บรรณารักษ์ควรจะทำอย่างไรต่อไปในอนาคต (ตอนที่ 1) หากหนังสือและสื่อสิ่งพิมพ์ถึงจุดอวสาน
10 กันยายน 2562
317
Credit : Getty Images , Copyright : Steve Debenport
มีคนจำนวนไม่น้อยมองว่าหนังสือและวารสารในรูปแบบสิ่งพิมพ์กำลังใกล้จะถึงจุดจบแล้ว พวกเขาชี้ให้เห็นว่าหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (อีบุ๊ค) แพร่หลายอย่างรวดเร็ว และมีการแปลงวารสารวิชาการส่วนใหญ่ให้อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้บริษัทกูเกิล (Google) และบริษัทอื่นๆ ก็พยายามแปลงสิ่งพิมพ์ต่างๆ ในโลกนี้ให้กลายเป็นรูปแบบดิจิทัล พวกเขาสรุปว่าวันนั้นกำลังจะมาถึงอีกไม่นาน ดังที่เราสามารถเรียกหาข้อมูลเกือบทุกอย่างที่ต้องการ เพียงแค่กดปุ่มบนแท็บเล็ตหรืออุปกรณ์ที่ใช้อ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-reader)
สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเช่นนี้จะมีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงต่อห้องสมุด ซึ่งมีหน้าที่เก็บรวบรวม รักษา จัดระบบ และให้บริการค้นหาหนังสือมาตั้งแต่ผู้คนเริ่มคิดถ่ายทอดถ้อยคำลงบนกระดาษเป็นครั้งแรก จะเกิดอะไรขึ้นกับบรรณารักษ์และหน้าที่ที่เราทำ หากผู้คนไม่ถ่ายทอดข้อความลงบนกระดาษอีกต่อไป บทบาทของบรรณารักษ์คืออะไร และเราต้องทำอะไรบ้าง
ก่อนอื่นเราควรจะทำลายหนังสือทั้งหมดของเราทิ้ง บริษัทกูเกิล (Google) และบริษัทแอมะซอน (Amazon) ได้รวบรวมหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ไว้มากกว่าห้องสมุดเกือบทุกแห่งในโลก หากโครงการสแกนหนังสือของกูเกิลแล้วเสร็จ จะกลายเป็น “ห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลก” อย่างแท้จริง
ส่วนเนื้อหาเชิงวิชาการและเนื้อหาเชิงวิชาชีพจะอยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นเรื่อยๆ โดยมีสำนักพิมพ์สำคัญสองสามแห่ง เช่น เอลซีเวียร์ (Elsevier) สปริงเกอร์ (Springer) และไวลีย์ (Wiley) ได้รวบรวมหนังสือวิชาการ วารสาร และตำราจำนวนมาก ห้องสมุดจะมีบทบาทในการช่วยจ่ายค่าเข้าใช้สื่อดิจิทัลเหล่านี้ เพื่อให้นักวิชาการและนักศึกษาอีกหลายล้านคนคงไม่ต้องใช้เงินมากมายในการซื้อบทความและหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ทุกเล่มที่ต้องอ่าน
เป็นไปได้ว่าการเปิดให้ผู้ใช้งานได้เข้าถึงบทความและหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ได้เสรี จะสามารถลดค่าใช้จ่ายของสื่อวิชาการดังกล่าวลงได้บ้าง แต่เนื่องจากสื่อบางชนิดมีตลาดขนาดเล็ก ราคาของสื่อดังกล่าวจึงมักสูงกว่าความสามารถที่แม้แต่ครูและนักศึกษาที่มั่งคั่งที่สุดจะสามารถซื้อได้ ดังนั้นสถาบันอุดมศึกษาจึงควรจ่ายค่าเนื้อหาเหล่านั้นเพื่อให้คณาจารย์และนักศึกษาของมหาวิทยาลัยได้ใช้งาน
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปประการเดียวก็คือ เงินที่วิทยาลัยและมหาวิทยาลัยจ่ายน่าจะไปอยู่ในมือบริษัทไม่กี่ราย กูเกิล บุ๊คส์ (Google Books) และสำนักพิมพ์วารสารรายใหญ่น่าจะสามารถให้บริการเนื้อหาอิเล็กทรอนิกส์ได้หลากหลายกว่าห้องสมุดของสถาบันการศึกษา ทั้งนี้ กูเกิลหรือเอลซิเวียร์ หรือแม้แต่สมาคมห้องสมุดวิจัยแห่งสหรัฐอเมริกา (Association of Research Libraries-ARL) ซึ่งกล้าริเริ่มลงมือทำ น่าจะให้บริการห้องสมุดวิชาการได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์
แล้วห้องสมุดวิชาการกว่า 3,700 แห่งในมหาวิทยาลัยของสหรัฐอเมริกาจะมีบทบาทหน้าที่อะไร งบประมาณของห้องสมุดเหล่านั้นคงถูกใช้เพื่อจ่ายค่าเนื้อหาให้กับกูเกิลและบริษัทอื่นๆ เป็นหลัก หากข้อมูลเชิงวิชาการเปลี่ยนมาอยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์จริงๆ ห้องสมุดใกล้บ้านก็น่าจะไม่จำเป็นเมื่อเทียบกับเว็บไซต์กูเกิลหรือแอมะซอนที่เข้าถึงได้ทุกที่
เนื้อหาเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนเมื่อทุกอย่างเปลี่ยนเป็นรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ อีบุ๊คส่วนใหญ่ที่มีให้อ่านกันขณะนี้มีราคาถูกมาก ในปี พ.ศ. 2554 (ค.ศ. 2011) อีบุ๊คส่วนใหญ่มีราคาเฉลี่ยเรื่องละ 7 ดอลลาร์สหรัฐนิดๆ ดังนั้น หากหนอนหนังสืออ่านอีบุ๊คประมาณปีละ 50 เรื่องก็น่าจะจ่ายเงินไม่มากไปกว่า 350 ดอลลาร์ และยังมีอีบุ๊คอีกหลายล้านเรื่องที่สามารถอ่านได้ฟรี
นอกจากนี้ผู้ให้บริการเชิงพาณิชย์รายใหญ่หลายราย ได้แก่ เน็ตฟลิกซ์ ออดิเบิล และแอมะซอนไพรม์[1] มีบริการให้ยืมเนื้อหาอิเล็กทรอนิกส์ทั้งอีบุ๊คและวิดีโอ โดยคิดค่าใช้จ่ายใกล้เคียงกับภาษีโดยเฉลี่ยที่ประชาชนจ่ายให้ห้องสมุดในปัจจุบัน[2] ดังนั้นแล้วห้องสมุดประชาชนควรจะเข้ามามีบทบาทในการจ่ายค่าเข้าถึงข้อมูลและความบันเทิงในโลกอิเล็กทรอนิกส์หรือไม่ และจะสามารถให้เหตุผลในการใช้งบประมาณจากรัฐบาลเพื่อซื้ออีบุ๊คแนวโรแมนติกราคาเรื่องละ 3 ดอลลาร์หรืออีบุ๊คขายดีราคาเรื่องละ 9.99 ดอลลาร์ได้หรือไม่
ประการที่สอง เราควรทุบอาคารห้องสมุดของเราทิ้ง เห็นได้ชัดว่าในโลกที่ไม่มีหนังสือตีพิมพ์ออกมาเป็นรูปเล่ม เราน่าจะไม่ต้องการอาคารใหญ่โตเพื่อเก็บรักษาหนังสือที่ตีพิมพ์เป็นรูปเล่มหลายแสนหรือหลายล้านเล่ม บางคนแนะนำว่าเราควรเปลี่ยนอาคารเหล่านี้ให้เป็นศูนย์กลางของชุมชน (community centers) แต่ชุมชนหลายแห่งมีศูนย์กลางของชุมชนอยู่แล้ว ส่วนบางคนก็แนะนำให้เปลี่ยนอาคารห้องสมุดให้เป็นศูนย์เทคโนโลยี โดยนำคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เทคโนโลยีชั้นสูงอื่นๆ รวมทั้งมีเลานจ์และร้านกาแฟมาแทนหนังสือ
เมื่อเร็วๆ นี้ ห้องสมุดประชาชนนิวยอร์ก ได้เสนอว่า คอมพิวเตอร์ในห้องสมุดกำลังล้าสมัยเพราะผู้คนหันไปใช้แท็บเล็ตและสมาร์ทโฟน หรือห้องสมุดควรจะขายคอมพิวเตอร์ทิ้งเพื่อเปลี่ยนเป็นศูนย์รวมร้านอาหารและความบันเทิงขนาดใหญ่ เช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลงสถานีรถไฟเก่าที่ใหญ่โตในกรุงวอชิงตัน ดีซี ในเมืองแคนซัสซิตี รัฐมิสซูรี และในเมืองชัททานูกา รัฐเทนเนสซี
ในมหาวิทยาลัย อาคารห้องสมุดมักตั้งอยู่ในทำเลทอง จึงเป็นที่หมายปองของภาควิชาต่างๆ ห้องสมุดอาจถูกเปลี่ยนเป็นสโมสรนักศึกษา พิพิธภัณฑ์ ศูนย์ศิลปะการแสดง หรือเพียงแค่เปลี่ยนเป็นพื้นที่ของห้องเรียน อาคารห้องสมุดบางแห่งกว้างขวางพอที่จะเปลี่ยนเป็นสถานที่ใช้งานหลายแบบพร้อมกัน แต่หลักๆ แล้ว ไม่ใช่เรื่องสำคัญว่าอาคารเหล่านี้จะใช้ทำอะไร สิ่งสำคัญคือหากเนื้อหาทั้งหมดอยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ก็ไม่จำเป็นจะต้องมีห้องสมุดอีกต่อไป
ประการที่สาม เราควรลดจำนวนพนักงานส่วนใหญ่ เรายังต้องการผู้ที่จะดูแลเนื้อหาและช่วยเหลือผู้ใช้บริการแม้ว่าเนื้อหาจะอยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ แต่หากไม่มีหนังสือกระดาษ เราก็ไม่จำเป็นต้องมีพนักงานบริการยืมคืนหนังสือ พนักงานจัดเก็บ/เรียงหนังสือ/วัสดุอื่นๆ ขึ้นชั้น พนักงานรับฝากของมีค่า พนักงานรักษาความปลอดภัย เป็นต้น โดยเฉลี่ยแล้วพนักงานที่คอยช่วยบรรณารักษ์และพนักงานธุรการคิดเป็นประมาณ 70% ของพนักงานทั้งหมด และใช้งบประมาณดำเนินงานห้องสมุดจำนวนมาก หากทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ พนักงานเหล่านั้นจะต้องหางานใหม่
ประการที่สี่ เราน่าจะประหยัดเงินจำนวนมาก ตอนนี้ห้องสมุดต่างๆ มิได้ใช้งบประมาณส่วนใหญ่เพื่อซื้อหนังสือ เมื่อปี พ.ศ. 2552 (ค.ศ. 2009) สถาบันเพื่อการบริการด้านพิพิธภัณฑ์และห้องสมุด (Institute of Museum and Library Services-IMSL) เปิดเผยข้อมูลว่า ห้องสมุดประชาชนทั่วไปในสหรัฐอเมริกาใช้เงินซื้อหนังสือและสื่ออื่นๆ เพียง 12 เซนต์จากทุกๆ 1 ดอลลาร์ และจำนวนเงินดังกล่าวได้ลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี (ลดลงจาก 25 เซนต์ในปี พ.ศ. 2493 หรือ ค.ศ. 1950 และ 15.9 เซนต์ในปี พ.ศ. 2533 หรือ 1990) แม้แต่ในช่วงเวลาที่มีการตีพิมพ์หนังสือจำนวนมาก
จากข้อมูลล่าสุดของศูนย์สถิติการศึกษาแห่งชาติ (National Center for Education Statistics-NCES) พบว่า เมื่อปี พ.ศ. 2553 (ค.ศ. 2010) ห้องสมุดสถาบันอุดมศึกษาใช้งบประมาณโดยเฉลี่ยจำนวน 39% เพื่อซื้อหนังสือ วารสาร และสื่ออื่นๆ งบประมาณจำนวนมากถูกใช้เป็นค่าจ้างเจ้าหน้าที่ (คิดเป็น 66% สำหรับห้องสมุดประชาชน และ 50% สำหรับห้องสมุดสถาบันอุดมศึกษา) และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการอื่นๆ (คิดเป็น 21% สำหรับห้องสมุดประชาชน และ 11% สำหรับห้องสมุดสถาบันอุดมศึกษา)
หากปราศจากหนังสือที่เป็นรูปเล่มและตัวอาคารห้องสมุดแล้ว ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ก็น่าจะหายไปด้วย เช่น ประมาณ 70% ของค่าจ้างพนักงานที่คอยช่วยบรรณารักษ์น่าจะหายไป และบรรณารักษ์ก็น่าจะลดลงอย่างมาก เมื่อไม่มีโต๊ะให้บริการตอบคำถามและช่วยการค้นคว้า ก็ไม่จำเป็นต้องมีพนักงานมาให้บริการและไม่มีอาคารให้ต้องคอยจัดการและดูแล น่าจะประหยัดงบดำเนินงานได้ถึง 30-40% ส่วนห้องสมุดประชาชนน่าจะประหยัดได้เกินกว่า 50% ทำให้มีงบประมาณสำหรับซื้อหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้น
เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา
คำถามนี้สำคัญต่อคุณค่าของอาชีพบรรณารักษ์ในโลกดิจิทัล มีการอภิปรายประเด็นดังกล่าวในหนังสือ บทความ บล็อก ทวิตเตอร์ และแม้แต่วิดีโอในยูทูบ กล่าวคือมีการคาดเดาว่า ห้องสมุดจะสามารถพลิกบทบาทและหน้าที่ให้กลายเป็นบริการที่มีคุณค่าแก่ชุมชนได้ ตัวอย่างเช่น บางทีเราอาจจะกลายเป็นเหมือนผู้เชี่ยวชาญที่ประจำที่แอปเปิลจีเนียสบาร์ (Apple Genius Bar) ในร้านแอปเปิลสโตร์ (Apple Store) เพราะเราช่วยให้ผู้ใช้บริการสามารถใช้งานคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ บางคนแนะนำว่าเราควรเป็น “ผู้จัดการพบปะ” และนัดหมายผู้คนให้มาพบปะกัน บางคนแนะนำว่าบรรณารักษ์น่าจะพลิกสถานการณ์เปลี่ยนบทบาทและกลายเป็นสำนักพิมพ์เสียเอง เนื่องจากพวกเราส่วนใหญ่ทำงานกับหนังสือมายาวนานและได้ช่วยเหลือผู้เขียนหนังสือในการทำงานวิจัยมาโดยตลอด
เดวิด แลงเคส (David Lankes) เขียนไว้ในหนังสือชื่อ The Atlas of New Librarianship[3] ว่า ในอนาคต “ภารกิจของบรรณารักษ์คือการพัฒนาสังคม โดยช่วยเหลืออำนวยความสะดวกในการสร้างองค์ความรู้ในชุมชน” ถ้ายึดตามวิสัยทัศน์ของแลงเคส ที่ผ่านมาภารกิจของเราควรจะเป็นการ “ช่วยเหลืออำนวยความสะดวกในการสร้างองค์ความรู้” ไม่ว่าในความเป็นจริงเราได้ทำอะไรลงไปในอดีต อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอของแลงเคสก็มีปัญหาอยู่บางประการ
ก่อนหน้านี้บรรณารักษ์เป็นเพียงตัวเลือกเดียวสำหรับผู้ใช้บริการ หากใครต้องการให้ช่วยเหลือในการใช้คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ต่างๆ บรรณารักษ์จะเป็นผู้ที่ยื่นมือเข้ามาช่วย เมื่อนักเขียนขอให้บรรณารักษ์ช่วยค้นคว้าหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง เรารู้จักหนังสือในหมวดหมู่ต่างๆ อย่างดี และทราบวิธีสกัดข้อเท็จจริงจากหนังสือ และแน่นอนว่า เราเคยนัดหมายให้คนในชุมชนมา “พบปะกัน” เราจัดกิจกรรม และเราเคยอำนวยความสะดวกในการสร้างองค์ความรู้ โดยนำหนังสือและเนื้อหาจำนวนมากมารวบรวมไว้ในสถานที่เดียว และให้บริการช่วยเหลือในการใช้ทรัพยากรดังกล่าว
ในขณะที่การตีพิมพ์หนังสืออิเล็กทรอนิกส์มีการแข่งขันรุนแรงมาก นอกจากสำนักพิมพ์รายใหญ่ 6 แห่ง ยังมีสำนักพิมพ์รายย่อยอีกนับพันแห่ง ซึ่งเพียบพร้อมไปด้วยบุคลากรที่สนับสนุนเรื่องการตีพิมพ์ ได้แก่ ตัวแทนสำนักพิมพ์ บรรณาธิการ ผู้ออกแบบหนังสือ ผู้ให้ภาพประกอบ นักพิสูจน์อักษร ผู้จัดพิมพ์ ผู้จัดทำหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ และอาชีพอื่นๆ อีกหลายสิบอาชีพ ห้องสมุดได้ให้บริการจัดพิมพ์เผยแพร่ผลงานของตัวเอง (Self-publishing services) ในรูปแบบหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ และจัดอบรมเรื่อง “จะทำอย่างไรหากต้องการตีพิมพ์หนังสือ” แต่บรรณารักษ์จะสามารถทำประโยชน์อะไรให้แก่วงการหนังสือซึ่งมีการแข่งขันสูง
สรุปได้ว่าบทบาทใหม่อันยิ่งใหญ่ของบรรณารักษ์ในโลกที่ไม่มีห้องสมุดในอนาคตนั้นเป็นความคิดฝันลมๆ แล้งๆ เพราะในอนาคตเราต้องแข่งขันโดยตรงกับผู้ที่มีประสบการณ์และความพร้อมมากกว่า และคงเป็นเรื่องยากที่จะโน้มน้าวให้รัฐจ่ายงบประมาณเพื่อผลิตบริการที่ซ้ำซ้อนและผู้อื่นทำได้ดีกว่าเรา
เดี๋ยวก่อน บรรณารักษ์และห้องสมุดยังไม่ตาย
ในโลกที่เนื้อหาได้กลายเป็นอิเล็กทรอนิกส์ หลายบทบาทของห้องสมุดก็ยังคงเป็นที่ต้องการ ได้แก่ การรวบรวม การคัดสรร และการอ้างอิงทรัพยากรต่างๆ เราอาจทำลายหนังสือและทุบอาคารห้องสมุดทิ้ง แต่หน้าที่หลักของห้องสมุดก็ไม่ได้หายไป แต่กลับยิ่งเพิ่มความสำคัญกว่าที่เคยเป็นมา
ทุกวันนี้หนังสือและบทความอิเล็กทรอนิกส์ได้รับการตีพิมพ์มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมากกว่าช่วงเวลาใดในประวัติศาสตร์ รายงานฉบับล่าสุดของเว็บไซต์โบว์เคอร์ (http://www.bowker.com) คาดการณ์ว่า ในปี พ.ศ. 2554 (ค.ศ. 2011) มีการตีพิมพ์หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ 347,178 รายการในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2493 (ค.ศ. 1950) ซึ่งมี 11,022 รายการ นอกจากนี้ยังมีหนังสืออิเล็กทรอนิกส์อีก 1.1 ล้านรายการที่ผู้เขียนตีพิมพ์เอง ควรจะมีผู้ติดตามและรวมรวมข้อมูลหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้มาไว้ด้วยกัน เพื่อให้ผู้คนสามารถค้นหาผลงานนั้นๆ ได้พบ ซึ่งนี่คือบทบาทของห้องสมุดและบรรณารักษ์
ในทำนองเดียวกัน ควรมีใครบางคนทำหน้าที่จัดประเภทผลงานอิเล็กทรอนิกส์ที่มีทั้งหมด คัดสรรว่าหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เรื่องใดบ้างที่อ่านแล้วคุ้มค่าเวลาหรือตรงตามความสนใจของผู้อ่านอย่างแท้จริง สิ่งเหล่านี้เป็นบทบาทดั้งเดิมของห้องสมุด ซึ่งอาศัยความช่วยเหลือจากผู้วิจารณ์หนังสืออิเล็กทรอนิกส์
ประการสุดท้าย การอ้างอิงซึ่งเป็นบทบาทหน้าที่ดั้งเดิมของห้องสมุดอีกด้านหนึ่ง หมายถึง การช่วยเหลือผู้ใช้บริการเพื่อค้นหาข้อเท็จจริง ตัวเลข และข้อมูลอื่นๆ จากสื่อทรัพยากรกองโต โดยยังไม่รวมหน้าเว็บ บล็อก ข้อความในทวิตเตอร์ เป็นต้น รวมทั้งบทบาทในการให้ข้อมูลเพิ่มเติมที่ชัดเจนเกี่ยวกับสื่อทรัพยากรเหล่านั้น ให้สอดคล้องกับความต้องการที่เฉพาะเจาะจง
บทบาทดั้งเดิมของบรรณารักษ์จึงยังมีความจำเป็นในโลกอิเล็กทรอนิกส์ ทว่าในสถานการณ์นี้ห้องสมุดเต็มไปด้วยคู่แข่งมากมาย ซึ่งบางรายมีสมรรถภาพสูงอย่างเห็นได้ชัด เช่น บริษัทกูเกิล ซึ่งนอกจากจะมีเครื่องมือในการสืบค้น (Google search engine) ยังมีกูเกิลบุ๊คส์ (Google Books) ซึ่งได้สแกนและรวบรวมหนังสือมากกว่า 124 ล้านเล่ม และกูเกิลเพลย์ (Google Play) ซึ่งมีหนังสือให้บริการกว่าสี่ล้านเล่ม รวมถึงภาพยนตร์ เพลง และแอพพลิเคชั่นอีกนับพันรายการ ซึ่งมากกว่าทรัพยากรที่ห้องสมุดส่วนใหญ่มี ส่วนเนื้อหาวิชาการอิเล็กทรอนิกส์ ถูกรวบรวมโดยสำนักพิมพ์เชิงวิชาการ เช่น กูเกิลสกอลาร์ (Google Scholar) และกูเกิลบุ๊คส์ (Google Books)
ผู้รวบรวมทรัพยากรเป็นผู้ที่สามารถใช้ดุลยพินิจเกี่ยวกับเนื้อหาที่พวกเขารวบรวมได้ การจัดการทรัพยากรยังครอบคลุมถึงการที่นักวิชาการวิจารณ์ทรัพยากรและอ้างอิงชื่อเรื่องของทรัพยากรต่างๆ ในงานวิจัย และการจัดการทรัพยากรยังดำเนินการโดยผู้อ่านที่กระตือรือร้นในการเขียนบทวิจารณ์ทรัพยากรและทำลิสต์รายการชื่อเรื่องของทรัพยากร
ส่วนการหาข้อมูลอ้างอิงนั้น เราอาจจะไม่พึงพอใจและติชมได้ แต่เครื่องมือในการค้นหาของกูเกิลและวิกิพีเดียได้แย่งยอดบริการอ้างอิงของห้องสมุด และยังมี “บริการตอบคำถาม” อีกมากมายที่กำลังแข่งขันกับเราอยู่ในขณะนี้
เช่นนั้นแล้ว เราจะยอมยกธงขาวและยกบทบาทหน้าที่ให้พวกเขาไหม ผู้เขียนไม่คิดว่าเรื่องราวต้องจบลงแบบนี้เพียงเพราะเรามีคู่แข่ง แต่ยังมีหลายสิ่งที่เราสามารถทำประโยชน์ได้
ประการแรก เราทำงานเพื่อผู้ใช้บริการ ขณะที่คู่แข่งส่วนใหญ่ทำงานเพื่อสร้างกำไร ภาระหน้าที่ทางวิชาชีพที่สำคัญที่สุดของเราคือการทำงานตามความต้องของผู้ใช้บริการด้านการอ่านและการค้นคว้าข้อมูล ผู้คนคิดว่าเราเป็นเหมือนรายงานเพื่อผู้บริโภค (Consumer Reports) ที่มีความน่าเชื่อถือระดับโลก ละเอียดถี่ถ้วน ปราศจากอคติ และไม่น่าจะหลอกลวงผู้ใช้บริการเพื่อผลประโยชน์เชิงพาณิชย์
ประการที่สอง เราให้บริการความรู้และแบ่งปันประสบการณ์มายาวนาน เราทราบแหล่งความรู้และประสบการณ์ ทราบวิธีประเมินความถูกต้องน่าเชื่อถือของแหล่งความรู้ เราทราบว่าเมื่อไรมีคนกำลังพยายามล้วงข้อมูลจากแหล่งความรู้ของเราไปฟรีๆ และเราทราบว่าจะค้นหาสิ่งที่ผู้ใช้บริการต้องการได้อย่างไรแม้ว่าพวกเขายังไม่ทราบว่าตัวเองต้องการอะไรเลยด้วยซ้ำ สรุปได้ว่าเราทราบว่าเรากำลังทำอะไรอยู่หรือทราบว่าสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดคืออะไร ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญ
ประการสุดท้าย เรามีชื่อเสียง ถึงแม้ว่าพวกเราบางคนได้พยายามบ่อนทำลายชื่อเสียงนั้น ภาพของคำว่า “บรรณารักษ์” มีความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นกับหนังสือ การอ่าน การแสวงหาความรู้ และการทำงานทางสติปัญญา นอกจากนี้เรายังเป็นที่รู้จักในด้านการปกป้องสิทธิของประชาชนในการอ่านสิ่งที่พวกเขาต้องการจะอ่าน คำว่า “บรรณารักษ์” อาจมีภาพลักษณ์ที่เนิร์ดไปสักหน่อย แต่ก็ตรงกับภาพคนที่ช่วยให้คุณสามารถท่องไปในท้องทะเลข้อมูลแบบอิเล็กทรอนิกส์อันกว้างใหญ่ไพศาล สิ่งเหล่านี้เป็นข้อได้เปรียบหลักที่ใช้แข่งกับผู้บริการรายอื่นได้ ซึ่งบรรณารักษ์สามารถสร้างประโยชน์ดังกล่าวได้ในตลาดสารสนเทศ
ทว่าเรามีสิ่งสำคัญที่ต้องรับผิดชอบบางประการด้วย เราไม่ได้เป็น “ระบบประมวลผลขนาดใหญ่เหมือนเว็บไซต์” จากข้อมูลของสมาคมห้องสมุดอเมริกัน (ALA) สหรัฐอเมริกามีบรรณารักษ์จำนวนกว่า 70,000 คนที่ทำงานอยู่ในห้องสมุดสถาบันอุดมศึกษาและห้องสมุดประชาชน ซึ่งมากกว่าสองเท่าของจำนวนพนักงานของบริษัทกูเกิล แต่บรรณารักษ์ไม่ได้ทำงานให้บริษัทที่จ้างเราเพียงบริษัทเดียว เช่นเดียวกันกับบริษัทกูเกิลหรือบริษัทแอมะซอนก็ไม่ได้มีสำนักงานจำนวน 20,000 แห่งเหมือนที่เรามีห้องสมุดจำนวน 20,000 แห่ง ซึ่งอยู่ภายใต้หน่วยงานต้นสังกัดที่แตกต่างกันออกไป
กูเกิลและแอมะซอนสามารถปรับเปลี่ยนบริการให้เหมาะสมกับทรัพยากร ภาษา และข้อบังคับทางกฎหมายของนานาประเทศ รวมทั้งระบุพิกัดของผู้ใช้งาน พวกเขาทำงานเกี่ยวกับการรวบรวมบริการ ความมีประสิทธิภาพ และการใช้ประโยชน์จากเว็บไซต์ ซึ่งมีต้นทุนถูกมากอย่างน่าแปลกใจ หากห้องสมุดต้องการแข่งขันในโลกธุรกิจนี้ เราต้องทำเช่นเดียวกัน คือควรลดจำนวนบรรณารักษ์และอาคารห้องสมุด
ห้องสมุดมีค่าใช้จ่ายมากเกินไป ซึ่งต้นทุนเหล่านั้นอาจไม่เกี่ยวกับบรรณารักษ์ เรามีบทบาทในการให้บริการหนังสือ บทความ บทเพลง ภาพยนตร์ และข้อมูล มีตัวเลขว่ามีผู้ใช้บริการเพียง 20% เท่านั้นที่เดินเข้าประตูมาขอใช้บริการถามคำถาม
ต้นทุนของห้องสมุดในปัจจุบันจึงอาจไม่สอดคล้องกับจำนวนผู้ใช้บริการ ลองนึกดูว่าห้องสมุดประชาชนใช้เงินจำนวน 12 เซนต์ และห้องสมุดสถาบันอุดมศึกษาใช้เงินจำนวน 34 เซนต์จากงบประมาณทุกหนึ่งดอลลาร์ เพื่อซื้อหนังสือและสื่อต่างๆ จะเห็นว่าเรามีวัตถุประสงค์หลักคือการรวบรวมพนักงานเอาไว้ ไม่ใช่การรวบรวมเนื้อหา ถ้าทิ้งอาคารห้องสมุดหลายพันแห่งแล้วเปลี่ยนเป็นห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์เต็มรูปแบบ เราน่าจะสามารถใช้ประโยชน์จากเครื่องมือและความสามารถของเว็บไซต์ เพื่อจัดระเบียบและปรับปรุงวิธีให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ตัวอย่างเช่น ในการอ้างอิงทรัพยากร เว็บไซต์จะทำให้เราพัฒนาเครือข่ายบรรณารักษ์และผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ ได้ทั่วโลก ซึ่งทำให้สามารถส่งคำถามไปยังผู้ที่เหมาะสมที่สุดเพื่อไขข้อสงสัยนั้นๆ และแทนที่จะให้บริการแบบ “เผชิญหน้า” แบบเดิม เราก้าวล้ำกว่านั้นได้โดยให้บริการอ้างอิงผ่านทางคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยผู้ใช้บริการไม่ต้องเดินทางมายังห้องสมุดด้วยตนเอง เราจะสนับสนุนให้ผู้คนใช้ประโยชน์จากกูเกิลและเครื่องมืออื่นๆ ได้ด้วยตนเอง หากเครื่องมือเหล่านี้ไม่สามารถตอบวัตถุประสงค์ของผู้ใช้งาน เราจึงจะเข้าไปให้บริการในส่วนนี้
โดยสรุป ผู้เขียนเชื่อว่าบรรณารักษ์ยังมีโอกาสในโลกหลังยุคสิ่งตีพิมพ์ และเราไม่ต้องพลิกบทบาทที่มีมาแต่เดิมเพื่อแสวงหาโอกาสนั้น การรวบรวม การคัดสรร และการอ้างอิงทรัพยากรยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้นในโลกดิจิทัล ซึ่งมีหนังสือหลายล้านเล่มและเนื้อหาอื่นๆ ผลิตขึ้นหลายเทราไบต์ในทุกปี แต่เนื่องจากเนื้อหาทั้งหมดกลายเป็นรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ผู้ให้บริการรายอื่นๆ จึงสามารถรวบรวม คัดสรร และอ้างอิงทรัพยากรต่างๆ ได้ด้วย ซึ่งทำให้เราก้าวเข้าสู่การแข่งขันที่ค่อนข้างดุเดือด แต่ยังไม่มีบริการใดในปัจจุบันที่จะมีค่าเท่ากับทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณจะได้รับจากบรรณารักษ์ตัวจริง ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการจัดการข้อมูลและอุทิศตนด้านวิชาชีพเพื่อตอบสนองความสนใจของผู้ใช้บริการ
ที่กล่าวมาคือบทบาทหน้าที่ด้านต่างๆ ที่เราสามารถทำได้ ต้องมีใครบางคนรวบรวมงานของผู้รวบรวมทรัพยากรไว้ แล้วนำผู้ใช้บริการไปยังแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดที่พวกเขาต้องการ ไม่ว่าจะเป็นแหล่งข้อมูลใดก็ตาม ต้องมีใครบางคนคัดสรรทรัพยากรที่ถูกคัดสรรไว้แล้วอีกที และต้องมีผู้ให้บริการอ้างอิงหากเครื่องมือค้นหาของกูเกิลไม่สามารถให้ข้อมูลได้ตามที่ต้องการ หรืออย่างน้อยเมื่อผู้ใช้บริการไม่สามารถอ้างอิงได้ เราอาจเป็นคนที่ทำหน้าที่เหล่านั้น แต่หากเราจะลงแข่งขันในเกมนี้ก็จะต้องเตรียมขีดความสามารถในการให้บริการ และยังมีงานที่ต้องทำอีกหลายอย่าง
เราต้องปรับความสามารถในการบริการของเราให้เท่ากับเว็บไซต์ การคาดเดาให้ชัดเจนในขณะนี้ว่าเราจะให้บริการอย่างไรคงเป็นเรื่องยาก บางทีบริษัทรายใหญ่อาจประสงค์จะจ้างพวกเราบางคนที่เชี่ยวชาญด้านนี้ หรือห้องสมุดใหญ่ของมหาวิทยาลัยอาจลองเริ่มให้บริการต่างๆ แก่ห้องสมุดแห่งอื่น เช่น บริการเรียนทางไกล หรือกลุ่มห้องสมุดที่กล้าคิดกล้าทำอาจรวมกลุ่มกันเพื่อให้บริการห้องสมุดอย่างเป็นอิสระ
ไม่มีใครทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือโครงสร้างองค์กรห้องสมุดของเราในปัจจุบันไม่ได้เหมาะกับโลกที่กลายเป็นดิจิทัลไปแล้วทั้งหมด ต้นทุนในการดำเนินงานหมดไปกับการจ่ายค่าจ้างพนักงานและค่าอาคารสถานที่ แล้วเหลือเศษเงินเพียงเล็กน้อยเพื่อซื้อเนื้อหา
ในโลกดิจิทัลเราต้องจัดระเบียบและปรับปรุงบริการต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าพวกเราจะต้องลดจำนวนลง เราต้องใช้เครื่องมือและความสามารถของเว็บไซต์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อใช้ความรู้และประสบการณ์ของเราให้ได้มากที่สุด ต้นทุนของบรรณารักษ์และบริการห้องสมุดควรจะลดลงอย่างมาก เพื่อให้มีงบประมาณเพิ่มขึ้นสำหรับนำไปซื้อเนื้อหา การเปลี่ยนโครงสร้างบริการเป็นสิ่งที่ทำได้ยากและไม่แน่ว่าจะทำได้สำเร็จหรือไม่ แต่หากบริการของเรามีต้นทุนที่แข่งขันได้ บริการของเราก็จะยังคงเป็นที่ต้องการ ห้องสมุดและวิชาชีพบรรณารักษ์อาจดูเปลี่ยนแปลงไปในโลกที่ไม่มีสิ่งพิมพ์ที่ตีพิมพ์เป็นรูปเล่ม
หากโลกนี้ไม่มีสิ่งพิมพ์แบบรูปเล่มจะมีข้อดีดังกล่าวข้างต้น แต่ความคิดที่ว่าโลกจะแคบลงและวิชาชีพบรรณารักษ์จะมีความสำคัญลดลงนั้นช่างสลัดทิ้งไปได้ยาก หากหนังสือที่เป็นรูปเล่มและอาคารห้องสมุดที่เก็บรวมรวมหนังสือหายไปจริงๆ ผู้ที่เคยขี่ม้าแก่ๆ มาทำงานคงรู้สึกเสมือนกับได้ขับรถยนต์โมเดลที[4]เป็นครั้งแรกในชีวิต
โปรดติดตามตอนต่อไป “บรรณารักษ์ควรจะทำอย่างไรต่อไปในอนาคต (ตอนที่ 2) หากหนังสือและสื่อสิ่งพิมพ์ยังไม่ถึงจุดอวสาน”
[1] ให้บริการภาพยนตร์ออนไลน์ฟรี และให้ลูกค้าที่ใช้บริการแอมะซอนไพรม์ยืมหนังสืออิเล็กทรอนิกส์จาก Kindle Owners’ Lending Library
[2] แอมะซอนไพรม์คิดค่าบริการ 79 ดอลลาร์ต่อครัวเรือนและเน็ตฟลิกซ์คิดค่าบริการ 95.88 ดอลลาร์ต่อครัวเรือน เมื่อเทียบกับภาษีต่อครัวเรือนโดยเฉลี่ย 2.59 คนคิดเป็น 101.03 ดอลลาร์
[3] สำนักพิมพ์ MIT Press, 2011, ISBN 978-0262015097, หน้า 65
[4] รถยนต์โมเดลทีคือรถยนต์คันแรกของฟอร์ด
ที่มาเนื้อหา So Now What?: The Future for Librarians เขียนโดย สตีฟ คอฟแมน (Steve Coffman)