เอลวิส เพรสลีย์ ตำนานร็อกแอนด์โรลผู้เปลี่ยนโลก
นับตั้งแต่ที่โลกได้รู้จักศิลปินหนุ่มผิวขาวที่มาพร้อมกับเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์และท่าเต้นโยกสะบัดขา วงการเพลงของโลกก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เสียงเพลงและตัวตนของเขาได้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลกนี้มากมาย แม้เขาจะลาจากโลกนี้ไปแล้วกว่า 38 ปี เชื่อว่าคงไม่มีใครลืมเลือนชื่อนี้ไปได้... เอลวิส เพรสลีย์
อุทยานการเรียนรู้ TK park ร่วมรำลึกการจากไปครบรอบ 38 ปีของ เอลวิส เพรสลีย์ ในกิจกรรม TK park Music Education: Elvis...You were Always on My Mind กับการพูดคุยถึงความยิ่งใหญ่ของราชาร็อกแอนด์โรล โดย จิ๊บ - วสุ แสงสิงแก้ว หรือ จิ๊บ ร.ด. เจ้าของฉายาเอลวิสเมืองไทย, อ๊อด - อัมพร จักพาก เจ้าของนามปากกา สีลม จาก สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ และ บุ๋ม - ปิยะวัลย์ วงศ์สว่าง บรรณาธิการบริหารนิตยสาร The Guitar Mag และในเครือวงศ์สว่างพับลิชชิ่งแอนด์พริ้นติ้ง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นแฟนเพลงของเอลวิสตัวจริง
จากการพูดคุยของทั้งสามท่านก็ได้นำเสนอเกร็ดเรื่องราวมากมายที่ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากศิลปินเพียงคนเดียว และต่อไปนี้คือสิ่งที่เอลวิส เพรสลีย์ ที่ได้ใช้เสียงดนตรีเปลี่ยนโลกมาแล้ว
ตำนานที่เกิดจากผู้เป็นแม่
จุดเริ่มต้นในการเป็นราชาร็อกแอนด์โรล เกิดขึ้นจากการที่แม่พาเอลวิสเข้าไปฟังเพลงในโบสถ์ เสียงเพลงแนวบูลส์ที่ได้ยินอยู่บ่อยๆ จากเพื่อนบ้าน และกีตาร์ของขวัญจากแม่ สิ่งเหล่านี้ได้ผสมผสานในตัวเขาอย่างไม่รู้ตัว
วันหนึ่งเอลวิสต้องการจะมอบของขวัญวันเกิดให้กับแม่ เขาเลือกอัดแผ่นเสียงร้องของเขาเองเป็นของขวัญ โดยเลือกเพลง That's All Right ของศิลปิน อาร์เธอร์ ครูดัป มาร้องใหม่ในสไตล์ของเขาเอง ด้วยพรสวรรค์ของเสียงร้องแบบสำเนียงของคนผิวดำที่เขาคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็กได้ไปเข้าหูของ แซม ฟิลลิปส์ เจ้าของร้านแผ่นเสียง Sun Records จึงชักชวนเขามาร่วมเป็นศิลปินทรีโอแบนด์ ก่อนที่เขาจะได้พบกับ โคโลเนล ทอม พาร์กเกอร์ เป็นคนที่เห็นแววเอลวิสและเข้ามาซื้อตัว ก่อนจะปลุกปั้นและวางแผนชีวิตให้กับเอลวิสทุกขั้นตอน จนคนทั้งโลกรู้จักเขาในฐานะราชาร็อกแอนด์โรล
ผู้ปฏิวัติวงการเพลงอเมริกา
นี่คือความจริงทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง อุตสาหกรรมเพลงของอเมริกาในช่วงปี 1956 มีกลุ่มเป้าหมายของผู้ฟังหลักๆ คือผู้ใหญ่ โดยไม่สนใจวัยรุ่นเลย เพราะผู้ใหญ่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อสูงสุด แตกต่างจากสมัยปัจจุบันที่เป็นวัยรุ่น จุดเริ่มต้นที่ทำให้วงการเพลงอเมริกาหันมาสนใจวัยรุ่นเกิดขึ้นมาจากเอลวิส เพรสลีย์ นอกเหนือจากดนตรีร็อกแอนด์โรลที่เอลวิสนำเสนอแล้ว ก่อนหน้านั้นโลกยังไม่เห็นเคยเห็นนักร้องที่ออกมายืนสะพายกีตาร์หนึ่งตัว พร้อมกับท่าเต้นเขย่าขาอันเร้าใจ เรียกได้ว่าเป็นเทพเจ้าของวัยรุ่นในอเมริกาและทั่วโลกในยุคนั้น ขนาดที่ทางฝั่งอังกฤษ จอห์น เลนนอน และ พอล แม็กคาร์ตนีย์ ที่กำลังฟอร์มวงเดอะบีทเทิลส์อยู่ ก็ยังยอมรับเอลวิสเป็นไอดอลของตนเองอีกด้วย
วงการเพลงตกตะลึงจนต้องเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายจากผู้ใหญ่เป็นวัยรุ่น แต่ขณะเดียวกันก็มีกระแสต่อต้านจากพ่อแม่นักอนุรักษ์นิยมที่กล่าวหาว่าเพลงและท่าเต้นของเขาเป็นการบั่นทอนศีลธรรมอันดีงาม แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขาก็ยังได้รับการกล่าวขานว่าคือร็อกกบฏ ผู้ปฏิวัติครั้งยิ่งใหญ่ของวงการเพลงอเมริกา
ผสานรอยร้าวทางวัฒนธรรมเหยียดสีผิว
ในสังคมอเมริกาสมัยก่อน การเหยียดผิวสีเป็นปัญหาใหญ่ในเชิงสังคมและวัฒนธรรมที่เกิดขึ้น เอลวิสเป็นคนผิวขาวที่เติบโตขึ้นมาในถิ่นของคนผิวดำ ในเมืองเล็กๆ ที่ชื่อทูเพอโล รัฐมิสซิสซิปปี และที่สำคัญเสียงร้องของเอลวิสมีสำเนียงแบบคนผิวดำ เมื่อเสียงร้องของเขาออกไปสู่สาธารณชนทำให้ทุกคนต่างตกตะลึงไปทั่วทั้งประเทศ ส่งผลให้ทั้งคนผิวขาวและผิวดำต่างเปิดใจฟังเพลงของเอลวิส จึงกลายเป็นสิ่งที่ทำลายกำแพงทางวัฒนธรรมการเหยียดสีผิวได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ครั้งหนึ่ง Nat King Cole เป็นศิลปินแจ๊ซผิวสีชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียง ได้ไปร้องเพลงในถิ่นของคนผิวขาว กลับถูกคนผิวขาวหมายมาทำร้ายเพียงเพราะเป็นคนผิวดำ เอลวิสที่กำลังจะขึ้นคอนเสิร์ตในวันนั้นเช่นกันต้องเดินออกมาจากหลังเวทีเพื่อมาบอกว่า ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับ Nat King Cole เขาจะไม่ยอมขึ้นเวทีแสดงโดยเด็ดขาด ผู้ปองร้ายจึงยอมสลายตัว เหตุการณ์นี้คือสิ่งที่ยืนยันว่า เอลวิสคือทูตที่เชื่อมความร้าวฉานเรื่องการเหยียดผิวเข้าด้วยกัน
จากร็อกกบฏสู่ตัวอย่างของเยาวชนที่ดี
สิ่งที่เกิดขึ้นกับดาราวัยรุ่นทุกคนคือการได้รับหมายเกณฑ์ทหาร เอลวิสก็เช่นกัน เรียกได้ว่าเป็นวิกฤตชีวิตเลยทีเดียว เพราะระยะเวลาการเกณฑ์ทหารถึงสองปี อาจจะมีศิลปินหน้าใหม่ที่พร้อมจะขึ้นแท่นแทนเอลวิสได้หมด เอลวิสจึงได้ปรึกษากับผู้จัดการอย่างทอม พาร์กเกอร์ ว่าจะไม่ใช้ชื่อเสียงหรือเงินเข้ามาช่วยเหลือตัวเองเลย กลับยอมเข้ารับใช้ชาติอย่างเต็มภาคภูมิ ภาพที่เอลวิสเข้ากรมทหารโดนโกนผมกลายเป็นภาพที่ทั้งโลกต่างชื่นชม จากที่เอลวิสเคยถูกต่อต้านจากกลุ่มอนุรักษ์นิยมกลายเป็นตัวอย่างของเยาวชนที่ดี ซึ่งทอม พาร์กเกอร์ได้เตรียมการทุกอย่างไว้ล่วงหน้าถึงสองปีเรียบร้อยแล้ว ทั้งการอัดเสียงล่วงหน้าและการปล่อยเพลงให้แฟนๆ ได้ฟังอยู่ตลอด ไม่ยอมปล่อยให้ชื่อของเอลวิสเลือนหายไปตามกาลเวลา ทำให้สองปีในกรมทหารผ่านไปได้อย่างราบรื่น
หลังจากที่กลับมาจากการเกณฑ์ทหาร ภาพของเอลวิสเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง สลัดภาพของร็อกกบฏไปอย่างหมดสิ้น ผลงานเพลงต่อๆ มาจึงเปลี่ยนเป็นแนวบัลลาดเพราะๆ อย่าง Stuck on You, Fame and Fortune และ Are You Lonesome Tonight? ที่มียอดจองแผ่นนับล้านก่อนที่อัลบั้มจะออกวางจำหน่าย
ตำนานที่ไม่มีวันตาย
ช่วงชีวิตของศิลปินที่เป็นถึงซูเปอร์สตาร์ระดับโลก ย่อมมีทั้งขาขึ้นและขาลงเป็นธรรมดา เอลวิสเองก็ต้องประสบไม่แตกต่างกัน เมื่อการเข้ามาของวงดนตรีจากฝั่งอังกฤษอย่าง เดอะ บีทเทิลส์ ในช่วงปี 1965 - 1966 ทำให้แฟนเพลงของเอลวิสเริ่มลดความนิยมในตัวเขาลง การกลับมาอีกครั้งอีกครั้งในปี 1973 ก็ไม่ใช่การกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ที่สุด กระทั่งการจากไปของเอลวิสทำให้ทั้งโลกได้ตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ที่เขาเคยสร้างไว้
การจัดงานรำลึกอย่างยิ่งใหญ่ทั่วโลกทุกปี บทเพลงที่นำมาโคเวอร์ใหม่โดยศิลปินยุคใหม่อย่างสม่ำเสมอ รวมไปถึงท่าเต้นเขย่าขาที่มาพร้อมกับท่วงทำนองร็อกแอนด์โรลที่ทุกคนนึกถึงเมื่อเอ่ยถึงชื่อ เอลวิส เพรสลีย์ คือสิ่งที่ทำให้เราเชื่อว่าเขาคือตำนานที่ไม่มีวันตายอย่างแท้จริง
วิชญ์พล พลพิทักษ์ชัย