
แม้ว่าพะเยาจะเป็นจังหวัดเล็กๆ ที่ไม่ได้ถูกสปอตไลท์ด้านการท่องเที่ยวฉายส่อง แต่ว่ากันว่า พะเยาเป็นเมืองแห่งขุมทรัพย์ทางภูมิปัญญาที่ซ่อนเพชรเม็ดงามเอาไว้ และเมื่อปีที่ผ่านมา พะเยาได้รับการยกย่องจากยูเนสโกให้เป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยเป็นการปูทางให้เมืองรองแห่งนี้ ก้าวไปสู่การเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ที่เข้มแข็ง และพัฒนาศักยภาพไปสู่เมืองท่องเที่ยวที่สามารถสร้างรายได้ให้กับคนชุมชนได้อย่างยั่งยืน

TK Park เปิดบ้านหลังใหม่ที่พะเยา
พะเยาในวันนี้ กำลังจะเคลื่อนตัวจากระดับท้องถิ่น ไปสู่ระดับโลก ด้วยพลังเครือข่ายของชาวพะเยาที่พยายามผลักดันให้เมืองของพวกเขาก้าวไปสู่การเป็นเมืองแห่งความสุข สร้างอาชีพให้คนในชุมชน สร้างรายได้ที่มั่นคง และได้รับความเสมอภาคในทุกมิติอย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะในเรื่องของการเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ที่เป็นปัจจัยพื้นฐานสำหรับทุกคน โดยล่าสุดอุทยานการเรียนรู้ TK Park ได้เปิดบ้านหลังใหม่ที่จังหวัดพะเยา ซึ่งนับเป็นแห่งที่ 7 ในภาคเหนือ หลังจากเปิด TK Park จังหวัดเชียงราย แม่ฮ่องสอน พิษณุโลก และอีกหลายแห่งในลำปางไปก่อนหน้านี้

ปัจจุบัน TK Park เปิดให้บริการทั้งหมด 31 แห่งกระจายอยู่ใน 21 จังหวัด และมีเครือข่ายน้อยใหญ่อีก 200 แห่งทั่วประเทศไทย สำหรับอุทยานการเรียนรู้พะเยา หรือ TK Park Phayao นั้น มีทำเลตั้งอยู่บริเวณหน้ากว๊านพะเยา ทะเลสาบน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของภาคเหนือ ซึ่งใต้ผืนน้ำอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้น เป็นที่ตั้งของวัดติโลกอาราม ศาสนาสถานเก่าแก่ที่มีมาก่อนกว๊านพะเยา และจมอยู่ใต้น้ำยาวนานกว่า 68 ปี ปัจจุบันตัววัดยังคงจมอยู่ใต้กว๊านพะเยา มีเพียงยอดเจดีย์ที่ก่อด้วยอิฐดินเผาเท่านั้นที่จะโผล่พ้นน้ำขึ้นมาเวลาน้ำลด


นอกจากนี้ จากหลักฐานบนศิลาจารึกที่ถูกขุดพบบริเวณวัดติโลกอารามนั้น ยังบ่งบอกด้วยว่า บริเวณกว๊านพะเยาในอดีตเคยเป็นชุมชนโบราณที่มีอายุยาวนานกว่า 500 ปี ความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของกว๊านพะเยา จึงกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัด และยังเป็นพื้นที่หลักซึ่งมีสภาพทางภูมิศาสตร์ที่เหมาะสมในการจัดตั้งเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ทุกคนสามารถเดินทางสะดวกและเข้าถึงได้ง่าย

TK Park Phayao แหล่งเรียนรู้ที่เป็นมากกว่าห้องสมุด
อย่างไรก็ตาม TK Park Phayao ไม่ได้มีเพียงห้องสมุดเท่านั้น แต่ยังมีฐานข้อมูลออนไลน์ให้เลือกค้นอีกมากมาย โดยมีหัวหนังสือมากกว่า 200 เรื่องในระบบ อีกทั้งการเปิดให้บริการของ TK Park Phayao ยังเป็นส่วนหนึ่งที่จะส่งเสริม และตอกย้ำศักยภาพของพะเยาในฐานะเมืองแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตระดับโลก ที่ล่าสุดเพิ่งได้รับการรับรองตามมาตรฐานอย่างเป็นทางการจากยูเนสโกเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2565

ทั้งนี้ โครงการพะเยาเมืองแห่งการเรียนรู้ (Phayao Learning City) เกิดขึ้นเมื่อ 3 ปีก่อนหรือ พ.ศ 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดโรคระบาดโควิด-19 จากจุดเริ่มต้นที่เกิดจากเครือข่ายความร่วมมือของ 3 หน่วยงานในขณะนั้น ได้แก่ เทศบาลเมืองพะเยา องค์การบริหารส่วนจังหวัดพะเยา และมหาวิทยาลัยพะเยา จับมือทำงานร่วมกันเพื่อผลักดันเมืองในมิติต่างๆ เพื่อสร้างความสุข และรายได้ให้กับคนพะเยา โดยเริ่มต้นจาก“โครงการแหล่งเรียนรู้เพิ่มทักษะตลอดชีวิต” เน้นการประกอบอาชีพของคนยุคศตวรรษที่ 21 หรือภายใต้วิถีใหม่ เพื่อให้สามารถรับมือและเอาตัวรอดหากมีสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนเกิดขึ้นในอนาคต และพบว่าภูมิปัญญาท้องถิ่นใน จ.พะเยา สามารถนำมาสร้างอาชีพและรายได้ เช่น การทำบ้านดิน การจักสานผักตบชวาเป็นกระเป๋า และผลิตภัณฑ์แบบอื่นๆ
จากนั้นจึงมีการสร้าง “โมเดลแหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นกว๊านพะเยา” นำมาพัฒนาแบบบูรณาการผสมผสานองค์ความรู้ทางวิชาการด้านกระบวนการคิดเชิงออกแบบ หรือ Design Thinking จนกลายเป็นหลักสูตร UP to Upskill/Reskill/ New skill บรรจุใน มหาวิทยาลัยพะเยา เพื่อช่วยแรงงานนอกระบบตกงานสามารถเข้าถึงการศึกษาพร้อมมีใบประกาศจบหลักสูตรที่สามารถนำไปประกอบอาชีพได้

พะเยา: เมืองแห่งการเรียนรู้ระดับโลก
ปัจจุบันโครงการ Phayao Learning City มีภาคีเครือข่ายทั้งจากภาครัฐและเอกชนในจังหวัดพะเยา รวมทั้งหมด 12 เครือข่าย อาทิ เทศบาลเมืองพะเยา องค์การบริหารส่วนจังหวัดพะเยา มหาวิทยาลัยพะเยา สโมสรโรตารี ฯลฯ ได้รับทุนสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ถือเป็นโมเดลต้นแบบของการพัฒนาเมืองวิถีใหม่ ที่ตรงตามมาตรฐานระดับสากลของยูเนสโก (UNESCO Global Network of Learning Cities : GNLC) เป้าหมายหลักเพื่อส่งเสริม สนับสนุนให้ประชากรทุกคนสามารถเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างทั่วถึง ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเสมอภาค
“พะเยาจะเป็น Learning City ไม่ได้เลย ถ้าคนในเมืองนี้ ไม่ได้เป็นคนกระตือรือร้นและต้องการที่จะเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา สิ่งที่เราจะเดินต่อไปในอนาคตของเมืองพะเยานับจากนี้ เป็นเรื่องของการแชร์องค์ความรู้ให้เกิดความเป็นสากลมากขึ้น เติมองค์ความรู้ใหม่ๆ แล้วถ่ายทอดออกไป นี่คือการแลกเปลี่ยนกันบนพื้นฐานของ Local Study ที่เราได้มีการศึกษาพะเยานับตั้งแต่ในอดีตที่ผ่านมา” ผศ.ดร. อัมเรศ เทพมา คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา กล่าวไว้ในงานเสวนา ‘ก้าวต่อไปของพะเยา เมืองแห่งการเรียนรู้’

ด้าน รศ.ดร.ผณินทรา ธีรานนท์ ผู้ช่วยอธิการบดี มหาวิทยาลัยพะเยา และหัวหน้าโครงการ Phayao Learning City แสดงทัศนะถึงก้าวต่อไปของโครงการฯ ไว้ว่า “เราจำเป็นต้องให้ชุมชนอยู่ได้ด้วยตัวเองอย่างยั่งยืน ซึ่งสิ่งที่เป็นคีย์หลักที่เราทำ คือ การสร้าง City Unit ที่เหมือนกับเป็นสถาบันหนึ่งขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างชุมชม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคีเครือข่ายภาคส่วนต่างๆ ซึ่งตอนนี้เราปั้นคนรุ่นใหม่ขึ้นมาทั้งหมด 4 คน เราเรียกว่า City Ambassador ของ City Unit
“สำหรับ City Unit ต้องหารายได้เองด้วย เพื่อให้ชุมชนอยู่ได้ เพราะเป้าหมายเราไม่ได้สร้างแค่แหล่งเรียนรู้อย่างเดียว เราต้องการสร้างแหล่งเรียนรู้ที่นำรายได้มาสู่ชุมชนเพราะรายได้จะนำมาซึ่งความสุขของทุกคนในจังหวัดพะเยา และตอนนี้ City Unit ก็สามารถหารายได้ได้เองแล้วเป็นหลักแสน เราจะผลักดันให้สถาบันนี้ขับเคลื่อนโครงการ Phayao Learning City นี้ต่อไปในอนาคตอีก 4 - 5 ปี”

“Six Industries Model” โมเดลพัฒนาเมืองรองของญี่ปุ่น
นอกจากนี้ ในการเสวนายังได้มีการยกตัวอย่างโมเดลพัฒนาเมือง (รอง) ของประเทศญี่ปุ่น ที่มีชื่อว่า “Six Industries Model” ซึ่งสอดคล้องกับการพัฒนาเมืองพะเยาไว้อย่างน่าสนใจด้วยว่า “ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ถูกมองว่าร่ำรวย แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เพราะ 30 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจญี่ปุ่นตกต่ำลงตลอด ส่งผลให้หลายเมืองในญี่ปุ่นโดยเฉพาะเมืองรอง เศรษฐกิจแย่ลง ยกเว้นฮอกไกโด โตเกียว เกียวโต และโอซาก้า ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยว ที่เศรษฐกิจยังดีอยู่
“เมืองรองในญี่ปุ่นนอกจากเศรษฐกิจจะตกต่ำลงแล้ว ผู้สูงอายุก็มีจำนวนมาก และยังกลายเป็นเมืองหดตัวเนื่องจากคนหนุ่มสาวย้ายออกจากเมืองไปหางานในเมือง คล้ายๆ กับพะเยา ผู้สูงอายุก็ถูกทิ้งไว้ ญี่ปุ่นจึงปั้นโมเดลที่เรียกว่า Six Industries Model ขึ้นมาเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากทั้งหมด 6 รูปแบบ โดยสร้างเศรษฐกิจของการพัฒนาเมืองเป็นสเต็ปที่ 1 สเต็ปที่ 2 เพื่อก้าวต่อไป และสเต็ปที่ 3 เพื่อโครงการจะได้สำเร็จ
“Six มาจาก 1 + 2 + 3 = 6 แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราพัฒนาแล้ว ยังได้แค่สเต็ปที่ 1 ยังไม่ไปถึง 3 ถึง 6 นั่นแสดงว่าเรายังพัฒนาไม่ได้ เพราะฉะนั้นสเต็ปที่ 1 คือต้องเอาเศรษฐกิจของชุมชนที่เป็นฐานรากจริงๆ ขึ้นมา แล้วให้คนในชุมชนช่วยกันพัฒนา สองเมื่อเราได้ทรัพยากรที่มีคุณค่าของชุมชนแล้ว นำมาสร้างเป็น Value Assets เมื่อสร้าง Value Assets เสร็จแล้ว เชิญอาจารย์หรือผู้มีความรู้มาช่วยกันสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ขึ้นมาออกไปสู่ตลาดเพื่อให้ขายได้ การขายเราไม่ได้ขายแค่ ระดับ Local แต่ต้องขายในระดับ Global ด้วย” หนึ่งในผู้ร่วมเสวนาได้ทิ้งท้ายไว้

.....................................................................................................................................................................................
UNESCO Global Network of Learning Cities (GNLC) เป็นเครือข่ายระดับนานาชาติที่มุ่งเน้นด้านนโยบายซึ่งให้แรงบันดาลใจ องค์ความรู้ และแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด เมืองแห่งการเรียนรู้ในทุกขั้นตอนของการพัฒนาจะได้รับประโยชน์อย่างมากจากการแบ่งปันแนวคิดกับเมืองอื่นๆ
เนื่องจากวิธีแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะที่เมืองแห่งการเรียนรู้แห่งหนึ่งพัฒนาอาจมีอยู่แล้วในเมืองอื่นๆ เครือข่ายสนับสนุนความสำเร็จของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้ง 17 ประการ (SDGs) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง SDG 4 และ SDG GNLC ของ UNESCO สนับสนุนและปรับปรุงการเรียนรู้ตลอดชีวิตในเมืองต่างๆ ของโลก โดยส่งเสริมการเจรจานโยบายและการเรียนรู้จากเพื่อนในกลุ่มเมืองต่างๆ ส่งเสริมความร่วมมือ จัดให้มีการพัฒนาขีดความสามารถ และพัฒนาเครื่องมือส่งเสริมและรับรู้ความก้าวหน้าในการสร้างเมืองแห่งการเรียนรู้
ปัจจุบัน เครือข่ายเมืองแห่งการเรียนรู้ทั่วโลกของยูเนสโก (GNLC) มีจำนวนทั้งหมด 294 เมืองใน 75 ประเทศทั่วโลก สำหรับสมาชิกใหม่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเมื่อปี 2022 ประเทศไทยได้รับการประกาศเข้าร่วมเพิ่มเติมอีก 3 เมือง ได้แก่ หาดใหญ่ พะเยา และสุโขทัย