
อยู่ก่อนแต่ง หรือแต่งก่อนอยู่ หรือไม่แต่ง ไม่อยู่ ไม่รีบทำอะไรทั้งนั้น
ผู้คนทุกยุคสมัยต่างมี “วิถีชีวิตในฝัน” เป็นของตัวเอง ยุคหนึ่ง ผู้คนอาจใฝ่ฝันถึงบ้านหลังใหญ่พร้อมคนรับใช้และเครื่องประดับล้ำค่า ยุคต่อมาก็ให้ความสำคัญกับการมีรถขับและงานที่มั่นคง แต่สำหรับคนยุคนี้ “ความสุข” ดูเหมือนจะไม่ได้อยู่ที่สิ่งของหรือสถานะเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป การได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ ทำในสิ่งที่รัก และรักษาสมดุลระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัว กลับกลายเป็นค่านิยมใหม่ที่หลายคนให้ความสำคัญ
TK Park พาทุกคนมาทำความเข้าใจกับไลฟ์สไตล์อย่าง JOMO, FIRE, SINKs, CC และ LAT ที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่คนยุคใหม่ ว่าชีวิตแบบไหนที่เรียกว่าชีวิตในฝันของคน Generation นี้

FIRE (Financial Independence, Retire Early) ผู้มีอิสรภาพทางการเงิน
สำหรับคนยุคก่อน การได้ทำงานจนเกษียณเพื่อให้มีเงินบำนาญเลี้ยงชีพในยามแก่ตัว อาจเป็นชีวิตในฝันที่ฟังดูปลอดภัยและน่าพึงพอใจสำหรับคนหมู่มาก แต่สำหรับคนยุคนี้การต้องอดทนทำงานวันละ 8 ชั่วโมงติดต่อกันแบบยืนระยะไปจนถึงอายุ 60 ปีกลับไม่ใช่รูปแบบชีวิตที่พวกเขาใฝ่ฝัน
แนวคิด FIRE ซึ่งย่อมาจาก Financial Independence, Retire Early คือการรีบทำงานเก็บเงินเพื่อให้เกษียณได้ไวกว่ากำหนด ถือกำเนิดขึ้นและแพร่หลายไปในหมู่นักลงทุนและมนุษย์เงินเดือนอย่างรวดเร็ว พวกเขายินดีใช้ชีวิตในวัยหนุ่มสาว วัยที่ยังมีแรงและไฟอย่างท่วมท้น ขยันทำงานเก็บเงินให้มาก ใช้ให้น้อย เริ่มลงทุนคู่ขนานกับงานประจำอย่างสม่ำเสมอ สะสมเงินก้อนใหญ่ เพื่อให้มีอิสรภาพทางการเงินและเกษียณได้เร็วที่สุด
แม้แนวคิด FIRE จะต้องอาศัยวินัยและความขยันอดออมที่เหนือกว่าคนในช่วงวัยเดียวกัน แต่ก็มีหลายคนที่ยินดีเสียสละความสุขในช่วงวัยหนุ่มสาว เพราะไม่อยากถูกผูกติดกับชีวิตการทำงานไปจนถึงบั้นปลายชีวิต เพราะยิ่งพวกเขาเกษียณได้เร็วมากเท่าไหร่ ก็หมายถึงพวกเขาจะมีทางเลือกในการใช้ชีวิตแบบที่ฝันเร็วมากขึ้นเท่านั้น

SINKs (Single Income, No Kids) โสดอย่างเป็นสุข
หลายสิบปีก่อน ความฝันสูงสุดของหลายคนคือการมีบ้าน มีรถ มีคู่ชีวิต มีลูก มีครอบครัวที่อบอุ่น เพื่อทำให้ชีวิตนั้นสมบูรณ์แบบ แต่สำหรับคนยุคใหม่ที่ไม่พร้อมแบกรับภาระเพิ่มเติมในชีวิต พวกเขากลับรู้สึกว่าการอยู่เป็นโสดแบบไม่มีลูกอาจตอบโจทย์มากกว่า
SINKs คือ Single Income, No Kids แปลว่าหารายได้คนเดียว ไม่มีลูก คือไลฟ์สไตล์ที่คนเลือกใช้ชีวิตแบบเป็นโสด มีรายรับเพื่อเลี้ยงตัวเองคนเดียว จึงมีอิสระสูง มีทางเลือกในการใช้จ่ายเพื่อสร้างความสุขให้ตนเอง สามารถช้อปปิ้ง ไปเที่ยว รับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนงาน หรือแม้แต่ย้ายถิ่นฐานที่อยู่อาศัยได้อย่างอิสระ เพราะไม่ต้องคอยกังวลเรื่องลูก จึงยืดหยุ่นกับอนาคตได้เพราะปัจจัยในการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดมีเพียงแค่ตัวเอง
สำหรับคนที่รักเด็ก SINKs ก็อาจกลายไปเป็น PANKs (Professional Aunt/Uncle, No Kids) หรือสาวโสด (หรือชายโสด) สายเปย์ที่ไม่มีลูกเป็นของตัวเอง แต่เลือกจะใช้จ่ายเพื่อหลาน ๆ เป็นครั้งคราว แต่ไม่มีภาระผูกพันให้ต้องแบกรับระยะยาวเหมือนกับคนที่มีครอบครัว

LAT (Living Apart Together) รักแบบมีพื้นที่ส่วนตัว
แนวคิดการใช้ชีวิตของคนยุคใหม่ไม่ได้เปลี่ยนแค่เรื่องงานหรือการเงิน แต่ยังรวมไปถึงเรื่องความรักและความสัมพันธ์ด้วย
จากอดีตที่คู่รักต้องแต่งงานก่อนถึงจะอยู่ด้วยกันได้ มาจนถึงยุคที่การอยู่ก่อนแต่งกลายเป็นเรื่องปกติ ทุกวันนี้แนวคิดใหม่อย่าง LAT หรือ Living Apart Together (รักกันแต่แยกกันอยู่) ก็กำลังกลายเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์คนยุคใหม่มากขึ้น
LAT คือความสัมพันธ์ของคนสองคนที่รักกันจริง แต่เลือกจะไม่อยู่บ้านเดียวกัน อาจเป็นคู่รักที่เพิ่งเริ่มต้น หรือแม้แต่คู่ที่แต่งงานแล้ว มีลูกแล้ว แต่ก็ยังเลือกจะใช้ชีวิตแยกกันอยู่ ด้วยเหตุผลหลากหลาย บางคนต้องการพื้นที่ส่วนตัว บางคนยังโฟกัสกับงาน หรือมีภาระที่ไม่สามารถย้ายมาอยู่ด้วยกันได้ แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไร ตราบใดที่ทั้งคู่ยังยึดโยงกันด้วยความรักและความซื่อสัตย์ คนเหล่านี้เชื่อว่าความรักที่เว้นพื้นที่ส่วนตัวให้แก่กัน ก็สามารถเป็นความสัมพันธ์ที่ดีได้

CC (Conscious Consumerism) ผู้บริโภคที่โลกรัก
แม้จะเห็นได้ว่าเทรนด์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่เน้นให้ความสำคัญกับตัวเองเป็นหลัก แต่ในอีกแง่มุมหนึ่ง พวกเขาก็ยังสวมบทบาทเป็นผู้รับผิดชอบต่อโลกใบนี้ด้วย
ในช่วงหลายปีมานี้ ผู้คนตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เทรนด์ CC หรือ Conscious Consumerism (บริโภคนิยมแบบมีสติ) ก็ได้รับความนิยมมากขึ้นตาม ผู้บริโภคประเภทนี้จะใส่ใจกับการเลือกสินค้าที่ไม่สร้างผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงไม่เบียดเบียนสังคมและสิทธิมนุษยชนของแรงงานผู้ผลิต เช่น สินค้าที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สินค้า Fair Trade และสินค้าสภาพดีที่วนกลับมาขายในตลาดมือสอง
แม้จะต้องจ่ายแพงกว่าเดิมสำหรับสินค้าประเภทเดียวกัน แต่เหล่า CC รุ่นใหม่ก็ยินดีที่จะจ่ายถ้าสินค้านั้นดีต่อโลกและสังคมมากกว่า เพราะพวกเขามองว่าเม็ดเงินที่จ่ายไปไม่ใช่แค่การซื้อสินค้า แต่ยังเป็นการซื้ออนาคตของโลกใบนี้ที่ต้องอาศัยอยู่ต่อไปอีกหลายสิบปีข้างหน้าให้กับรุ่นลูกหลานด้วย

JOMO (Joy of Missing Out) ความสุขของการไม่ตามใคร
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาหลายคนอาจคุ้นหูกับเทรนด์ FOMO (Fear of Missing Out) หรือการกลัวที่จะตกขบวน กลัวพลาดทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ ทำให้คนคอยวิ่งตามเทรนด์อย่างไม่หยุดหย่อนจนเกิดเป็นความเหนื่อยหน่าย
ไม่นานมานี้เทรนด์ JOMO หรือ Joy of Missing Out (ยินดีที่ได้พลาด) ที่เป็นขั้วตรงข้ามจึงได้ถือกำเนิดขึ้น อธิบายอย่างง่าย JOMO คือคนที่เชื่อว่าชีวิตคนเราไม่ต้องทำทุกอย่างเหมือนคนอื่นก็ได้ ไม่ต้องรู้ทุกเรื่อง ไม่ต้องตามไปกินทุกร้าน ไม่ต้องไปทุกที่ที่คนอื่นไป ไม่ต้องคอยทำตัวให้ทันกระแสอยู่ตลอดเวลา
ตรงกันข้าม มนุษย์ JOMO จะเลือกใช้เวลาไปกับสิ่งที่ตนสนใจจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานอดิเรก การใช้เวลาอยู่กับครอบครัว หรือลงทุนกับการพัฒนาตัวเอง ทำให้คนประเภทนี้มีแนวโน้มจะมีสุขภาพจิตที่ดี เพราะไม่ต้องคอยกดดันกับการต้องตามกระแสสังคมให้ทัน และไม่รู้สึกว่าการพลาดสิ่งที่ทุกคนฮิตเป็นเรื่องน่าเสียดาย ทำให้มีความสุขกับชีวิตตรงหน้าในแบบที่ตัวเองต้องการ
แต่ไม่ว่าใครจะเลือกใช้ชีวิตอย่างไร อยู่ในยุคสมัยไหน “ชีวิตในฝัน” ก็อาจไม่ได้มีคำตอบตายตัว สิ่งสำคัญคือการค้นพบจังหวะชีวิตที่เหมาะกับตัวเอง และใช้ทุกวันให้มีความหมายในแบบที่เราเลือกเดิน นั่นอาจเป็นความสุขที่คนทุกยุคตามหา
แล้ว “วิถีชีวิตในฝัน” ของคุณล่ะ เป็นแบบไหน.
สร้างสรรค์โดย Jaruwan C. และ TK Park
อ้างอิง [1], [2], [3], [4], [5], [6], [7]