“สวัสดีจ้า...”
คำทักทายเสียงเหน่อๆ จากชายหนุ่มหน้าซื่อๆ แห่งเมืองสุพรรณ คงเป็นเสียงและภาพที่คุ้นเคยดีสำหรับคนที่เกิดทัน จะได้ชมภาพยนตร์เรื่องบุญชู ในช่วงปี 2531-2538
บุญชู เป็นเรื่องราวของบุญชู บ้านโข้ง หนุ่มชาวสุพรรณบุรี ผู้มีความใสซื่อ จริงใจ เดินทางเข้ากรุงเทพมหานคร เพื่อจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยและคว้าปริญญาใบแรกของหมู่บ้าน บุญชูต้องมาเผชิญหน้ากับสังคมเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยความทันสมัย การจราจรที่คับคั่งไปด้วยรถยนต์ ตึกรามบ้านช่องที่ผุดขึ้นไปทั่วเมือง ผู้คนที่เร่งรีบและเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม รวมถึงสภาพแวดล้อมต่างๆ ล้วนแตกต่างกับบ้านเกิดของตนที่เต็มไปด้วยธรรมชาติ แม่น้ำ ลำคลอง และต้นไม้
แม้จะต้องเรียนรู้กับสภาพสังคมที่ผิดแผกไปจากเดิม แต่บุญชูก็ยังความใสซื่อ มีน้ำใจ ให้กับทุกคน จนเขาได้พบรักกับโมลี และสนิทสนมกับบรรดาเพื่อนใหม่ที่ร่วมเรียน ร่วมเล่น จนกลายมาเป็นเพื่อนแท้ แม้ว่าแต่ละคนจะแยกย้ายไปเรียนอยู่ต่างรั้วมหาวิทยาลัย
บุญชูเป็นภาพยนตร์ไทย แนวตลกขบขัน ที่มีการสร้างถึง 8 ครั้ง 10 ภาค (ภาค 3, 4 นำไปรวมอยู่ในภาค 5) โดยมีสันติสุข พรหมศิริ และ จินตหรา สุขพัฒน์ แสดงนำ ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จได้รับความนิยมสูงสุดในยุคนั้น และภาคต่อๆ มา ก็ได้รับการบันทึกว่าเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้เอาไว้สูง
เนื้อหาของบุญชู แบ่งเป็นสามช่วงใหญ่ๆ คือช่วงแรก ภาค 1 ถึง 5 จะเล่าถึงเรื่องราวการเดินทางของบุญชูในช่วงวัยเรียน การต้องเข้ามาเผชิญหน้ากับสังคมเมือง มหานครที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย
ช่วงสอง ตั้งแต่ภาค 6 ถึง 8 เป็นช่วงที่บุญชูเรียนจบแล้ว ทำงานและเผชิญหน้ากับความท้าทายของสังคมในรูปแบบใหม่ ในการเลือกจะอยู่ในสังคมเมือง หรือกลับไปใช้ชีวิตในชนบทที่เรียบง่ายแต่ไม่มีความเจริญเท่าเมืองหลวง
ช่วงสาม ตั้งแต่ภาค 9 และ 10 เป็นภาคที่ทำในปี 2551-2553 ซึ่งทิ้งช่วงจากภาคก่อนหน้าไปถึง 13 ปี ในภาคนี้บุญชูและโมลี กลายเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องรับหน้าที่พ่อแม่ โดยตัวละครหลักในช่วงนี้จะเป็น บุญโชค ลูกชายของบุญชู ที่ถอดแบบความใสซื่อมาจากบุญชูเหมือนเป็นพิมพ์เดียวกัน บุญโชคต้องเข้ามาเรียนศึกษาต่อในกรุงเทพฯ และได้รับการช่วยเหลือจากบรรดาเพื่อนๆ ซึ่งเป็นลูกๆ ของเพื่อนๆ บุญชู
ใน 7 ภาคแรก บัณฑิต ฤทธิ์ถกล เป็นผู้กำกับภาพยนตร์และเขียนบทภาพยนตร์ ส่วนภาคสุดท้ายของบุญชู ซึ่งมีชื่อเรื่องว่า “บุญชู จะอยู่ในใจเสมอ” ฉายในปี พ.ศ. 2553 ได้มีการเปลี่ยนตัวผู้กำกับภาพยนตร์เป็น เกียรติ กิจเจริญ หนึ่งในกลุ่มนักแสดงบุญชู
วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม 2555 เวลา 14.00 ณ ห้องมินิเธียเตอร์ 1 อุทยานการเรียนรู้ TK park ในโครงการความร่วมมือระหว่างอุทยานการเรียนรู้และหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) ได้นำ บุญชู 7 รักเธอคนเดียวตลอดกาลใครอย่าแตะ มาฉายให้ได้ชม
เรื่องราวความรักของบุญชูกับโมลี และความสนุกสนานของบรรดาเพื่อนๆ ในภาคนี้นั้นจะเข้มข้น สุขซึ้งหรือเรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มได้เหมือนกับภาคอื่นๆ มากน้อยขนาดไหนนั้น คงต้องถามด้วยเสียงเหน่อๆ และประโยคติดปากของบุญชูว่า
“อยากรู้จริงๆ หรือเปล่า ... เล่ายาวนะ”
โมลีและบุญชู ในยามที่ต้องเจอปัญหาร่วมกัน
หลังจาก บุญชู (สันติสุข พรหมศิริ) เรียนจบจาก ม.เกษตรศาสตร์ เขาได้เลือกกลับไปทำงานเป็นพ่อค้าข้าวที่บ้าน บุญชูได้ตัดสินใจจะแต่งงานกับ โมลี (จินตหรา สุขพัฒน์) และคิดจะใช้บ้านไม้หลังเก่าริมแม่น้ำที่แม่บุญล้อมยกให้ทำเป็นเรือนหอ แต่ติดอยู่ตรงที่ว่า มานี พี่สาวของโมลี ปฏิเสธที่จะให้น้องสาวย้ายมาอยู่ต่างจังหวัด เพราะกลัวจะลำบาก รวมถึงบ้านที่ใช้เป็นเรือนหอนั้นสภาพเก่าทรุดโทรม รวมถึงสภาพแวดล้อม ก็เป็นมลภาวะ น้ำในแม่น้ำเริ่มเน่าเสีย และเต็มไปด้วยขยะที่ชาวบ้านทิ้งกัน
มานีจึงยื่นข้อเสนอว่า จะยอมให้โมลีย้ายมาอยู่ที่สุพรรณบุรีได้ ถ้าบุญชูสามารถซ่อมแซมบ้านให้เรียบร้อยสวยงาม และเปลี่ยนสภาพน้ำในแม่น้ำให้ใสสะอาดได้ทันภายในเวลาหนึ่งเดือน
ร้อนถึงเพื่อนๆ ที่แยกย้ายกันไปทำงานแล้ว ต้องมาช่วยเหลือ ในเรื่องของการปรับปรุงบ้านนั้น เฉื่อย เพื่อนของบุญชูที่จบจากสถาปัตย์ ชวน สตีฟ เพื่อนชาวต่างชาติที่เรียนด้วยกัน มาช่วยกันออกแบบปรับปรุงตัวอาคาร และมาช่วยคิดวางแผนในการแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสีย ส่วนเพื่อนคนอื่นๆ มาช่วยกันรณรงค์ให้ชาวบ้านรวมถึงพ่อค้าแม่ค้าในตลาดน้ำ ช่วยกันดูแล อย่าทิ้งขยะหรือของเสียลงในแม่น้ำ แต่ชาวบ้านกลับไม่ให้ความสนใจและยังทิ้งขยะมากขึ้นกว่าเดิม
อีกด้านหนึ่ง บุญช่วย พี่ชายของบุญชู กำลังจะเปิดร้านอาหารริมแม่น้ำ จึงได้ชวนบุญชูและเพื่อนๆ มาร่วมเป็นหุ้นส่วน ช่วยกันปรับปรุงบ้านเช่าให้เป็นร้านอาหาร แต่กลับถูก โอภาส เจ้าของตลาดน้ำที่อยู่ในละแวกเดียวกันกลั่นแกล้ง เพราะว่าเขาอยากได้บ้านเช่าหลังนั้น มาขยายตลาดน้ำของตัวเอง
เพื่อนๆ กำลังวางแผนช่วยบุญชู
เมื่อร้านอาหารของบุญช่วยเปิดขาย ช่วงแรกไม่ค่อยมีลูกค้ามาทานอาหารเลย พวกบุญชูจึงสืบรู้ว่าเป็นแผนของโอภาสที่ส่งลูกน้องมารังควานให้คนไม่กล้ามาที่ร้าน รวมถึงโอภาสยังเป็นตัวการสำคัญที่บังคับให้พวกพ่อค้าแม่ค้าในตลาดน้ำ โยนขยะลงแม่น้ำมากขึ้นด้วย
บุญชูและเพื่อนจึงวางแผนกับอาเที่ยงเจ้าของบ้านเช่าริมแม่น้ำ ปรับปรุงบริเวณท่าเรือรอบๆ ให้กลายเป็นตลาดน้ำ และให้พ่อค้าแม่ค้ามาขายของโดยไม่คิดค่าเช่าพื้นที่ เพียงแต่มีข้อแม้ว่าห้ามทิ้งขยะ และต้องช่วยกันดูแลแม่น้ำ ทำให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวที่ตลาดน้ำใหม่ของพวกบุญชูกันเยอะมาก และมีคนมาทานอาหารกันเยอะขึ้น พวกบุญชูจึงสามารถแก้ปัญหาความสะอาดในแม่น้ำ และทำให้ร้านอาหารขายดี ไปพร้อมๆ กัน แต่ถึงจะทำให้คนเลิกทิ้งขยะกันได้ แต่น้ำในแม่น้ำก็ยังคงเน่าเสียและสกปรกอยู่ เพราะยังมีน้ำที่ค้างเอาไว้ในคูคลองอื่นๆ
เมื่อถึงวันครบกำหนด มานีกลับมาทวงสัญญาและเมื่อเห็นว่าน้ำในแม่น้ำไม่สะอาด เธอยืนกรานว่าจะนำตัวโมลีกลับไป แต่โมลีไม่เห็นด้วย เพราะอยากอยู่กับบุญชู แม้ว่าจะต้องย้ายมาอยู่ในชนบทที่ไม่มีความเจริญเทียบเท่ากับกรุงเทพฯ โมลีจึงลงไปอาบน้ำและกินน้ำในแม่น้ำเพื่อพิสูจน์ว่าสะอาดจริง ส่วนเพื่อนคนอื่นๆ และบุญชู กระโดดลงไปเล่นน้ำในแม่น้ำด้วยกัน
มานียอมแพ้ความตั้งใจของน้องสาว จึงยอมให้บุญชูและโมลี แต่งงานและอยู่กินด้วยกันที่สุพรรณบุรี
โมลีลงไปพิสูจน์ความสะอาดของน้ำในแม่น้ำ
บุญชู 7 รักเธอคนเดียวตลอดกาลใครอย่าแตะ ฉายครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2536 ทำรายได้ในเวลานั้นไว้สูงถึง 32.1 ล้านบาท ชื่อเรื่องในภาคนี้มีความจงใจที่จะตั้งล้อเลียนหนังฮ่องกงเรื่อง ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ ที่มาสร้างกระแสในเมืองไทยเวลานั้น
อีกทั้งภาคนี้ถือเป็นการรวบรวมนักแสดงในเรื่องบุญชู ที่เรียกได้ว่าเยอะที่สุด โดยเฉพาะเพื่อนๆ ของบุญชู ที่แต่ละคนมีเอกลักษณ์ ท่าทางคำพูด ที่เด่นชัด มีเสน่ห์แตกต่างกันไป ทำให้ผู้ชมต่างพากันชื่นชอบตัวละครแต่ละตัวที่มีสีสัน และทำให้เรื่องสนุกได้ตลอดเวลา ตั้งแต่
- หยอย (เกียรติ กิจเจริญ) เพื่อนตัวอ้วน เสียงดัง ที่เรียกมุกตลกเสมอ
- ประพันธ์ (เกรียงไกร อมาตยกุล) เพื่อนร่วมคณะเดียวกันกับโมลี มีนิสัยขี้สงสัยตลอดเวลา
- ไวยากรณ์ (วัชระ ปานเอี่ยม) สัตวแพทย์หนุ่มอารมณ์ดี
- นรา (อรุณ ภาวิไล) ทนายความที่ชื่นชอบการเมือง และถนัดการปราศรัยแม้จะไม่ค่อยมีใครฟัง
- คำมูล (กฤษณ์ ศุกระมงคล) นักสะสมของเก่า
- เฉื่อย (นฤพนธ์ ไชยยศ) อาจารย์สถาปัตย์พูดช้าใจเย็น และเป็นมิตรกับทุกคน
- พี่ปอง (สมเกียรติ คุณานิธิพงศ์) เจ้าของร้านอาหาร ย่านท่าพระจันทร์ ฝีปากจัดจ้าน จนทุกคนเรียกกันว่า “พี่ปอง ปากหมา”
ในภาคนี้ยังมีตัวละครเสริมอีก คือ สตีฟ เพื่อนของเฉื่อย ฝรั่งที่เรียนภาษาไทย แต่มักจะพูดสำนวนไทยถูกๆ ผิดๆ อยู่บ่อยๆ จนกลายเป็นเรื่องตลก นอกจากนี้ยังมีตัวละครจากภาคอื่นๆ มาสมทบอีกด้วย เช่น จุรี โอศิริ ในบทบุญล้อม แม่ของบุญชู ส.อาสนจินดา ในบท มหาแจ่ม รวมถึงดารารับเชิญที่โผล่มาในภาคนี้ก็เป็นแม่เหล็กสำคัญที่ดึงคนให้ดูกันมากอย่าง สมบัติ เมทะนี พระเอกตลอดกาล ที่รับบท อากลม คนแจวเรือรับจ้างซึ่งคอยช่วยเหลือบุญชูอยู่ตลอด
ฉากปะทะคารมในร้านอาหารพี่ปอง ที่ใครหลายๆ คนชื่นชอบ
บุญชู 7 นี้ยังคงมีเนื้อหาว่าด้วยความแตกต่างระหว่างเมืองหลวงและชนบทเหมือนกับภาคอื่นๆ ที่ผ่านมา เพียงแต่ในภาคนี้มาดำเนินเรื่องราวที่สุพรรณบุรีเป็นหลัก ในขณะที่ภาคก่อนหน้าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นในเมืองหลวง ภาคนี้เราจึงเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชนบทมากขึ้น อย่างเช่นวิถีชีวิตของคนริมน้ำที่เคยอาศัยแม่น้ำเป็นที่ใช้กินใช้อาบ กลับถูกทำลายให้เสื่อมโทรม เรือแจวลดลงและถูกแทนที่ด้วยเรือหางยาวหรือเรือที่ติดเครื่องยนต์ ตลาดน้ำที่พัฒนามาเป็นแหล่งท่องเที่ยวให้ชาวต่างชาติมาเที่ยว
นอกจากนี้เนื้อหาของบุญชู 7 ยังมีประเด็นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งถือว่าเนื้อหายังคงทันสมัยกับปัจจุบันนี้ที่แม่น้ำสายต่างๆ ล้วนถูกทำลายด้วยฝีมือของคนในชุมชนเอง แต่ขณะเดียวกัน หนังยังคงมีฉากที่เพิ่มเข้ามาโดยไม่จำเป็น ซึ่งถือเป็นสูตรสำเร็จของหนังไทยในช่วงเวลานั้น คือ ฉากวิ่งไล่จับไปมา เพียงเพื่อเรียกเสียงหัวเราะและเอาใจคนดู อย่างฉากตอนสตีฟถูกผีปอบเข้าสิง ทำให้วิ่งไล่จับผู้คนในงาน และฉากสุดท้ายที่เรือซึ่งบุญชูและโมลีนั่ง เกิดเสียจนพุ่งชนบ้านเรือนและผู้คน
ส่วนบทบาทของตัวละครในภาคนี้มีการพัฒนามาก โดยเฉพาะบุญชูและโมลี ทั้งคู่ต่างโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น มีอาชีพการงานที่ต้องรับผิดชอบ แม้ว่าจะต้องแยกย้ายไปอยู่คนละสังคม คือโมลีทำงานที่เมืองหลวง ส่วนบุญชูเลือกกลับไปอยู่ที่บ้านเกิดชนบท ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่ต้องมาอยู่บนทางเลือก ทำให้ตัวละครต้องคิดและตัดสินใจ และเผชิญหน้ากับโลกความจริงมากขึ้นกว่าตอนสมัยวัยรุ่นที่มีเพียงแต่เรื่องเรียนและเล่นกับเพื่อนฝูง เพราะเมื่อทั้งคู่แต่งงาน บทบาทและความสัมพันธ์ระหว่างคู่รักก็จะเปลี่ยนแปลงและเติบโตไปสู่อีกรูปแบบหนึ่งที่หลายคนไม่คุ้นชิน
ตอนหนึ่ง ขณะที่โมลีกลุ้มใจกับปัญหาว่าควรจะต้องอยู่กรุงเทพฯ ตามคำสั่งของพี่สาว หรือย้ายมาอยู่สุพรรณบุรีกับบุญชูนั้น เธอเกิดความสับสน ท้อใจ จนเอ่ยถามกับชายคนรักว่า
“เราจะมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเราหรือใครกัน?”
บุญชูตอบกลับมาพร้อมเสียงเหน่อๆ ว่า
“บางทีเรามีชีวิตอยู่เพื่อคนรอบๆ ตัวเรา”
แม้ว่าบุญชูและโมลีจะโตขึ้น และอยู่ในวัยที่ต้องสร้างครอบครัว พบเจอกับปัญหาสารพัดบนโลกความจริงที่คืบคลานเข้ามา แต่อย่างน้อยก็มีบางสิ่งที่ทั้งสองไม่เคยเปลี่ยนไป นั่นคือ บุญชูยังเป็นคนซื่อและน่ารัก ในขณะที่โมลียังเป็นหญิงสาวผู้เชื่อมั่นและหลงรักในความซื่อของบุญชู
พลตรัย
---------------------
ข้อมูลประกอบ
- th.wikipedia.org/wiki/บุญชู