่องราวของแฟรงคลิน มังกรตัวเขียวผู้รักการอ่านเป็นชีวิตจิตใจ เขาอ่านหนังสือมากมายตั้งแต่ตำนานของกษัตริย์อาเธอร์ไปจนถึงตำราอบขนม ทว่าทุกคนต่างก็รู้กันดีว่ามังกรเป็นสัตว์ที่ดุร้าย พ่นไฟทำลายล้างหมู่บ้านได้ แถมยังมีพละกำลังมหาศาล จึงเป็นที่หวาดกลัวของผู้คนมาหลายศตวรรษ แฟรงคลินจึงได้แต่อ่านหนังสืออยู่คนเดียว (ตัวเดียว) เงียบ ๆ โดยมีหนู ค้างคาว หิ่งห้อยที่อาศัยอยู่ในถ้ำอันแสนอุ่นสบายเขตชายเมืองเท่านั้นที่พอจะเป็นเพื่อนให้แชร์เรื่องราวในหนังสือที่เพิ่งอ่านมา
จนกระทั่งแฟรงคลินได้พบกับลูน่า เด็กสาวผมแดงหนอนหนังสือตัวยงที่บังเอิญมาพบแฟรงคลิน เธอเองก็เคยอ่านเรื่องราวของมังกรผู้ดุร้าย แต่เมื่อพบว่าแฟรงคลินเป็นมังกรเนิร์ดหนังสือ เธอก็เป็นเพื่อนกับเขาในทันที ทั้งคู่แชร์เรื่องราวต่าง ๆ ในหนังสือที่เคยอ่านมาทั้งวันทั้งคืน แต่จะพูดคุยเท่าไรก็ไม่พอ เด็กสาวจึงคิดแผนการที่จะแบ่งปันเรื่องราวอันแสนสนุกสนานเหล่านี้แก่ผู้คนให้มากที่สุด ด้วยความร่วมมือของผองเพื่อนในถ้ำมังกร บรรดาชั้นวางหนังสือ โซฟา โคมไฟหิ่งห้อย และขนมทั้งหลายล้วนผูกติดกับหลังของแฟรงคลินอย่างแน่นหนา แฟรงคลินกลายเป็นร้านหนังสือกลางเวหา (Flying Bookshop) ที่รอแบ่งปันความสุขให้ทุกคนในหมู่บ้าน ทั้งคู่ตัดสินใจบินเข้าเมืองเพื่อพบปะและทักทายชาวเมืองทันที
แน่นอนว่าเมื่อจู่ ๆ มังกรได้ปรากฏตัวกลางเมือง ชาวบ้านก็ย่อมแตกตื่นเป็นธรรมดา แม้ลูน่าจะพยายามอธิบายเรื่องราวทั้งหมดแต่ก็ไม่เป็นผล บรรดาเพื่อนรักของแฟรงคลินจึงต้องยื่นมือเข้ามาช่วย เจ้าค้างคาวออกมาเต้นกายกรรม เจ้าหนูน้อยร้องเพลงอย่างไพเราะ ทำให้เด็ก ๆ และชาวบ้านเริ่มเปิดใจและก้าวขึ้นไปบนหลังของมังกรนักอ่าน แฟรงคลินดีใจที่ได้พบเพื่อนใหม่ ๆ จึงพาพวกเขาโบยบินไปกับร้านหนังสือกลางเวหา ท่ามกลางแสงจันทร์ที่ส่องสว่างต่างโคมไฟให้อ่านหนังสือในค่ำคืนแห่งความสุข
Franklin's Flying Bookshop เล่าเรื่องราวอย่างเรียบง่ายตรงไปตรงมาเกี่ยวกับคนรักหนังสือทั้งสองคนที่อยากจะแบ่งปันความสุขจากการอ่านให้แก่ผู้อื่น พร้อมด้วยภาพประกอบที่ดูอบอุ่นสบายตา เหมาะจะเป็นนิทานก่อนนอนเพื่อปลูกฝังให้เด็ก ๆ รักการอ่านมากขึ้น นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นว่าหนังสือและเรื่องราวอันแสนสนุกสนานสามารถนำทางให้ผู้คนมารวมกันได้เสมอ แม้ว่าเราทุกคนจะแตกต่างและไม่เหมือนใคร แต่เราทุกคนสามารถพบบางสิ่งที่เหมือนกันเมื่อพูดถึงการอ่าน เพราะคนที่รักหนังสือ ไม่มีวันเป็นคนไม่ดีแน่นอน
เป็นอย่างไรบ้างกับ 7 เล่มที่ TK Park คัดสรรมาให้ชาว TK ได้รู้จักร้านหนังสือและห้องสมุดมหัศจรรย์หลากหลายรูปแบบ และไม่ว่าจะเป็นร้านหนังสือแบบใดก็ล้วนแต่เต็มไปด้วยความสุข ความหวัง และการค้นหาความหมายแท้จริงจากการอ่าน ไม่ว่าเราจะค้นพบความหมายของการอ่านว่าอย่างไร ความสุขของหนอนหนังสือชาว TK อย่างเราก็ไม่เปลี่ยนไปจากเดิม เพียงแค่หยิบหนังสือขึ้นมาสักเล่ม เอนตัวลงบนโซฟาตัวโปรดและเริ่มผจญภัยไปพร้อมกับตัวละครในเรื่องนั่นเอง อ่านแล้วชอบเล่มไหนอย่าลืมมาพูดคุยแชร์ความรู้สึกกันนะ