การเข้าสู่ “ประชาคมอาเซียน” ที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2558 ส่งผลให้ประเทศสมาชิกต้องปรับตัวเตรียมความพร้อมในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะคุณภาพ “คน” ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดต่อการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว และการรู้จักเขา รู้จักเราอย่างเข้าใจซึ่งกันและกัน ถือเป็นกลไกสำคัญต่อความสัมพันธ์และความร่วมมืออย่างยั่งยืน
ด้วยเหตุนี้สำนักงานอุทยานการเรียนรู้ (สอร.) หรือ TK park สังกัดสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) สำนักนายกรัฐมนตรี จึงได้จัดประชุมวิชาการประจำปี 2555 “TK Conference on Reading : TKCR 2012” ขึ้น ระหว่างวันที่ 10-11 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ณ ห้องแกรนด์อโนมา โรงแรมอโนมา เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยน ขยายองค์ความรู้และการรับรู้ที่มีต่อประเทศในกลุ่มอาเซียน ด้านนโยบายการอ่านและการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ อันจะนำไปสู่ความเข้าใจซึ่งกันและกันมากยิ่งขึ้นในฐานะพลเมืองอาเซียน ภายใต้แนวคิด “Towards ASEAN Citizenship with Books and Reading” ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน นักวิชาการ ครู บรรณารักษ์ และนักกิจกรรมทางสังคม เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก
การจัดประชุมครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันให้เกิดสังคมการเรียนรู้ อย่างสร้างสรรค์ ซึ่งถือเป็นพันธกิจสำคัญของสำนักงานอุทยานการเรียนรู้ โดยได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญด้านการส่งเสริมการอ่านจาก 3 ประเทศได้แก่ เมียนมาร์ กัมพูชา และบรูไนดารุสซาลาม ต่อเนื่องจากการจัดประชุมเมื่อปีที่ผ่านมา ซึ่งมีสมาชิกอาเซียนเข้าร่วมงานแล้ว 7 ประเทศ และเมื่อรวมกับการประชุมครั้งนี้จะทำให้สามารถมองเห็นภาพรวมด้านการส่งเสริม การอ่านของประชาคมอาเซียนครบถ้วนทั้ง 10 ประเทศ
นายปราโมทย์ วิทยาสุข ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ กล่าวว่า มีโจทย์ข้อใหญ่และความท้าทายอีกมากที่ต้องปรับตัวเพื่อให้พร้อมรับกับการเป็นประชาคมอาเซียน เราจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะรู้จัก เข้าใจ และยอมรับในความแตกต่างหลากหลายของผู้คน รวมถึงการนำเอาความหลากหลายเหล่านี้มาร่วมกันสร้างประโยชน์บนพื้นฐานของความเข้าใจซึ่งกันและกัน
“ความเข้าใจซึ่งกันและกันถือเป็นเงื่อนไขสำคัญของความร่วมมือกันอย่างยั่งยืน การอ่านและการเรียนรู้คือกลไกสำคัญของการรู้จักตนเอง เข้าใจผู้อื่น นำไปสู่ความเข้าใจระหว่างประชาชนในอาเซียน เป็นกลไกที่หนุนเสริมให้ความร่วมมือระหว่าง 10 ประเทศมีความแน่นแฟ้นได้ไม่ยาก แต่ระดับความสามารถในการอ่านและการเรียนรู้ของแต่ละประเทศยังไม่เท่าเทียมกัน ฉะนั้นการพัฒนาคุณภาพคนด้วยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากประสบการณ์ของนานาชาติ จะนำมาสู่การมองเห็นโอกาสใหม่ ยกระดับสังคมอาเซียนให้เป็นสังคมความรู้อย่างแท้จริง”
นายปราโมทย์ วิทยาสุข ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้
ดร.ทัศนัย วงศ์พิเศษกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ และผู้อำนวยการสำนักงานอุทยานการเรียนรู้ กล่าวว่า TK park ได้จัดการประชุมครั้งนี้ขึ้น เพื่อให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้ขยายองค์ความรู้ด้านการส่งเสริมการอ่าน การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ และนำแนวคิดหรือข้อเสนอแนะจากการประชุมไปต่อยอดขยายผลเชิงนโยบายให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนั้นยังหวังว่าเนื้อหาที่ได้จากการประชุมจะมีส่วนช่วยให้เราเรียนรู้ และเข้าใจตนเอง ตลอดจนรับรู้และเข้าใจประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียนได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ด้าน ดร.เอ็น วรประสาท อดีตผู้บริหารสูงสุดคณะกรรมการหอสมุดแห่งชาติสิงคโปร์ ซึ่งให้เกียรติเป็นผู้บรรยายพิเศษในการประชุม กล่าวถึงประโยชน์ทางปัญญาและสังคมของการอ่านตลอดชีวิตว่า การสร้างนิสัยให้คนรักการอ่าน จำเป็นต้องสร้างตั้งแต่เด็ก และต้องไม่หยุดที่จะอ่านแม้จะเป็นผู้สูงอายุ เพราะการอ่านหนังสือเป็นประจำ จะทำให้คนมีภูมิความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต
“การอ่านเป็นการบ่งบอกถึงความสามารถทางปัญญาที่จะถอดรหัสหรือเชื่อมโยง รวมถึงซึมซับและเข้าใจความหมายของสิ่งต่างๆ รอบตัว เพราะการอ่านคือหัวใจสำคัญของการเรียนรู้ทั้งปวง การอ่านทำให้เราเข้าถึงองค์ความรู้ได้มากขึ้น และทักษะการอ่านถือเป็นพื้นฐานที่จะช่วยให้พัฒนาไปได้ไกลกว่าความสามารถทางภาษา รวมถึงยังช่วยรักษาทักษะทางจิตใจและทางสังคม”
รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า อุปสรรคสำคัญที่สุดของการเข้าเป็นประชาคมอาเซียน คือ ภาษาและการศึกษา โดยเฉพาะคนไทยนั้นค่อนข้างเสียเปรียบด้านภาษาอังกฤษเมื่อเทียบกับฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และมาเลเซีย ดังนั้นไทยต้องวางเป้าหมายการจัดการด้านการศึกษาให้ชัดเจน โดยจะต้องยกเครื่องเรื่องภาษา การคิด และความรู้พื้นฐานให้มากขึ้น รวมถึงการเปิดกว้างการเรียนรู้และเข้าใจถึงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเพื่อนบ้านมากขึ้นด้วย
ขณะที่ นายคาล คานน์ ผู้อำนวยการโครงการ Room to Read Cambodia จากประเทศกัมพูชา กล่าวถึงสถานการณ์การอ่านของกัมพูชาว่า กัมพูชาเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่ยาวนาน แต่ต้องตกอยู่ในช่วงของการตกเป็นประเทศอาณานิคมของฝรั่งเศส รวมถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของกลุ่มเขมรแดง กว่าจะกลับมามีสันติภาพจริงๆ อีกครั้ง กัมพูชาก็แทบจะเหมือนกับประเทศสร้างใหม่ที่ต้องเริ่มจากศูนย์ โดยเฉพาะโครงสร้างต่างๆ และระบบการศึกษา ที่ขาดแคลนทรัพยากรทุกด้านทั้งงบประมาณและบุคลากรวิชาชีพครู ทำให้ต้องมีการปรับปรุงโครงสร้างระบบการศึกษาครั้งใหญ่
“รัฐบาลหันมาให้ความสนใจด้วยการร่วมมือกับภาคเอกชนในการส่งเสริมการอ่าน โดยให้เด็กเข้าถึงหนังสือในห้องสมุดมากขึ้น มีการจัดทำโครงการและการรณรงค์ต่างๆ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้เกิดขึ้นในกัมพูชา อย่างไรก็ตาม การสร้างวัฒนธรรมการอ่านควรเกิดขึ้นทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว และโรงเรียน ไปจนถึงระดับสังคม ซึ่งนับเป็นสิ่งที่ท้าทายมาก”
ด้านผู้ร่วมบรรยายหญิงหนึ่งเดียวจากประเทศบรูไนดารุสซาลาม เนลลี่ ดาโต๊ะ พาดูกะ ฮาจจี ซันนี่ ประธานสมาคมห้องสมุดบรูไน กล่าวว่า ตนพยายามผลักดันให้การส่งเสริมการอ่านเป็นวาระแห่งชาติแม้จะล้มเหลวมาหลายครั้ง แต่ล่าสุดเริ่มมีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดีขึ้น เมื่อรัฐบาลบรูไนได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการผลักดันเรื่องดังกล่าว มีความพยายามในการส่งเสริมการอ่านให้เกิดขึ้นในโรงเรียน ห้องสมุด องค์กรพัฒนาเอกชน และชุมชนต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าการอ่านเป็นเรื่องของทุกคนในชาติและเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องในอนาคต
ส่วน ดร.ถั่น ทอ คอง ผู้อำนวยการมูลนิธิอนุรักษ์หนังสือพม่าและประธานบริษัทศูนย์หนังสือพม่า กล่าวว่า ขณะนี้ถือเป็นช่วงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของพม่า มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาหลายอย่าง ทั้งเพิ่มงบประมาณด้านการศึกษา เพิ่มการศึกษาขั้นอุดมศึกษาจาก 3 ปีเป็น 4 ปี ฯลฯ แต่ปัญหาคือการขาดแคลนหนังสือภาษาพม่า และรัฐบาลยังไม่สามารถดูแลคนส่วนใหญ่ของประเทศกว่าร้อยละ 70 จากประชากรทั้งหมดกว่า 60 ล้านคน ที่ยังคงอาศัยอยู่ในชนบทและเป็นคนยากจน จึงยังคงต้องการความช่วยเหลือจากต่างประเทศอีกมาก
ในการอภิปรายร่วมได้มีการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่อง “การอ่านกันและกัน” ว่า ควรมีการแปลหนังสือเด่นๆ ของสมาชิกอาเซียนเป็นภาษาท้องถิ่นของแต่ละประเทศ เพื่อให้คนในแต่ละประเทศได้อ่านเรื่องราวของอีกประเทศหนึ่งเพื่อความเข้าใจซึ่งกันและกัน มีการแลกเปลี่ยนหนังสือหรือจัดทำหลักสูตรในสถานศึกษา รวมถึงการจัดทำ “หนังสืออาเซียน” โดยนำเรื่องที่มีเนื้อหาเรื่องราวเชื่อมโยงความสัมพันธ์ในด้านต่างๆ ของประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งจะส่งผลในด้านของจิตใจ ที่จะผนึกให้คนในประชาคมมีอารมณ์ร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวได้
“การอ่านกันและกัน เป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้เข้าใจอาเซียนได้ดียิ่งขึ้น โดยเราจะไม่นำเรื่องราวความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในอดีตมาตอกย้ำ แต่การอ่านประวัติศาสตร์ เป็นไปเพื่อการเรียนรู้ความผิดพลาด และนำมาปรับปรุง ป้องกัน ไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้นซ้ำรอยเดิม รวมถึงการหาจุดร่วมในการพัฒนาเพื่อให้ประเด็นปัญหาต่างๆ หมดไป และหาวิธีที่จะประสานกันเข้าเป็นพลเมืองอาเซียนที่ดีในอนาคต”
ทั้งหมดนี้คือจุดเริ่มต้นของการนำ “หนังสือและการอ่าน” เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการทำความรู้จักและเข้าใจกันและกัน เพื่อก้าวสู่การเป็นพลเมืองอาเซียนในปี ค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558) ในนาม “ประชาคมอาเซียน”