ชีวิตประจำวันของเราทุกคนต่างมีการปรับเปลี่ยนอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทั้งในเรื่องการเรียน การทำงาน การใช้ชีวิต เมื่อเกิดสถานการณ์ที่กระทบต่อทุกคนทั่วโลก และการอยู่บ้านกับครอบครัวเป็นสิ่งจำเป็น การปรับเปลี่ยนชีวิตในช่วงเวลาวิกฤตินี้ คือการเรียนรู้ร่วมกัน พี่ต๊อง-รัตติกร วุฒิกร ก่อตั้งบริษัท Club Creative และเจ้าของเพจ เล่นจนได้เรื่อง แบ่งปันแนวคิดกับ TK Park ด้วยบทบาทของนักออกแบบเกมและของเล่น ที่มีประสบการณ์การออกแบบกิจกรรมเพื่อสังคมมายาวนานกว่า 20 ปี
การสนทนากับ พี่ต๊อง เกิดขึ้นบนช่องทางเพจเฟสบุ๊กของ TK Park ในช่วงเวลาที่ทุกคนต้องกักตัวอยู่ที่บ้าน ทำให้เรื่องราวการพูดคุยเลี่ยงไม่ได้ที่จะพูดถึงบทบาทสำคัญยิ่งของครอบครัวในสถานการณ์โควิด19นี้
สิ่งที่พ่อแม่ผู้ปกครองควรทำคือสร้างการเรียนรู้
หลายครอบครัวอาจต้องทำสิ่งที่ไม่เคยทำ เพื่อสร้างวินัยที่ดีให้แก่เด็ก สิ่งที่พี่ต๊องแนะนำคือ พ่อแม่ต้องวางระบบขึ้นมาให้ได้ โดยการตั้งกฎเกณฑ์ เช่น เรื่องเวลา ให้เด็กกินอาหารให้ตรงเวลา หรือเรื่องทางกายภาพ ให้เด็กเข้าใจขอบเขตพื้นที่ ด้วยการแยกพื้นที่การทำงานและพื้นที่การเล่นให้ชัดเจน และบอกเด็กให้เข้าใจว่าพื้นที่ทำงานไม่ใช่พื้นที่เล่น พื้นที่เล่นคือจุดไหน เมื่อพ่อแม่ต้องทำงานที่บ้าน เด็กก็จะเรียนรู้เรื่องขอบเขตพื้นที่ในที่สุด
สำหรับการออกแบบพื้นที่การเรียนรู้ของเด็กก็มีความสำคัญ โดยธรรมชาติแล้ว พฤติกรรมเด็กจะมีความสนใจไม่ยาวนานนัก การจัดพื้นที่จึงไม่ควรมีสิ่งเร้ามากเกินไป ผู้ใหญ่ควรจัดวางของเล่นไม่เกิน 2 ชุดในพื้นที่เล่น เพื่อให้เด็กมีสมาธิในการเล่นและเรียนรู้ และควรเลือกของเล่นที่สามารถต่อยอดหรือเชื่อมโยงกันได้ ยกตัวอย่างเช่น บ้านตุ๊กตากับบล๊อกไม้ ที่สามารถนำของเล่นมาร่วมกันเล่นเพื่อต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ได้ ถ้าจะให้ดีควรมีการวางแผนการใช้เวลาในแต่ละกิจกรรมของเด็กไว้ด้วย ถ้าใช้นาฬิกาแบบเข็มเพื่อให้เด็กได้มองเห็นเวลาได้อย่างเป็นรูปธรรม ก็อาจจะช่วยให้เด็กเข้าใจยิ่งขึ้น
ในส่วนของกิจกรรม เด็กควรมีส่วนร่วมในการเลือกสิ่งที่เขาอยากทำและจัดตารางร่วมกัน เพื่อให้เขามีความตั้งใจหรือแรงจูงใจในการทำกิจกรรม เกิดการเคารพในสิ่งที่มีส่วนร่วม กิจกรรมที่เด็กจะสนใจส่วนมากมักจะเกี่ยวกับการสำรวจและการทดลอง ซึ่งจะเป็นการฝึกฝนให้เด็กมีสมาธิ และจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เขาสนใจได้นานมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ปกครองได้มีสมาธิในการทำงานมากขึ้นด้วย
สื่อสารอย่างไรให้เข้าใจตรงกัน
มีเทคนิคง่ายๆ เลยคือ เริ่มจากการฟังเด็กก่อน พ่อแม่ต้องรับฟังในสิ่งที่เขารู้มา และประเมินความรู้สึกของเขาด้วย พี่ต๊องแนะนำให้ตั้งคำถามเป็นคำถามปลายเปิด คือเปิดให้คิด เปิดให้แสดงความเห็น ยกตัวอย่างเช่น รู้สึกยังไงที่ไม่ได้ไปเล่นข้างนอก รู้สึกอย่างไรที่แม่ไปเล่นด้วยไม่ได้ รู้สึกอย่างไรที่ไม่ได้เล่นกับเพื่อน 5 อย่างที่จะทำถ้าไม่มีไวรัสแล้ว หลังจากนั้นค่อยประเมินสถานการณ์และสิ่งที่เขารู้
การรับฟังสิ่งที่เด็กตอบ พ่อแม่ก็สามารถประเมินได้ว่าเขารู้อะไร และต้องการอะไรมากที่สุด นี่เองจะทำให้เกิดความเข้าใจ และจากคำตอบจากเด็ก ๆ นี่เอง ทำให้พ่อแม่สามารถเชื่อมโยงกับการจัดกิจกรรมหรือเลือกกิจกรรมให้เขาทำได้อย่างสนุกและต่อเนื่อง
ในส่วนของข้อมูลความรู้ที่เป็นทางการที่สำคัญ เช่น เรื่องสุขภาพ ข้อมูลที่ถูกต้องของโรค พ่อแม่ควรต้องพูดให้ชัดเจน ว่าอะไรที่ทำได้ อะไรที่ไม่ได้ ต้องเคลียร์ให้เข้าใจ โดยสามารถเอาสื่อที่มีอยู่จากแหล่งต่างๆ สทั้งในรูปแบบของภาพและคลิปวิดีโอ มาเป็นเครื่องมือช่วยสื่อสารให้เด็กเข้าใจได้ โดยไม่จำเป็นต้องอธิบายเป็นเลคเชอร์เลย แต่ค่อยๆ สื่อสารเสริมไปในกิจกรรมแต่ละวัน เช่น ตื่นมาตอนเช้าอาบน้ำ สอนเรื่องล้างมือ หรือตอนทำอาหารแทรกเรื่องสุขภาพไปได้ อาจจะพูดว่าการทำให้ร่างกายแข็งแรง ก็ต้องกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ การพยายามหาเครื่องมือ หรือเทคนิค สอดแทรกใส่ในชีวิตประจำวันหรือในกิจกรรมบางอย่าง เด็ก ๆ จะสามารถซึมซับข้อมูลและเข้าใจได้ดีขึ้น โดยไม่ต้องใช้คำพูดเพียงอย่างเดียว
สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในบ้าน
การสร้างความปลอดภัยในบ้านเป็นสิ่งสำคัญ ที่ต้องทำเป็นแบบอย่าง มีวินัยจริงจังและทำให้เห็นอย่างสม่ำเสมอ เด็กจะซึมซับจากสิ่งที่พ่อแม่ทำ แล้วครอบครัวจะไม่อยู่ในภาวะวิกฤติ เช่น การออกไปซื้อของข้างนอกบ้าน เมื่อกลับมาบ้านต้องทำความสะอาด ด้วยการอาบน้ำ เปลี่ยนชุดใหม่ เป็นต้น
ความรู้ด้านภัยพิบัติศึกษา หรือ Disaster Education ในประเทศไทยยังไม่ค่อยเกิดขึ้นมากนัก ซึ่งแตกต่างจากประเทศอื่น แต่เรื่องนี้ก็เป็นสิ่งสำคัญต้องเตรียมพร้อม มันคุ้มค่าที่จะเสียเวลากับการเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ ต้องสร้างความตระหนัก ทำให้เด็กเห็นและเข้าใจ และทำให้มีพลังพอที่จะทำให้เชื่อ เช่น การล้างมือ การใช้ช้อนกลาง ถ้ามันเป็นวัฒนธรรมสิ่งเหล่านี้จะยังคงอยู่ แต่ถ้าเป็นแฟชั่นจะหายไป ความรู้ที่ถูกต้องและมากพอจะสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมได้
การออกแบบอย่างไร ให้เด็กเข้าใจและสนุกกับการดูแลสุขภาพ
พี่ต๊องกับน้องๆ นักออกแบบอาสา ได้ร่วมกันพัฒนาเกมเพื่อให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น รู้เท่าทันโรค และสามารถป้องกันตัวเองได้ เพื่อให้เป็นเครื่องมือช่วยคุณพ่อคุณแม่ในการสื่อสารกับเด็กๆ ผ่านกิจกรรมสั้นๆ สนุกๆ ในช่วงที่ตึงเครียด
แทนที่จะบอกว่าไวรัสอยู่ได้ทุกที่ที่เราไปสัมผัส แบบตรงๆ เราต้องหาวิธีการอื่น เช่น เกมช่วยคุณหมอแต่งตัวเพื่อให้หมอปลอดภัยจากการติดเชื้อ โดยออกแบบเป็นสติกเกอร์ ให้ตัดและแปะตรงตามตำแหน่งและขั้นตอน เป็นเครื่องมือสอนให้สนุกยิ่งขึ้น
อีกตัวอย่างหนึ่งคือ มีเกมเขาวงกตเดินไปหาแม่ โดยเด็กๆ ต้องลากเส้นเพื่อจะไปหาแม่โดนต้องไม่ผ่านความเสี่ยง และต้องสะสมพลังป้องกันเพื่อที่จะต่อสู้กับเชื้อโรคได้ ซึ่งเด็ก ๆ จะได้รู้ว่าในชีวิตเราไม่รู้ว่าคนไหนมีความเสี่ยง แต่สิ่งสำคัญคือการรู้จักดูแลตัวเอง
นอกจากนี้ยังมีเกมอื่นๆ อีกมากมายเช่น เกมลากเส้น เกมระบายสี ซึ่งตอนนี้เปิดให้ดาวน์โหลดในเพจเล่นจนได้เรื่องฟรี สามารถนำมาทำกิจกรรมกับเด็กๆ ได้ เกมเหล่านี้จะช่วยให้เด็กมีสมาธิจดจ่อได้นานขึ้น เพราะพี่ต๊องเชื่อว่าการเรียนรู้ที่สนุกและการมีส่วนร่วมจะทำให้เด็กจดจำได้ดีกว่าสื่อสารด้วยคำพูดเพียงอย่างเดียว