To Love is to Give หรือ ความรักคือการให้ เป็นเรื่องง่ายที่จะพูด แต่เป็นเรื่องยากที่จะทำให้ผู้คนเข้าใจความหมายของคำๆ นี้ หากจะมีใครสักคนที่สามารถทำให้เมล็ดพันธุ์แห่งการแบ่งปันเจริญงอกงามขึ้นในใจของเด็กๆ ได้ ก็ถือว่าใครคนนั้นทำให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ความหมายของคำว่ารักอย่างแท้จริง
เมื่อวันแห่งความรักใกล้เข้ามา อุทยานการเรียนรู้ TK park จึงมีกิจกรรมดีๆ ที่จะทำให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ความหมายของคำว่ารักและการแบ่งปันกับกิจกรรม “สานฝันปันรักด้วยถุงหนังสือ” กิจกรรมที่จะช่วยเติมอาหารสมองด้วยการมอบหนังสือให้เด็กๆ ในท้องถิ่นทุรกันดาร และเติมหัวใจให้เต็มอิ่มด้วยน้ำใจที่เพื่อนๆ ชาว TK ได้แบ่งปันมา
“สานฝันปันรักด้วยถุงหนังสือ” เป็นกิจกรรมที่ทาง TK park จัดขึ้นโดยมีแนวคิดว่าจะให้เด็กๆ ชาว TK และผู้ปกครองมีส่วนรวมในการบริจาคหนังสือให้แก่เด็กในท้องถิ่นทุรกันดาร โดยไม่ใช่แค่การบริจาคหนังสือไปให้อย่างเดียว แต่ให้ครอบครัวมีส่วนร่วมในการทำถุงเก็บหนังสือด้วย ซึ่งก็คือถุงผ้าจาก TK park ที่เด็กๆ และผู้ปกครองจะได้รับมาคนละ 1 ถุง เพื่อมาให้น้องๆ ลงมือเพ้นท์ถุงผ้า แต่งแต้มสีสันตามจินตนาการ เมื่อถุงผ้าอันแสนสวยงามนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว น้องๆ ก็จะได้รับหนังสือเด็ก 2 เล่ม โดยมีสิทธิที่จะเลือกกลับบ้าน 1 เล่ม หรือจะแบ่งปันให้เพื่อนๆ ไปทั้ง 2 เล่มก็ได้
ครอบครัวสุขสันต์ ร่วมมือกันเพ้นท์ถุงหนังสือ
ผลงานจากความคิดสร้างสรรค์ของน้องๆ
นอกจากในงานจะเต็มไปด้วยผลงานของน้องๆ และครอบครัวที่มาร่วมงานแล้ว ยังมีถุงหนังสือฝีมือการเพ้นท์ของคนดังอีกมากมาย ทั้งคนดังในวงการบันเทิง อาทิ คุณไก่ - มีสุข แจ้งมีสุข, กันต์ เดอะสตาร์, บิลลี่ โอแกน, ฝันดี จรรยาธนากร หรือคนดังในวงการหนังสือเด็ก เช่น ครูเกริก ยุ้นพันธ์, ครูชีวัน วิสาสะ, ครูปรีดา ปัญญาจันทร์ นักเขียนและนักวาดภาพประกอบหนังสือเด็ก ท่านเหล่านี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่มาร่วมแบ่งปันความสุขให้น้องๆ
ผลงานการเพ้นท์ถุงผ้าของคนดัง
ถุงผ้าฝีมือเพ้นท์ของคุณไก่ - มีสุข แจ้งมีสุข พิธีกรชื่อดัง
ถุงผ้าฝีมือเพ้นท์ของคุณสอง - จักรพงศ์ สิริริน มือเบสวงพาราดอกซ์
กิจกรรมที่เป็นไฮไลต์สำคัญของวันนี้ที่ทุกคนรอคอย คือเวทีเสวนาและสาธิตการเพ้นต์ถุงผ้ากับพิธีกรหนุ่มชื่อดัง คุณอี้ - แทนคุณ จิตต์อิสระ ซึ่งพาลูกชายและหลานชายมาร่วมกิจกรรมครั้งนี้ด้วยมาร่วมพูดคุยการแบ่งปันสิ่งดีๆ ให้แก่สังคม
ในการเสวนา ประเด็นหลักที่คุณอี้เน้นย้ำคือเรื่องของการอ่าน คุณอี้กล่าวว่าเยาวชนส่วนมากในปัจจุบันห่างเหินจากการอ่านไปมาก เพราะลักษณะของสื่อการเรียนรู้ที่เปลี่ยนไป เรามีโทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต ทำให้สื่อการเรียนรู้ที่สำคัญอย่างหนังสือถูกลบเลือน ทั้งที่จริงแล้วการอ่านหนังสือจะทำให้เด็กๆ มีความคิด การใช้ภาษา และสมาธิที่ดี คุณอี้ได้ยกตัวอย่างครอบครัวของตนเองว่า ได้ปลูกฝังให้ลูกรักการอ่านมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์ การอ่านจึงเป็นกิจกรรมสำคัญหนึ่งที่ช่วยสานสัมพันธ์ในครอบครัวให้แนบแน่น
ในโลกยุคที่ข้อมูลข่าวสารไหลบ่ามาเหมือนน้ำท่วม คุณอี้ได้ชี้ให้เห็นว่าการฝึกให้เด็กๆ “อ่านเป็น” จะทำให้พวกเขามีวิจารณญาณ รู้จักคัดกรองข้อมูลที่ได้รับ เพราะการอ่านคือการรับข้อมูลโดยใช้สมาธิ ค่อยๆ อ่านๆ ค่อยๆ คิดไปทีละบรรทัด ไม่เหมือนการรับสื่ออื่น เช่น ละครในโทรทัศน์ หรือข้อความในอินเทอร์เน็ต ที่เข้ามาและผ่านไปอย่างฉาบฉวย ทำให้เด็กไม่ทันได้คิดและหลงเชื่อไปแล้วอย่างง่ายดาย นอกจากจะฝึกให้เด็กๆ “อ่านเป็น” แล้ว สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งต้องฝึกให้พวกเขา “รักการอ่าน” อีกด้วย เพราะหากเด็กๆ ไม่ได้อ่านเพราะมีความรัก หรือถูกบังคับให้อ่าน ไม่นานพวกเขาก็จะเบื่อ แต่หากเขาได้อ่าน “ความรู้” ด้วยความรัก ก็จะทำให้การอ่านนั้นมีคุณภาพและสามารถพัฒนาศักยภาพของเขาได้
“ความรักกับความรู้ต้องไปด้วยกัน ถ้าความรู้ไม่มีความรัก เรียนไปก็ทุกข์ ถ้าความรักไม่มีความรู้ มันก็จะกลายเป็นความหลง ดังนั้นผมคิดว่า มันยากที่จะเข้าใจความรัก แต่ที่ยากกว่าคือ การรักอย่างเข้าใจ ดังนั้นการอ่านจึงเป็นจุดเชื่อมโยงที่จะทำให้ความรู้และความรักเป็นสิ่งเดียวกัน”
คุณอี้กล่าวว่า ในอนาคตข้างหน้า โลกจะเป็นยุคแห่งการโฆษณาชวนเชื่อ คนที่ไม่มีภูมิคุ้มกันจากการอ่านก็จะถูกครอบงำด้วยข้อมูลข่าวสารที่ผิดๆ ทำให้หลงกระทำผิดได้ง่าย ดังนั้นเราต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็กๆ เยาวชนของเราให้มากที่สุดเพื่อมิให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวายมากไปกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
เมื่อกล่าวถึงกิจกรรมในวันนี้ คุณอี้กล่าวว่าเป็นกิจกรรมที่ดีมาก เมื่อก่อนเวลาที่เขาเดินทางไปยังท้องถิ่นทุรกันดาร หรือแม้แต่บางท้องที่ของกรุงเทพมหานคร ก็จะเห็นบรรดาเด็กๆ ผู้ด้อยโอกาสอาศัยอยู่ในบ้านช่องห้องหอที่แออัด ดิ้นรนปากกัดตีนถีบ พ่อแม่ผู้ปกครองเด็กเหล่านั้นก็หาเช้ากินค่ำ อย่าว่าแต่จะหาหนังสือไปให้เด็กๆ เหล่านั้นอ่าน เขาคิดว่าน่าจะมีกิจกรรมดีๆ ที่จะช่วยให้เด็กๆ เหล่านี้มีโอกาสได้อ่านหนังสือเหมือนเด็กๆ คนอื่นบ้าง ซึ่งในปัจจุบันคุณอี้ก็ได้เห็นนโยบายดีๆ และกิจกรรมดีๆ จากคนที่หวังดีต่อสังคมหลายอย่าง เช่น การลดภาษีหนังสือเด็ก มูลนิธิหรือกลุ่มคนที่มารวมพลังทำเพื่อเด็ก เช่น การออกไปดูแลเด็กด้อยโอกาส การบริจาคหนังสือเด็ก และกิจกรรมของ TK park นี้ก็เป็นกิจกรรมที่ดีอีกอย่างหนึ่งที่น่าสนับสนุนเป็นอย่างยิ่ง
สำหรับแนวคิดเพ้นท์ลงถุงหนังสือในวันนี้ คุณอี้กล่าวว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากวันแห่งความรักที่สำคัญในเดือนนี้ แต่ไม่ใช่วันวาเลนไทน์อย่างที่หลายคนเข้าใจ วันแห่งความรักอันยิ่งใหญ่ของคุณอี้คือวันมาฆบูชา เป็นวันที่พระพุทธองค์ทรงมอบความรักและความปรารถนาดีแก่โลกใบนี้ พระองค์ทรงเผยแผ่ความรักด้วยการให้และไม่หวังอะไรตอบแทน คุณอี้ประทับใจภาพๆ หนึ่งเกี่ยวกับพุทธศาสนาที่เคยเห็นมา เป็นภาพกวางนอนหมอบอยู่ข้างพระพุทธองค์ คุณอี้อธิบายว่า ปกติแล้วกวางจะเป็นสัตว์ขี้ระแวง ระมัดระวังภัยอย่างยิ่ง มีความสามารถพิเศษคือรู้ว่าใครคิดปองร้ายมัน การนอนหมอบอยู่ข้างพระพุทธองค์จึงหมายความว่า พระองค์มีแต่ความรักความเมตตาต่อสรรพสัตว์ แม้แต่กวางซึ่งเป็นสัตว์ขี้ระแวงที่สุดยังวางใจพระองค์ได้
คุณอี้ แทนคุณ ร่วมเสวนาในกิจกรรมสานฝันปันรักด้วยหนังสือ
พ่อลูกผูกพันระหว่างการเพ้นท์ถุงผ้า
ในระหว่างที่คุณอี้และครอบครัวได้ลงมือเพ้นท์ถุงผ้า คุณสุธาทิพย์ ธัชยพงษ์ รองกรรมการผู้จัดการมูลนิธิหนังสือเพื่อเด็กก็ได้มากล่าวถึงกิจกรรมของมูลนิธิหนังสือเพื่อเด็ก คุณสุธาทิพย์กล่าวว่า มูลนิธิหนังสือเพื่อเด็กเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่จัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2544 โดยมีวัตถุประสงค์หลัก คือ “การนำหนังสือสู่เด็ก การนำเด็กสู่หนังสือ” เพื่อกระตุ้นให้สังคมเข้าใจและเห็นความสำคัญในการส่งเสริมการอ่าน และเพื่อสร้างพื้นฐานการเรียนรู้ตลอดชีวิต
คุณสุธาทิพย์กล่าวถึงความสำคัญของการปลูกฝังการรักการอ่านตั้งแต่เด็กว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนาสังคม เพราะเด็กที่รักการอ่านมาแต่เด็กจะเป็นผู้ที่มีทักษะการเรียนรู้อย่างอื่นควบคู่กันไปด้วย ทางมูลนิธิฯ เคยทำแบบทดสอบระหว่างกลุ่มเด็กที่ไม่อ่านหนังสือและกลุ่มเด็กที่ได้รับการปลูกฝังให้รักการอ่าน ปรากฏว่าเกือบทั้งหมดของกลุ่มเด็กที่รักการอ่านมีทักษะด้านอื่นๆ สูงกว่าเด็กที่ไม่รักการอ่าน นอกจากนี้การอ่านยังเป็นกิจกรรมที่ช่วยลดช่องว่างในครอบครัวได้เป็นอย่างดี เมื่อเทียบกับสื่ออื่นๆ เช่นโทรทัศน์ ซึ่งทำให้เด็กได้เรียนรู้ทางเดียว ไม่ช่วยในการพัฒนาศักยภาพของเด็ก แต่การอ่านโดยเฉพาะการที่ผู้ปกครองช่วยปลูกฝังให้เด็กรักการอ่าน อาจจะโดยการอ่านนิทานก่อนนอนให้เด็กฟัง เป็นต้น ทำให้เด็กมีสมาธิ เรียนรู้ที่จะฟังคนอื่น และมีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับสมาชิกในครอบครัว
ถึงวันนี้มูลนิธิหนังสือเพื่อเด็กก็ได้ดำเนินงานมากว่า 10 ปีแล้ว โดยไม่ได้ทำแค่การหาหนังสือไปบริจาคให้เด็กเท่านั้น แต่ได้ช่วยพัฒนาให้หนังสือเด็กมีความเหมาะสมกับการเรียนรู้ของเด็กๆ มากขึ้น เช่น การจัดระดับหนังสือให้สัมพันธ์กับช่วงอายุ เช่น หนังสือเล่มนี้เหมาะกับเด็กอายุ 1-3 ขวบ อีกเล่มเหมาะกับเด็ก 4-6 ขวบ เป็นต้น นอกจากนั้นทางมูลนิธิฯ ก็ยังมีกิจกรรมส่งเสริมให้มีการผลิตหนังสือเด็กมากขึ้น โดยสนับสนุนการพัฒนานักเขียน นักแปล และนักวาดภาพประกอบหนังสือเด็ก และสนับสนุนการก่อตั้งห้องสมุดเด็กตามโรงเรียนต่างๆ
คุณสุธาทิพย์กล่าวชื่นชมกิจกรรมของอุทยานการเรียนรู้ TK park ในวันนี้ว่า “เป็นกิจกรรมที่ช่วยปลูกฝังให้เด็กเรียนรู้ที่จะแบ่งปันคนอื่น เพราะการให้เขาเพ้นท์ถุงหนังสือซึ่งจะเป็นถุงหนังสือที่มีหนึ่งเดียวในโลก แล้วให้เขาตัดใจมอบถุงผ้าให้คนอื่น แล้วยังต้องแบ่งหนังสือให้คนอื่นอีก เป็นการฝึกให้เขาได้ลองแบ่งปัน และเมื่อแบ่งไปแล้วเขาจะได้พบความสุขในการมอบโอกาสให้คนอื่น เมื่อโตขึ้น เด็กๆ เหล่านี้ที่เคยมีประสบการณ์ในการแบ่งปันก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีน้ำใจต่อไป” สำหรับถุงหนังสือและหนังสือที่ได้รับจากกิจกรรม “สานฝันปันรักด้วยหนังสือ” ของอุทยานการเรียนรู้ TK park ในครั้งนี้ ทางมูลนิธิฯ ก็จะนำไปมอบให้แก่ศูนย์ศิลปะเด็กในกรุงเทพ โรงเรียนในจังหวัดพิษณุโลก และโรงเรียนใน อ.แม่สาย จ.เชียงราย
เมื่อคุณอี้เพ้นท์ถุงหนังสือเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้มอบถุงหนังสือและหนังสือให้แก่คุณสุธาทิพย์ ธัชยพงษ์ ตัวแทนจากมูลนิธิหนังสือเพื่อเด็ก พร้อมกันนั้น ดร.ทัศนัย วงศ์พิเศษกุล ผู้อำนวยการสำนักงานอุทยานการเรียนรู้ก็ได้มอบของที่ระลึก และถุงหนังสือพร้อมหนังสือทั้งหมดจากเหล่าคนดังกิจกรรม “สานฝันปันรักด้วยหนังสือ” ให้แก่มูลนิธิหนังสือเพื่อเด็ก เพื่อนำไปแบ่งปันให้น้องๆ ในท้องถิ่นทุรกันดารต่อไป
ถุงผ้าฝีมือเพ้นท์ของคุณอี้
ดร.ทัศนัย มอบของที่ระลึกให้แด่คุณสุธาทิพย์
คุณอี้ส่งมอบถุงผ้าและหนังสือให้แด่คุณสุธาทิพย์
ดร.ทัศนัย มอบถุงผ้าพร้อมหนังสือทั้งหมดให้แก่มูลนิธิเด็ก
คุณรัชฎาภรณ์ อุดมฤทธิ์ หนึ่งในผู้เข้าร่วมกิจกรรมกล่าวว่า เป็นกิจกรรมที่ดีมาก นอกจากจะเสริมสร้างความอบอุ่นในครอบครัวแล้ว ยังฝึกให้เด็กๆ ได้แสดงฝีมือทางศิลปะ และที่สำคัญที่สุดคือ ทำให้เด็กรู้จักการแบ่งปันให้คนอื่นๆ เพราะนอกจากเด็กน้อยจะต้องยอมมอบถุงผ้าที่อุตส่าห์ระบายสีมาเป็นชั่วโมงๆ เพื่อแลกกับหนังสือนิทานแล้ว น้องๆ ยังต้องแบ่งหนังสือนิทานให้เพื่อนอีกด้วย ซึ่งบางคนอาจจะเก็บไว้เอง 1 เล่ม หรือบางคนก็อาจจะมอบให้ทั้ง 2 เล่ม แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เด็กๆ ก็จะได้เรียนรู้ที่จะแบ่งปัน
ผลจากกิจกรรมคงจะเหมือนกับที่คุณรัชฎาภรณ์ว่าไว้ เมื่อผมถามน้องผิงผิง หนึ่งในน้องๆ ที่มาร่วมกิจกรรมว่า ไม่เสียดายถุงผ้าหรือ อุตส่าห์ระบายสีมาตั้งนาน
“ไม่เป็นไรค่ะ ที่บ้านมีเยอะแล้ว ให้เพื่อนที่ไม่มีดีกว่า”
แล้วความหมายของ “ความรักคือการให้” ก็ซึมซับเข้าไปในหัวใจของเด็กๆ ได้ในที่สุด
หนอนหนังสือตัวอ้วน