ช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัลส่งผลสะเทือนต่อภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมโดยถ้วนหน้า โครงสร้างการบริหารงานขององค์กรธุรกิจชั้นนำกลายเป็นอุปสรรคที่สร้างปัญหาในการบริหารและตัดสินใจ เพราะความใหญ่โตเทอะทะซับซ้อน ทำให้ขาดความคล่องตัว สูญเสียความคิดสร้างสรรค์ และไม่สามารถปรับตัวได้ทันกับภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกหลายแห่งจึงล้มหายตายจากไปอย่างคาดไม่ถึง
ห้องสมุดทั่วโลกต่างก็ดำรงอยู่ท่ามกลางกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลงนี้ การปรับตัวของห้องสมุดจึงล้วนน่าสนใจศึกษา ดังตัวอย่างของประเทศสวีเดน หนึ่งในประเทศแถบสแกนดิเนเวียที่มีระบบการศึกษาคุณภาพสูง เป็นผู้นำด้านนวัตกรรม และโดดเด่นด้านรัฐสวัสดิการ แต่สวีเดนก็กำลังเผชิญกับประเด็นปัญหาทางสังคมที่ต้องแก้ไข เช่น ความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงสื่อและสารสนเทศ อัตราการรู้หนังสือที่ลดต่ำลง และความถดถอยด้อยลงของเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
สวีเดนมองว่าห้องสมุดและความเชี่ยวชาญของบรรณารักษ์จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยแก้ไขปัญหาความท้าทายนี้ได้ จึงพยายามวาดภาพกลยุทธ์ห้องสมุดขึ้นมาใหม่ กำหนดวิสัยทัศน์ให้ก้าวไกลและจับต้องได้ โดยมีจุดมุ่งหมายอันดับแรกๆ เพื่อพัฒนาทักษะดิจิทัล สร้างพื้นที่แห่งการเรียนรู้และการพบปะของผู้คน และสนับสนุนสังคมให้มีความเป็นประชาธิปไตย
ประเด็นท้าทายห้องสมุดสวีเดน
หอสมุดแห่งชาติสวีเดนได้สำรวจความคิดเห็นของบรรณารักษ์ทั่วประเทศผ่านทางโซเชียลมีเดีย เพื่อประมวลสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน รวมถึงอุปสรรคและอุดมคติของห้องสมุดที่ทุกคนอยากเห็น พบประเด็นที่น่าสนใจหลายประการ ได้แก่
1. การมีส่วนร่วมและปฏิสัมพันธ์ ห้องสมุดมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนเป็นพื้นที่กายภาพสำหรับการพบปะของผู้คนมากกว่าเป็นที่สถานเก็บทรัพยากรหนังสือ เพราะสื่อต่างๆ กลายเป็นดิจิทัลมากขึ้น ใครๆ ก็สามารถแสวงหาความรู้ได้ด้วยตัวเอง ห้องสมุดที่เอื้อต่อการเรียนรู้คุณภาพสูงหรือวิชาการเข้มข้นคือห้องสมุดมหาวิทยาลัย ในขณะที่ห้องสมุดประชาชนจะเน้นไปที่การให้บริการพื้นที่เพื่อปฏิสัมพันธ์และการจัดกิจกรรมต่างๆ กล่าวคือเป็นพื้นที่สาธารณะแบบเปิดที่มีอุปสรรคในการเข้าถึงน้อยที่สุด ซึ่งแต่ละแห่งอาจมุ่งตอบสนองด้านการพบปะของผู้คนที่มีวัตถุประสงค์หรือความสนใจชื่นชอบแตกต่างกัน เช่น พื้นที่สำหรับกิจกรรมการเรียนรู้ที่ทันสมัย สตูดิโอสำหรับศิลปิน สตูดิโอภาพยนตร์ พื้นที่จัดแสดงศิลปะและอ่านบทกวี ฯลฯ
2. ‘ยักตื้นติดกึกยักลึกติดกัก’ ของเทคโนโลยีและสื่อดิจิทัล ในทางทฤษฎีนั้นการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้ผู้คนสามารถเข้าถึงสารสนเทศดิจิทัลได้อย่างสะดวกและทั่วถึงเป็นปัจจัยที่นำไปสู่การสร้างความเท่าเทียมทางสังคม แต่ความเป็นจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้น เนื่องจากในแต่ละพื้นที่การเปลี่ยนผ่านไปสู่สื่อดิจิทัลใช้เวลาแตกต่างกัน ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านนี้คนทั่วไปมักจะมองอะไรแบบแบ่งแยกออกเป็นสองขั้ว (dichotomies) อนาล็อกเป็นเรื่องอดีต ด้านตรงข้ามคือดิจิทัลเป็นเรื่องอนาคต การมองแบบแยกเป็นสองขั้วจึงมักคิดว่าสิ่งใหม่ไม่มีความเกี่ยวพันกันกับสิ่งเดิมและสิ่งหนึ่งสามารถเข้าไปแทนที่สวมทับอีกสิ่งหนึ่งได้ ห้องสมุดบางแห่งก็คิดแบบนี้ จึงแบ่งประเภททรัพยากรเป็นสื่อที่จับต้องได้ (physical collections เช่นหนังสือกระดาษ) กับสื่อดิจิทัล (digital collections) ทั้งที่แท้ที่จริงแล้วการนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้กับการพัฒนาห้องสมุดจำเป็นต้องวิเคราะห์ให้ลึกซึ้งถึงผลกระทบที่จะตามมามากกว่าการมองแบบหยาบๆ แค่การแบ่งชนิดสื่อทรัพยากรออกเป็นสองกลุ่ม เพราะสื่อดิจิทัลอาจก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ขัดแย้งสวนทางกับเป้าหมายหรือบทบาทของห้องสมุดก็ได้ และอาจขัดขวางโอกาสที่จะได้รับจากการเปลี่ยนเทคโนโลยีก็ได้เช่นกัน
3. รูปแบบวิธีการบริหารและการสร้างความร่วมมือ วิธีการบริหารแบบสั่งการจากบนลงล่าง ซึ่งล้าสมัยและเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาต่อไปในอนาคต นำมาสู่การมองหาโมเดลใหม่ในการทำงานร่วมกันระหว่างห้องสมุดส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เพื่อให้เกิดวัฒนธรรมการทำงานแบบเติมเต็มซึ่งกันและกัน มีแนวทางชัดเจน และลดการทำงานที่ซ้ำซ้อน
4. เมืองและชนบท สภาพทางสังคมของสวีเดนยังมีความแตกต่างกันมากระหว่างเมืองและชนบท ผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองริทเซม (Ritsem) ทางตอนเหนือที่ห่างไกลต้องเดินทางกว่า 180 กิโลเมตรจึงจะเข้าถึงห้องสมุดที่ใกล้ที่สุด ส่วนเมืองหลวงสต็อกโฮล์มนั้นผู้ใช้บริการใช้เวลาเดินทางไปห้องสมุดแค่ไม่เกิน 30 นาทีด้วยระบบขนส่งสาธารณะ ทั้งนี้ รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติห้องสมุดสวีเดน (Swedish Library Act) ซึ่งกำหนดปัจจัยสำคัญสำหรับห้องสมุด ได้แก่ เวลาเปิดปิดทำการ งบประมาณ ระยะทางและการเข้าถึง รวมทั้งเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้ความสามารถ
5. โครงสร้างพื้นฐาน จากการวิจัยของหอสมุดแห่งชาติสวีเดน ได้รับเสียงสะท้อนจากห้องสมุดหลายแห่งเกี่ยวกับปัญหาด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ความสับสนในการใช้ระบบแคตตาล็อกทรัพยากร อุปสรรคในการใช้งานการวิจัยที่ให้เข้าถึงแบบเปิด (open access research) ห้องสมุดในท้องถิ่นได้ริเริ่มโครงการดีๆ มากมาย แต่บางครั้งต้องสะดุดเพราะขาดการสนับสนุนด้านการดำเนินงานและงบประมาณ
6. ทักษะและความเชี่ยวชาญ ในอนาคตบทบาทของบรรณารักษ์จะมีหลายแง่มุมมากขึ้นนอกเหนือจากความรู้เฉพาะด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาทักษะให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี สำหรับห้องสมุดขนาดใหญ่อาจต้องการผู้เชี่ยวชาญด้านอื่นๆ อีก เช่น ห้องสมุดวิจัยต้องการนักวิทยาศาสตร์ด้านระบบ (systems scientist) ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารและเผยแพร่ความรู้ ห้องสมุดโรงเรียนต้องการบรรณารักษ์ที่มีความรู้รอบด้าน รวมทั้งด้านการศึกษา ส่วนครูและครูใหญ่ก็ควรเข้าใจงานของบรรณารักษ์และห้องสมุดเป็นอย่างดี ห้องสมุดทุกแห่งล้วนต้องการบรรณารักษ์ที่สามารถพูดได้หลายภาษาแต่ส่วนใหญ่ต่างก็ประสบปัญหาในการสรรหาบรรณารักษ์ที่มีทักษะและคุณสมบัติตรงตามที่ต้องการ
7. การอุดมศึกษาและการวิจัย ไม่กี่ปีมานี้ห้องสมุดสถาบันอุดมศึกษามีประสบการณ์ในการพัฒนาอย่างรวดเร็วเนื่องมาจากการบริหารงานที่คล่องตัว จนกลายเป็นองค์กรที่สามารถสร้างแบรนด์และทำการตลาดได้เอง ในอนาคตห้องสมุดสถาบันอุดมศึกษาจะยกระดับเป็นผู้ผลิตความรู้และผู้จัดพิมพ์หรือผู้ผลิตสื่อ ในขณะเดียวกันยังเป็นพื้นที่สำหรับให้บริการค้นคว้าที่ก้าวล้ำนำหน้า ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มผู้ใช้หลักคือนักศึกษาและนักวิจัย
8. การสร้างคอลเลกชั่น สวีเดนมีมรดกด้านสิ่งพิมพ์ที่น่าภาคภูมิใจจำนวนมาก สิ่งพิมพ์เหล่านี้ถูกเก็บรักษาอยู่ที่หอสมุดแห่งชาติและห้องสมุดมหาวิทยาลัยลุนด์ (Lund University Library) เพื่อรองรับการค้นคว้าวิจัย นอกจากนั้นยังมีการจัดทำสำเนาไว้ที่มหาวิทยาลัยอีก 5 แห่ง กระนั้นก็ดี ในยุคดิจิทัลจำเป็นต้องตั้งคำถามว่าสารสนเทศใดบ้างที่มีคุณค่าควรเก็บรักษาและจะจัดเก็บอย่างไร เพราะสารสนเทศเป็นเรื่องที่มีขอบเขตกว้างกว่าหนังสือกระดาษ แต่ยังครอบคลุมไปถึงทรัพยากรอิเล็กทรอนิกส์ด้วย
9. ห้องสมุดโรงเรียน กฎหมายกำหนดให้นักเรียนทุกคนต้องสามารถ “เข้าถึงห้องสมุดโรงเรียน” ประเด็นนี้มีการถกเถียงอย่างกว้างขวาง เช่น หากโรงเรียนมีห้องสมุดที่เปิดให้นักเรียนใช้แค่สัปดาห์ละไม่กี่ชั่วโมงจะเรียกว่าเข้าถึงห้องสมุดได้หรือไม่ ดังนั้นหอสมุดแห่งชาติสวีเดนจึงต้องออกข้อกำหนดที่ชัดเจนขึ้นอีกโดยระบุว่า ห้องสมุดโรงเรียนควรมีเจ้าหน้าที่ประจำห้องสมุดอย่างน้อย 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แต่หากวัดกันตามนิยามข้อกำหนดนี้จริงๆ แล้ว อาจสรุปได้ว่านักเรียนสวีเดนมากกว่าครึ่งหนึ่งยังไม่สามารถเข้าถึงห้องสมุดโรงเรียน!
10. ห้องสมุดสำหรับทุกคน พระราชบัญญัติห้องสมุดสวีเดน (Swedish Library act) ปี 2014 เพิ่มเติมเนื้อหาสาระที่ระบุว่า “ทุกคนสามารถเข้าถึงได้” แนวคิดนี้เชื่อมโยงกับเรื่องการมีอิสระทางความคิด (free opinion-forming) และการขยายผลการให้บริการเชิงรุก ปัจจุบันโครงข่ายบรอดแบนด์ในบางพื้นที่ของประเทศยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าไรนัก และโครงสร้างประชากรของสวีเดนยังประกอบไปด้วยแรงงานต่างชาติรวมทั้งคลื่นผู้อพยพจำนวนมหาศาล ในห้วงเวลาแห่งความท้าทายเช่นนี้ ห้องสมุดจึงควรเป็นสถานที่สำหรับคนทุกคนและทำหน้าที่ให้การศึกษาโดยไม่คิดมูลค่า เพราะการเข้าถึงสารสนเทศและการสื่อสารอย่างไร้ขีดจำกัดเท่านั้นจึงจะส่งผลต่อการสร้างความกลมเกลียวและความเชื่อมั่นในสังคม และห้องสมุดก็เป็นหนึ่งในสถาบันสังคมเพียงไม่กี่แห่งที่ยังคงมีบทบาทสูงในการสนับสนุนความเป็นประชาธิปไตยทางสังคม
ห้องสมุดในฐานะพื้นที่การเรียนรู้
ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทรัพยากรการศึกษาที่เปิดให้ใช้งานได้โดยไม่คิดมูลค่าเกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ง่ายด้วยคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟน ทั้งวิดีโอการสอนของอาจารย์มหาวิทยาลัยชื่อดังของโลก สารคดี บทความ รายงานทางวิทยาศาสตร์ และพอดแคสต์ ความรู้และการศึกษาไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ในห้องเรียนหรือห้องสมุดอีกต่อไป ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองในแนวทางที่แตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง การศึกษาแบบเปิด (open education) จึงสร้างโอกาสให้ห้องสมุดมีบทบาทสำคัญในการเรียนรู้ตลอดชีวิต แนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงมีผลกระทบอย่างยิ่งต่อการเรียนรู้ในอนาคต อาทิ
ความเปิดกว้าง ปัจุบันมหาวิทยาลัยจำนวนมากผลิตและเผยแพร่ทรัพยากรการเรียนรู้แบบเปิด (open education resource - OER) อาจเป็นไฟล์วิดีโอ เสียง ข้อความ รูปภาพ หรือแอนนิเมชั่น ซึ่งอนุญาตให้ใช้งานได้ฟรีตามเงื่อนไขสัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ (Creative Common License)
โลกาภิวัตน์ อุปสรรคในการเข้าถึงทรัพยากรผลักดันให้การเรียนรู้ตลอดชีวิตมีความจำเป็น ในอนาคตผู้เรียนจะสามารถออกแบบเส้นทางการเรียนรู้ด้วยตัวเองได้มากขึ้น สามารถจบหลักสูตรโดยการเลือกเรียนรายวิชาจากหลากหลายมหาวิทยาลัย สิ่งที่ท้าทายคือการหาแนวทางในการสอบและประเมินผลการเรียนรู้ที่สอดคล้องกันในแต่ละมหาวิทยาลัยนอกจากนี้การเรียนรู้นอกระบบโรงเรียนจะมีความสำคัญต่อการสมัครงานอีกด้วย
โซเชียลมีเดีย ในอนาคตโซเชียลมีเดียจะเป็นช่องทางสำคัญสำหรับการเรียนการสอน เพื่อใช้สำหรับการอภิปราย สื่อสาร และทำงานแบบร่วมมือกัน เช่น เฟซบุ๊ก บล็อก วิกิ และยูทูป ผู้เรียนสามารถสร้างสิ่งแวดล้อมในการเรียนรู้ได้เองโดยเลือกใช้เครื่องมือเหล่านี้แทนที่จะใช้เครื่องมือที่สถาบันการศึกษาหรือมหาวิทยาลัยสร้างไว้ให้
ทุกที่ทุกเวลา ผู้เรียนต้องการเข้าถึงทรัพยากรและสารสนเทศทุกที่ ทุกเวลา ทุกอุปกรณ์ ตำราเรียนควรมีไว้ในไอแพดหรือแท็บเล็ต ในอนาคตอาจมีการทบทวนถึงความจำเป็นในการเดินทางไปมหาวิทยาลัยหรือเข้าห้องเรียน
สถานการณ์ที่เป็นประเด็นท้าทายห้องสมุด ผนวกกับแนวโน้มการศึกษาเรียนรู้ที่เปลี่ยนแปลง นำมาซึ่งการตั้งคำถามต่อบทบาทของห้องสมุดสวีเดน เมื่อสารสนเทศทั้งมวลเข้าถึงได้ด้วยปลายนิ้ว ชั้นหนังสือส่วนใหญ่อาจถูกนำออกไปไว้ในห้องใต้ดิน เพื่อให้ห้องสมุดกลายเป็นพื้นที่เรียนรู้และศูนย์กลางการให้คำปรึกษาอย่างมืออาชีพในด้านการค้นหาสารสนเทศ การวิพากษ์แหล่งข้อมูล และวิเคราะห์สารสนเทศ อย่างไรก็ตามห้องสมุดยังจำเป็นต้องมีทั้งพื้นที่ทางกายภาพและพื้นที่ออนไลน์ แต่คุณค่าของห้องสมุดจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับคอลเลกชั่นหนังสืออีกต่อไป แต่ขึ้นอยู่กับทักษะความสามารถของเจ้าหน้าที่
แนวทางการเปลี่ยนแปลงห้องสมุดประเทศสวีเดน เป็นไปเพื่อตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของภาวะแวดล้อมด้านเทคโนโลยี การศึกษา และสังคม เป็นด้านหลัก แนวคิดการพัฒนาเป็นไปในแนวทางเดียวกันกับห้องสมุดในกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย ดังปรากฏให้เห็นได้จากร่องรอยของแบบจำลองจัตวากาศ (Four Spaces Model) คือการแบ่งพื้นที่เพื่อตอบสนองจุดประสงค์ผู้ใช้บริการได้แก่ พื้นที่การเรียนรู้ พื้นที่พบปะ พื้นที่แสดงออก และพื้นที่สร้างแรงบันดาลใจ ดังนั้นผลลัพธ์ของการเปลี่ยนแปลงในรูปของการออกแบบและการจัดการพื้นที่ การให้บริการ เทคโนโลยี เนื้อหาสาระ และกิจกรรม จึงค่อนข้างคล้ายคลึงกัน เพียงแต่อาจไม่หวือหวาดังเช่นห้องสมุดในเดนมาร์กและนอร์เวย์
หอสมุดแห่งชาติสวีเดน (National Library of Sweden)
หอสมุดแห่งชาติสวีเดนตั้งอยู่ในสวนสาธารณะใจกลางเมืองสต็อกโฮล์ม มีบทบาทหลักในการเก็บรวบรวมสิ่งตีพิมพ์ทุกชนิดของสวีเดน ซึ่งบางชิ้นมีอายุเก่าแก่นับพันปี ทั้งจารึก หนังสือพิมพ์ เพลง รายการโทรทัศน์และภาพถ่าย
เมื่อปี 1661 รัฐบาลได้ออกกฎหมายว่าด้วย “หน้าที่ในการจัดส่ง” สำเนาสิ่งตีพิมพ์ให้กับหอสมุด ซึ่งในอีกด้านหนึ่งเป็นเครื่องมือในการเซ็นเซอร์ข่าวสารสารสนเทศเพื่อการควบคุมประชาชน ล่วงมาจนกระทั่งถึงปลายศตวรรษที่ 20 กฎหมายนี้ได้ขยายขอบข่ายของสารสนเทศที่จัดเก็บให้รวมถึงสื่อโสตทัศน์และเกมคอมพิวเตอร์ และในปี 2012 กำหนดให้ครอบคลุมทรัพยากรอิเล็กทรอนิกส์ด้วย อย่างไรก็ตามกฎหมายดังกล่าวมีส่วนช่วยในการเก็บรักษามรดกทางวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่าไว้อย่างครบถ้วน ปัจจุบันหอสมุดแห่งชาติมีทรัพยากรกว่า 18 ล้านรายการ ซึ่งส่วนใหญ่ถูกเก็บไว้ในชั้นใต้ดิน
ทรัพยากรของหอสมุดแห่งชาติเป็นหนังสือจากหลากหลายภาษา เน้นงานวิจัยทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ทั้งประวัติศาสตร์ สังคมวิทยา และศิลปกรรมศาสตร์ นอกจากนี้ หอสมุดแห่งชาติยังมีบทบาทในการพัฒนาและบริหารจัดการฐานข้อมูลห้องสมุด Libris สำหรับสารสนเทศของห้องสมุดสวีเดนประมาณ 100 แห่ง
อาคารหลักของหอสมุดฯ ชื่อว่าแอนเน็กซ์ (Annex) สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1878 เป็นอาคารใต้ดินซึ่งมีดาดฟ้าเป็นกระจกเพื่อรับแสงสว่างจากภายนอก อาคารดังกล่าวได้รับการบูรณะตกแต่งใหม่เป็นระยะๆ ภายในประกอบด้วยห้องออดิทอเรียม ห้องไมโครฟิลม์ ห้องประชุม โถงนิทรรศการขนาดใหญ่
ข้อจำกัดในการออกแบบตกแต่งภายในของอาคารเดิมประกอบกับความต้องการของผู้ใช้บริการที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้หอสมุดแห่งชาติบูรณะอาคารแอนเน็กซ์ขึ้นมาใหม่ โดยเพิ่มเติมพื้นที่และบริการใหม่หลายส่วน เช่น พื้นที่สำหรับพบปะและทำกิจกรรม พื้นที่สำหรับทำงานแบบกลุ่มที่ไม่เป็นทางการ พื้นที่บริการสื่อโสตทัศน์เพื่อการวิจัย พื้นที่ให้บริการสื่อดิจิทัล ปรับปรุงพื้นที่นิทรรศการให้มีระบบรักษาความปลอดภัยสูงสำหรับจัดแสดงวัตถุมีค่า ออกแบบตกแต่งภายในใหม่ให้มีบรรยาการเป็นมิตร ทันสมัย ดึงดูดและน่าเข้าไปใช้บริการ
ห้องสมุดเมืองโกเทนเบิร์ก (Gothenburg City Library)
Photo : Hundven-Clements Photography
ห้องสมุดเมืองโกเทนเบิร์กสร้างตั้งแต่ปี 1960 ได้รับการบูรณะครั้งใหญ่และเปิดให้บริการห้องสมุดโฉมใหม่เมื่อปี 2014 โดยต่อเติมโครงสร้างอาคารหลายส่วน ห้องสมุดใหม่เพิ่มพื้นที่ให้กับห้องนั่งเล่น การเรียนรู้ วัฒนธรรม และการทำงาน มีคาเฟ่ริมระเบียง และห้องออดิทอเรียม มุ่งให้เป็นแหล่งสร้างแรงบันดาลใจที่กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น
การพบปะเป็นหัวใจหลักของการออกแบบห้องสมุดใหม่ โดยให้ความสำคัญกับฟังก์ชั่นทางสังคมที่ซับซ้อน พื้นที่ต่างๆ ได้รับการออกแบบอย่างใส่ใจ มีเส้นทางและผังที่ชัดเจนเพื่อให้สามารถค้นหาสารสนเทศได้อย่างสะดวก ออฟฟิศของห้องสมุดเป็นพื้นที่ทำงานที่ยืดหยุ่นในสิ่งแวดล้อมแบบเปิดกว้าง ไม่เป็นทางการ เอื้อต่อการมีปฏิสัมพันธ์ ก่อให้เกิดเป็นชุมชนสร้างสรรค์ ห้องสมุดโฉมใหม่จึงสะท้อนถึงความต้องการในอนาคตของทั้งผู้ใช้บริการและเจ้าหน้าที่ห้องสมุด
ห้องสมุดเมืองโกเทนเบิร์กเป็นการผสมผสานกันระหว่างสิ่งเก่าและใหม่ และความตระหนักในคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ที่นี่มีหนังสือจำนวนไม่มาก มีเกมและหนังสือเสียงไว้ให้บริการ มีโซฟาตัวใหญ่สีสันสดใสไว้สำหรับอ่านหนังสือพิมพ์และนิตยสารหรือนั่งคุยกัน อีกทั้งยังใช้เป็นสถานที่นั่งรอรถไปยังสนามบิน มีจุดชาร์จไฟอำนวยความสะดวก มีพื้นที่แสดงนิทรรศการ และจัดกิจกรรมนับร้อยรายการต่อปี
Photo : Hundven-Clements Photography
ห้องสมุดเมืองสต็อกโฮล์ม (Stockholm City Library)
Photo : stockholms_stadsbibliotek
เมื่อต้นศตวรรษที่ 20 กุนนาร์ เอสพลานด์ (Gunnar Asplund) สถาปนิกและเพื่อนร่วมงานถูกส่งไปดูงานที่สหรัฐอเมริกา เพื่อศึกษาเตรียมการออกแบบสถาปัตยกรรมและก่อสร้างห้องสมุดประชาชนซึ่งสวีเดนยังไม่เคยมีมาก่อน พวกเขาได้ข้อสรุปว่าห้องสมุดสมัยใหม่จะต้องเป็นเครื่องมือที่ทำให้ผู้คนสามารถศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง ตอบสนองสังคม ประชาธิปไตย และเป็นพื้นที่ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ แนวคิดสำคัญคือสาธารณชนต้องสามารถค้นหาหนังสือด้วยตัวเองได้อย่างอิสระโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเจ้าหน้าที่ห้องสมุด การออกแบบแผนผังควรมีความเรียบง่ายชัดเจน ส่วนพื้นที่ให้บริการสำหรับเด็กได้รับการออกแบบโดยความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับโรงเรียน เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เยาวชนรักการอ่านและแสวงหาความรู้
ห้องสมุดเมืองสต็อกโฮล์มเปิดให้บริการเมื่อปี 1928 ได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นห้องสมุดที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก สะท้อนเอกลักษณ์สถาปัตยกรรมที่สง่างามตามแบบสวีเดน และยังได้ชื่อว่าเป็นต้นแบบห้องสมุดประชาชนแห่งแรกของประเทศ ต่อมาในต้นศตวรรษที่ 21 ห้องสมุดมีโครงการที่จะปรับปรุงอาคารห้องสมุดใหม่ให้มีความทันสมัยมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ยังคงอนุรักษ์เอกลักษณ์ดั้งเดิมที่เอสพลานด์ได้ออกแบบไว้ ผู้ชนะการประกวดออกแบบจาก 1,700 โครงการเป็นสถาปนิกชาวเยอรมันที่แทบไม่มีชื่อเสียง ผลงานของเขาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ในที่สุดเมืองสต็อกโฮล์มต้องระงับการก่อสร้างปรับปรุง โดยเห็นว่าการออกแบบดังกล่าวอาจสร้างผลกระทบทางสังคมได้ไม่เทียบเท่างานดั้งเดิมที่เอสพลานด์ได้ออกแบบไว้ เหตุการณ์นี้เป็นบทเรียนสำคัญถึงความรอบคอบในการปรับโฉมห้องสมุดที่เก่าแก่และมีความละเอียดอ่อนในมิติทางประวัติศาสตร์
ปัจจุบัน สถาปัตยกรรมทั้งภายในและภายนอกของห้องสมุดเมืองสต็อกโฮล์มยังคงคล้ายกับของเดิมเมื่อเกือบร้อยปีก่อน ในห้องอ่านหนังสือยังเต็มไปด้วยโต๊ะซึ่งสามารถจุผู้ใช้บริการจำนวนมาก ตามแนวผนังมีชั้นหนังสือเรียงรายบรรจุหนังสือกว่า 2 ล้านเล่ม เทปเสียง 2.4 ล้านรายการ ที่นี่เปรียบเสมือนห้องสมุดนานาชาติ เพราะมีหนังสือภาษาต่างประเทศจำนวนมากถึงกว่า 100 ภาษาทั่วโลก และเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวหลั่งไหลกันมาเยี่ยมชมไม่ขาดสาย
Photo : Blog studyinsweden By Andaç Baran
ห้องสมุดมหาวิทยาลัยอุปซอลา (Uppsala University Library)
Photo : Facebook Uppsala universitetsbibliotek
มหาวิทยาลัยอุปซอลาก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1477 ในขณะนั้นยังไม่มีห้องสมุดมหาวิทยาลัย อาจารย์และนักศึกษาต้องยืมหนังสือจากโบสถ์ซึ่งห่างไกลออกไปและมีเพียงไม่กี่เล่ม จนกระทั่งปี 1620 ห้องสมุดได้ถูกสร้างขึ้นด้วยการบริจาค หลายร้อยปีที่ผ่านมาห้องสมุดมหาวิทยาลัยอุปซอลาย้ายที่ตั้งหลายครั้ง สุดท้ายไปอยู่ในอาคารชื่อว่าคาโรไลนา เรดิวิวา (Carolina Rediviva)
ศตวรรษที่ 20 เป็นยุครุ่งเรืองของห้องสมุดทั่วโลกรวมถึงสวีเดนด้วย ห้องสมุดมหาวิทยาลัยอุปซอลามีปริมาณหนังสือเพิ่มขึ้นมหาศาลโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านปรัชญา ช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ห้องสมุดจึงเริ่มลดอัตราการเพิ่มทรัพยากรหนังสือ เนื่องจากเหลือพื้นที่จัดเก็บจำกัด และได้กระจายอำนาจในการบริหารจัดการไปยังห้องสมุดสาขาคณะต่างๆ พร้อมกับการย้ายหนังสือบางส่วนออกไป ทำให้สามารถจัดสรรพื้นที่สำหรับจัดกรรมเพื่อการเรียนรู้ให้กับนักศึกษา
ปัจจุบัน คาโรไลนา เรดิวิวา ยังคงเป็นอาคารหลักของห้องสมุดมหาวิทยาลัยอุปซอลา เน้นการจัดเก็บหนังสือด้านมนุษยศาสตร์และเทววิทยา รวมถึงคอลเลกชั่นที่ทรงคุณค่าเช่น จารึกต่างๆ แผนที่ ภาพ และสิ่งพิมพ์โบราณ เมื่อเข้าสู่ยุคดิจิทัลห้องสมุดมหาวิทยาลัยอุปซอลาได้นำเอกสารโบราณทั้งหลายมาแปลงเป็นดิจิทัล ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้บริการเข้าถึงเนื้อหาได้ง่ายขึ้น พร้อมกับสามารถอนุรักษ์ต้นฉบับเดิมได้สะดวกขึ้น อย่างไรก็ตามห้องสมุดได้ประกาศปิดอาคารคาโรไลนา เรดิวิวา เป็นเวลา 2 ปี ระหว่างปี 2017-2019 เพื่อทำการบูรณะครั้งใหญ่ให้สอดคล้องกับความต้องการในอนาคตของนักศึกษา
ที่มาเนื้อหา