เป็นเรื่องธรรมดา ที่เพลงเพลงหนึ่ง จะมาจากเรื่องจริงที่บันดาลใจให้เกิดบทเพลงขึ้นมา เช่นเดียวกับเพลงของ พี่เล็ก - อภิชัย ตระกูลเผด็จไกร หรือที่รู้จักกันในชื่อ Greasy Cafe ผู้ถ่ายทอดผลงานดนตรีนอกกระแสที่ได้รับความนิยมจากเด็กแนว เขาเองก็ได้แรงบันดาลใจในการทำเพลงมาจากเรื่องจริง แต่เขาได้เลือกถ่ายทอดแง่มุมชีวิตที่คนไม่ค่อยพูดถึง ด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่บาดลึกความรู้สึก จนกลายเป็นปรากฏการณ์ Greasy Cafe
จากผลงานใน ‘Smallroom 001-002’ ไปจนถึงอัลบั้ม ‘สิ่งเหล่านี้’ ‘ทิศทาง’ ‘The Journey without Maps’ และอัลบั้มล่าสุด ‘Technicolor’ บทเพลงจากความจริงสีหม่นที่คนไม่ค่อยพูดถึงกัน กลั่นความรู้สึกออกมาเป็นท่วงทำนองได้อย่างไร Greasy Cafe มีคำตอบให้ในบทสนทนาต่อไปนี้
5 ปีที่หายไป ไปไหน ทำอะไรอยู่ ?
ทัวร์ไปเรื่อยๆ สองปีแรกไม่ได้คิดเรื่องทำอัลบั้มเลย เพิ่มเริ่มคิดปีที่สาม รู้สึกมันน่าจะต้องเริ่มทำเพลงแล้วล่ะ มันเริ่มเขินละเวลาไปเล่น มีแต่คนถามอัลบั้มใหม่เมื่อไหร่จะออก เลยค่อยๆ เอาเรื่องที่เคยจดไว้มาเขียนเป็นเพลง แต่การเกิดขึ้นของเพลงในอัลบั้มนี้ (อัลบั้ม Technicolor) มันยากเหมือนกัน วิธีการทำงานที่ผ่านมามันเป็นขั้นตอน หนึ่ง สอง สาม ดีดกีตาร์แล้วจดเพลงเลย แต่อัลบั้มนี้ทำแบบนั้นไม่ได้ จะใช้กีตาร์หรือเปียโนก็สื่อสารเรื่องในใจไม่ได้ เลยคิดว่าเราจะลองใช้เครื่องดนตรีที่ไม่เคยใช้มั้ย พวกซินธิไซเซอร์ (Synthesizer: เครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์เพื่อสร้างเสียงจำลอง) เราก็เป็นเด็กน้อยมากในการเล่นซินธิไซเซอร์ แต่วิธีที่มันเด็กน้อยมากกลับตอบโจทย์เรา เออ..แค่นี้ก็พอแล้วนี่ เราเริ่มทำเพลงได้ เอาเรื่องในใจออกมาได้
การทำเพลงแต่ละอัลบั้มมีความต่างออกไปยังไงบ้าง ?
เราโชคดีที่ได้มาอยู่สมอลล์รูม คนที่อยู่ในนั้นมีอิสระในการทำงานเยอะมาก มันเลยกลายเป็นเราตั้งแต่เริ่มแรกโดยไม่มีคนมาบอกว่าต้องทำแบบนั้นแบบนี้ ทำเอง ทำเลย เพลงมาจากตัวเรา เลยเป็นแบบนั้นมาตลอดการทำงาน ในอัลบั้มนั้นรู้สึกยังไงก็ทำแบบนั้นไป ไม่มีวางแผนว่าจะทำแนวนั้นแนวนี้ มันไม่ได้ชัดเจนขนาดนั้น กว่าจะได้เพลงแต่ละเพลงมาก็ใช้เวลามากจริงๆ มันยากและนาน แต่มันจะต่างไปบ้างตรงวิธีทำงาน สามอัลบั้มแรกมันเป็นวิธีแต่งแบบเนื้อกับดนตรี พออัลบั้มสี่ เนื้อไม่มาซะที เราเลยขึ้นดนตรีรอไว้ก่อน ในขณะที่ขึ้นดนตรีเป็นเพลง เราจะทำเมโลดี้มั่วๆ แล้วมันชอบมีประโยคแอบอยู่ในนั้น ซึ่ง 90 เปอร์เซ็นต์ได้เอามาใช้จริงๆ มันคงเป็นอะไรบางอย่างที่เราอยากจะพูด จิตใต้สำนึกหลุดออกมามันเลยกลับมาสู่สิ่งที่เราเคยเจอ สำหรับอัลบั้มนี้เราเอาเรื่องที่เรามีอยู่มาเขียน เป็นแนวกลางคืน แสงสี มันดูเป็นเมืองมากเลย แล้วเป็นยามวิกาลจริงๆ
สิ่งที่อยู่ในตัวพี่เล็กตอนแต่งเพลงคืออะไร ?
90 เปอร์เซ็นต์เป็นสิ่งที่เราเคยเจอมา อีกนิดหน่อยมาจากคนรอบข้าง ถ้าเราฟังจากคนที่เราสนิทแล้วเราสะเทือนมันจะมา อย่างเพลง ‘31 ธันวา’ มาจากเรื่องคนรอบข้าง เขาเล่าให้ฟังว่าเพื่อนเขาไปเที่ยวกับคนที่ชอบวันที่ 31 ธันวา เขากำลังจะบอกรักขอเป็นแฟน แต่ก็ไม่ได้บอกเพราะคนคนนั้นตายก่อน เขาเล่าให้ฟังแล้วเราจด ถ้ารู้สึกใช่ปุ๊บมันจะมา หรือเพลง ‘สิ่งเหล่านี้’ มาจากที่เราได้ยินเพลงรักที่ไม่สมหวัง ความรู้สึกของเราคือทำไมคนยังมองความรักแบบสดใสเจิดจ้า แต่เรายอมรับนะว่าความรักที่ดีมันมีจริงๆ เพียงแต่ว่าความรักแบบนั้นมันเกิดได้กับทุกคนจริงเหรอ งั้นเราจะพูดเรื่องความรักในด้านสว่างมากๆ ก่อนเลย พาร์ทหลังเราขอเป็นความคิดที่เรารู้สึกว่าความรักไม่ได้สวยงามแบบนั้นจริงๆ มันเป็นความจริงที่คนไม่ค่อยพูดถึงมัน เพลง ‘เงาของฝน’ มันเป็นเรื่องที่เราจำได้ว่าตอนเด็กเราเคยเห็นฝนตกตรงนู้นเลย แต่ตรงเรายืนแดดออก เป็นภาพจำติดตา เราว่ามันเป็นเรื่องของการกลัวในสิ่งที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น เราอย่าเพิ่งไปกลัวกับมัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดดีกว่า
เคยมีช่วงตันบ้างมั้ย แล้วต้องทำยังไง ?
ช่วงอัลบั้มที่ 3-4 ตันมาก ใจมันไม่นิ่ง สภาพแวดล้อมมันส่งผลให้ใจเรากังวล คิดว่าเราไม่อยู่ตรงนี้แล้วดีกว่า ก็เลยไปอยู่ที่อังกฤษ เอาแล็ปท็อป เครื่องอัด กีตาร์โปร่ง ไปด้วย พอไปอยู่ที่นู่นแล้วใจสบาย ไปอยู่หลายเดือนเหมือนกันเพลงมันก็เริ่มมา ถ้าคิดไม่ออกเปลี่ยนสภาพแวดล้อมอาจจะช่วยได้ บางทีเราคิดอยู่นั่น คิดเยอะยิ่งคิดไม่ออก พอหัวมันโล่ง มันก็จะคิดอะไรได้บ้าง
Greasy Cafe ไม่ได้มีแค่ความดาร์กๆ หม่นๆ ?
เราไม่ได้คิดว่าเราจะแต่งเพลงดาร์ก แค่รู้สึกอะไรก็เขียน แต่ละอัลบั้มมันเหมือนเป็นการอัพเดทชีวิตในขณะนั้น ว่าเราเจออะไร เพลงให้กำลังใจก็มีเหมือนกัน อย่างเพลง ‘ร่องน้ำตา’ เป็นเพลงในใจเราเหมือนกัน เป็นช่วงเวลาที่เราเริ่มแต่งเพลงให้คนอื่นบ้าง โจทย์ที่ต้องแต่งให้คนอื่นมันเป็นเพลงให้กำลังใจคน เราค่อยๆ เริ่มเรียนรู้วิธีจากตอนนั้น พอถึงอัลบั้มสาม เราอยากพูดถึงการให้กำลังใจบ้าง เราคิดว่าจะเล่าเรื่องนี้ยังไงดี แล้วมันก็เด้งกลับมาตอนที่เราเคยแย่มากๆ มองไปไม่เห็นใคร พูดไปก็ไม่มีใครได้ยิน เพลงนี้มันเลยถูกเล่าไปถึงตัวละครก่อน แล้วค่อยพูดถึงการยอมรับการสร้างกำลังใจขึ้นมา
เรียนรู้การทำเพลงจากอะไร ?
ไม่แน่ใจมันมาของมันเอง เราไม่รู้ทฤษฎีเลยจริงๆ เราทำเพลงมาจนถึงอัลบั้มนี้แล้วก็ยังไม่รู้จริงๆ อย่างสมัยแรกๆ เราจับคอร์ดเราไม่รู้ว่าคอร์ดอะไร แต่อยากได้เสียงนี้ สิ่งที่ออกมามันมาจากสิ่งเรารู้สึกจริงๆ เราไม่รู้ว่าทำไมต้องใช้เสียงดนตรีแบบนั้นแบบนี้ สิ่งที่เราเป็นตอนฟังเดโม่คือมันจะได้ยินเสียงอย่างอื่น แต่จริงๆ คือมันยังไม่มีหรอก แต่เหมือนเราได้ยิน เรารู้สึกว่ามันต้องมี เราก็เพิ่มเข้าไป แล้วค่อยๆ สร้างเป็นเพลง
มีคนเคยถามมั้ย ว่าอยากทำเพลงต้องทำยังไง ?
เคยมีคนถาม เราก็บอกทำเลย อย่าไปคิดว่าคนฟังจะชอบมั้ย เราว่าการแต่งเพลงไม่ค่อยมีต้นทุนเท่าไหร่ เรายืมกีต้าร์ คีย์บอร์ดใครก็ได้ เราใช้แค่สิ่งที่อยู่ในตัวเรา ไม่ต้องไปซื้อ ตอนเขียนเพลงก็เขียนเรื่องทั้งหมดลงไปก่อน ไม่ต้องเรียงหนึ่งสองสาม ไม่ต้องไปกลัวว่าคำมันจะเชย ให้เขียนไปก่อนเลย ตอนเราจะแต่งเพลงเพลงหนึ่ง เราจะไม่กลัวว่าคนจะชอบไม่ชอบ แต่เราจะเขียนให้ดีที่สุดตอนทำมัน แล้วค่อยไปดูผลว่ามันจะเป็นยังไง
พี่ตองก้า