กาลเวลานับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่มนุษย์ยังไม่สามารถไขปริศนาได้ แถมยังไม่เคยรั้งรอใคร มีแต่เดินไปข้างหน้าโดยไม่เคยให้โอกาสมนุษย์ได้แก้ไขสิ่งที่เคยทำผิดพลาดไป แต่นั่นก็เป็นเสน่ห์ที่ชวนให้จินตนาการของมนุษย์ได้เติมเต็มด้วยคำถามว่า “ถ้าหากเราสามารถย้อนเวลาได้ล่ะ?” “ถ้าหากมีสถานที่ที่กาลเวลาไม่เดินไปข้างหน้าล่ะ?” “หากเราได้รับโอกาสให้ตัดสินใจอีกครั้งล่ะ?” นำมาสู่หนังสือหลากแนวทั้งไซไฟ แฟนตาซี โรแมนติก หรือแม้แต่แนวสืบสวนสอบสวน แถมยังมีหลายเรื่องถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์สุดแสนประทับใจ วันนี้ TK Park รวบรวมหนังสือที่เกี่ยวกับการเดินทางข้ามเวลาที่หนอนหนังสือชาว TK ไม่ควรพลาด จะมีเรื่องไหนกันบ้างไปดูกันเลย
1. เดอะ ไทม์ แมชชีน (The Time Machine)
ผู้เขียน: H.G.Wells ผู้แปล: ประสิทธิ์ ตั้งมหาสถิตกุล
คงไม่มากไม่น้อยเกินไปถ้าจะบอกว่า “เดอะ ไทม์ แมชชีน” คือผลงานชิ้นเยี่ยมของ H.G.Wells ผู้เป็นบิดาแห่งนวนิยายวิทยาศาสตร์ และถือเป็น “ต้นกำเนิด” ของพล็อตกล่าวถึงการข้ามกาลเวลาในนวนิยายยุคหลังจากนี้หลายต่อหลายเรื่อง
“เดอะ ไทม์ แมชชีน” เล่าถึงเรื่องราวของนักท่องเวลาผู้หนึ่งที่พยายามจะสร้าง “ไทม์แมชชีน” หรือเครื่องเดินทางข้ามเวลาขึ้น โดยมีบรรดานักข่าว นายแพทย์ และผู้เชี่ยวชาญจากหลายสาขาอาชีพคอยติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด แล้ววันหนึ่ง “นักเดินทางข้ามเวลา” ก็ปรากฏตัวขึ้นในสภาพย่ำแย่ราวกับเพิ่งผ่านการต่อสู้อันหนักหนาสาหัสมา จากนั้นเรื่องราวในปี ค.ศ.802701 ก็เริ่มหลั่งไหลออกมาจากปากคำของนักเดินทางข้ามเวลา
เรื่องราวการผจญภัยของเขาเกิดขึ้นเมื่อเขาเดินทางข้ามเวลาไปยังประเทศอังกฤษในอนาคตอันไกลโพ้น ซึ่งกลายเป็นสถานที่ที่สวยงามจนเกือบจะเป็นดินแดนยูโทเปีย ทว่าอารยธรรมที่พัฒนามาอย่างกลับถูกทำลายจนราบคาบด้วยสาเหตุบางอย่าง ซ้ำร้ายเครื่องเดินทางข้ามเวลาของเขาก็กลับถูกนำไปซ่อนไว้ในที่แห่งหนึ่งซึ่งถูกล็อกเอาไว้ ระหว่างที่พยายามหาทางเข้าถึงเครื่องเดินทางข้ามเวลา เขาได้ช่วยเหลือ “วีน่า” มนุษย์คนหนึ่งโดยบังเอิญ นำไปสู่การเดินทางไปพบความจริงของโลกที่ล่มสลายเพราะความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นระหว่างชนชั้นนายทุนและชนชั้นกรรมาชีพ ทำให้เกิดมนุษย์ 2 สายพันธุ์ นั่นคือ "อีลอย" มนุษย์บนบกที่เปราะบาง ขี้เกียจ อ่อนแอ และ "มอร์ล็อค" มนุษย์ที่สืบเชื้อสายมาจากชนชั้นแรงงาน อาศัยอยู่ใต้ดิน มีความแข็งแรง ทว่าน่าเกลียดน่ากลัว ขณะที่สัตว์สายพันธุ์อื่น ๆ สูญสิ้นไปหมดแล้ว การผจญภัยเพื่อค้นหาความจริงของโลกและพยายามหาทางใช้งานเครื่องเดินทางข้ามเวลาอีกครั้ง พร้อมกับหลบหนีการไล่ล่าของมอร์ล็อค นักเดินทางข้ามเวลาทำสำเร็จได้อย่างไร และการเดินทางกลับมายังเวลาปัจจุบันพร้อมกับเรื่องเล่านี้เป็นความจริงแท้หรือเป็นเพียงแค่จินตนาการฟุ้งฝันของเขาเอง รอให้ผู้อ่านได้ลุ้นไปพร้อมกันในเล่ม
เรื่องราวการเดินทางข้ามเวลาในปัจจุบันดูจะเป็นสิ่งที่ทุกคนต่างคุ้นเคย แต่สำหรับนวนิยายที่เขียนขึ้นในปี 1895 นับว่าเป็นแนวความคิดที่แปลกใหม่ล้ำสมัยกว่าที่ใครจะคาดคิด จนกระทั่งคำว่า “Time Machine” กลายเป็นคำสามัญเมื่อใช้เรียกยานพาหนะหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการเดินทางข้ามเวลา นอกจากนี้ยังถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ถึงสองครั้ง คือฉบับปี ค.ศ. 1960 และปี 2002
แม้จะมีผู้กล่าวว่านวนิยายเรื่องนี้มีแก่นเรื่องสำคัญอยู่ที่ความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยเฉพาะในสังคมอังกฤษยุควิคตอเรีย ซึ่งผู้เขียนอาจสร้างเรื่องของมนุษย์สองสายพันธุ์ขึ้นมาเพื่อเตือนรัฐบาลในขณะนั้นว่า หากปล่อยให้ระยะห่างของความเหลื่อมล้ำในสังคมถ่างกว้างมากขึ้น อาจนำมาสู่หายนะเกินคาดเดา แต่เวลส์ก็ไม่ละเลยความเป็นนวนิยายวิทยาศาสตร์ โดยการสอดแทรกจินตนาการเชิงวิทยาศาสตร์ในยุคนั้นไว้ในเรื่องเสมอ เช่น มนุษย์อีลอยที่มีความสวยงามและปราศจากโรคภัยเนื่องจากวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้าจนสามารถกำจัดปรสิตและไวรัสทั้งหมดได้ ความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของมนุษย์มอร์ล็อคที่เกิดขึ้นจากการทำงานหนักตามทฤษฎีวิวัฒนาการ เป็นต้น “เดอะ ไทม์ แมชชีน” จึงนับเป็นจุดเริ่มต้นของการอ่านนวนิยายพล็อตข้ามเวลาที่ยอดเยี่ยมเล่มหนึ่ง
2. ย่นเวลาทะลุมิติ (A Wrinkle in Time)
ผู้เขียน : Madeleine L' Engle ผู้แปล วิลาวัณย์ ฤดีศานต์
คำแปลภาษาไทยว่า “ย่นเวลา” ดูจะเป็นคำที่เหมาะเจาะในการอธิบายทฤษฎีการเดินทางข้ามเวลาและมิติด้วยการวาร์ปผ่านรูหนอน นั่นคือการ “ย่น” มิติเวลาเพื่อกระโดดข้ามไปยังอีกฝั่งของรูหนอนนั่นเอง เรื่องราวเหล่านี้ดูจะเป็นสิ่งที่เข้าใจไม่ยากนักในทศวรรษนี้ แต่สำหรับนวนิยายแฟนตาซีไซไฟเล่มนี้ที่เขียนขึ้นในปี 1962 นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกใหม่ล้ำสมัยไม่น้อย ทำให้นวนิยายเล่มนี้ครองใจนักอ่านมาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบัน
ย่นเวลาทะลุมิติ เล่าเรื่องราวของเม็ก เมอร์รี เด็กสาววัย 13 ขวบ ที่มักจะมีปัญหาที่โรงเรียนเสมอ แม้ว่าพรสวรรค์ด้านคณิตศาสตร์ของเธออยู่ในขั้นอัจฉริยะ แต่ไม่ใช่ในแบบที่ครูต้องการ เธออาศัยอยู่กับแม่ของเธอซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ และชาร์ลส์ วอลเลซ น้องชายวัย 5 ขวบ ส่วนพ่อของเธอซึ่งก็เป็นนักวิทยาศาสตร์เช่นกัน เขาได้รับภารกิจทางวิทยาศาสตร์อย่างลึกลับมาระยะหนึ่งแล้ว และเม็กก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะกลับมาเมื่อไร จนกระทั่งเม็กพบกับคุณนายว็อตสิต เพื่อนบ้านคนใหม่ที่กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตจากดาวดวงอื่น แถมคุณนายยังรู้ว่าพ่อของเม็กไม่ได้หายสาบสูญ ทว่าติดอยู่ในมิติหนึ่งของจักรวาล เธอและพรรคพวกจึงต้องออกเดินทางเพื่อช่วยเหลือพ่อ โดยไม่รู้เลยว่าการเดินทางครั้งนี้มีชะตาของจักรวาลเป็นเดิมพัน
นวนิยายเล่มนี้นับว่าได้เปิดศักราชนวนิยายไซไฟรูปแบบใหม่ โดยการผสมผสานวิทยาศาสตร์กับประเด็นของศาสนาได้อย่างลงตัว ดังที่ผู้เขียนเคยกล่าวว่าความเชื่อทางจิตวิญญาณและควอนตัมฟิสิกส์ไม่ใช่สิ่งที่แตกต่างกัน แต่เป็นสิ่งที่ซ้อนทับกันอยู่ นอกจากนี้องค์ประกอบอื่น ๆ ในเล่มก็มีความน่าสนใจไม่น้อย เช่น การใช้เด็กสาวอัจฉริยะเป็นตัวละครหลักในยุคที่ตัวละครเอกในนวนิยายไซไฟเต็มไปด้วยผู้ชาย การย่อยเรื่องยากอย่างการเดินทางข้ามมิติเวลาที่สามารถนำมาอธิบายให้เด็กเข้าใจได้แบบไม่ซับซ้อน การเชื่อมโยงเรื่องความสัมพันธ์ของมนุษย์กับมิติคู่ขนานที่ทำให้ตัวละครเข้าใจความหมายของคำว่ารัก เป็นต้น ความสนุกของเล่มนี้ด้วยรางวัลมากมาย เคยถูกนำไปทำหนัง ซีรีส์ และละครเวทีหลายเวอร์ชัน ล่าสุดคือฉบับภาพยนตร์ของดิสนีย์ในปี 2018 รับรองว่าหยิบขึ้นมาอ่านแล้วไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน
3. บ้านหลอน เด็กประหลาด (Miss Peregrine's Home for Peculiar Children)
ผู้เขียน: Ransom Riggs ผู้แปล: วิกันดา จันทร์ทองสุข
บางคนอาจจะคิดว่าเล่มนี้เป็นเรื่องราวสยองขวัญจากภาพปกหรือจากชื่อหนังสือ แต่ที่จริงแล้ว “บ้านหลอน เด็กประหลาด” เป็นนวนิยายวัยรุ่นที่มีส่วนผสมของการผจญภัย ผู้มีพลังพิเศษ การสืบสวนสอบสวนระทึกขวัญ มีเรื่องราวการข้าม “วงเวียนกาลเวลา” ผ่านเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ต่าง ๆ เคล้าด้วยดราม่าชวนให้น้ำตาซึมกันอีกด้วย
บ้านหลอน เด็กประหลาด เล่าถึงชีวิตของ “เจคอบ” เด็กชายวัยรุ่นในครอบครัวร่ำรวย เขารู้สึกว่าชีวิตของตนช่างมีแต่เรื่องสุดแสนจะน่าเบื่อ เขาไม่มีความฝันต้องตามหาเมื่ออนาคตที่รออยู่ข้างหน้าคือการสืบทอดกิจการของแม่ แต่หากจะพูดถึงเรื่องตื่นเต้นในชีวิตของเขาก็มีอยู่บ้าง นั่นคือเรื่องเล่าแสนประหลาดของปู่ที่มักเล่าถึง “เด็กอัศจรรย์” ซึ่งมีพลังพิเศษหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเด็กที่สามารถล่องหนได้ เด็กที่ตัวเบาจนต้องสวมรองเท้าถ่วงน้ำหนัก เด็กที่มีพละกำลังมหาศาลยกของหนักได้ หรือเด็กที่มีปากอยู่ด้านหลัง เขาเคยตื่นเต้นกับเรื่องเหล่านี้เมื่อยังเด็ก แต่พอโตขึ้นเจคอบก็ได้เรียนรู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันเท่านั้น
แต่แล้ววันหนึ่ง เจคอบได้รับโทรศัพท์ประหลาดจากปู่พร้อมกับคำพูดปริศนาบางอย่าง เมื่อไปหาปู่จึงพบว่าปู่เสียชีวิตแล้ว และนั่นคือครั้งแรกที่เจคอบได้พบกับอสูรกายแปลกประหลาด ในขณะที่เพื่อนอีกคนที่ไปด้วยกันกลับมองไม่เห็น จึงทำให้เจคอบเริ่มคิดว่าเรื่องเล่าของปู่และปริศนาที่ปู่ทิ้งไว้ให้ก่อนตายนั้นมีความจริงบางอย่างซ่อนอยู่ เขาจึงออกเดินทางเพื่อค้นหาคำตอบ ทำให้เขาได้พบกับ “โลกอีกใบหนึ่ง” ซึ่งเต็มไปด้วยเด็กอัศจรรย์ตามที่ปู่เคยเล่า และความจริงของโลกใบนี้ที่วนเวียนอยู่ในวันที่ 3 กันยายน ค.ศ. 1940 เท่านั้น ซ้ำยังมีอสูรกายที่มีเป้าหมายบางอย่างซึ่งจะส่งผลกระทบกับโลกทั้งสองใบ เจคอบได้เรียนรู้และฝึกฝนพลังของตัวเอง ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เขาและผองเพื่อนผู้มีพลังพิเศษต้องเดินทางข้าม “วงเวียนกาลเวลา” ผ่านเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์โลกเพื่อค้นหาอำนาจที่จะมายับยั้งอสูรกายเหล่านี้ให้ได้
จุดเด่นอย่างหนึ่งของหนังสือเล่มนี้คือการผสมผสานระหว่างภาพถ่ายที่แปลกประหลาดกับการเล่าเรื่องได้อย่างลงตัว โดยผู้เขียนอธิบายเอาไว้ตอนท้ายเล่มว่า รูปถ่ายเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นรูปถ่ายจริง โดยเขาขอยืมมาจากนักสะสมภาพประหลาดจากที่ต่าง ๆ และมีบางภาพที่ดัดแปลงจัดทำขึ้นเองเพื่อให้เข้ากับเนื้อเรื่อง เมื่อเปิดภาพประกอบการอ่านไปในแต่ละตอนจึงช่วยเสริมให้จินตนาการถึงเรื่องราวได้ชัดเจนขึ้น ชวนให้ตื่นเต้นและชวนหลอนไปพร้อมกัน ส่วนเรื่องราวการข้าม “วงเวียนกาลเวลา” ก็เป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของผู้เขียนที่ใช้สอดแทรกเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ซึ่งช่วยเพิ่มรสชาติการผจญภัยของเด็กพิเศษเหล่านี้เสมือนว่าพวกเขามีตัวตนอยู่จริงในโลกของเราอีกด้วย ความสนุกของเล่มนี้การันตีด้วยการนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2016 และยังมีภาคต่ออีกสอเล่ม เป็นนวนิยายไตรภาคที่มีแฟน ๆ ทั่วโลกติดตามอีกด้วย
4. เอาท์แลนเดอร์ (Outlander)
ผู้เขียน: Diana Gabaldon ผู้แปล: ขีดขิน จินดาอนันต์
เรื่องราวการเดินทางย้อนอดีต ประวัติศาสตร์ และความรัก ทั้งหมดผสมผสานกันอย่างลงตัวในเอาท์แลนด์เดอร์ นวนิยายรักโรแมนติกย้อนเวลาที่มีแฟน ๆ คอยติดตามอยู่อย่างเหนียวแน่น ในปัจจุบันฉบับนวนิยายก็เข้าสู่เล่ม 9 แล้ว ส่วนฉบับซีรีส์ก็ดำเนินมาอย่างยาวนานถึงซีซั่น 6 น่าจะเป็นเครื่องการันตีความสนุกแบบวางไม่ลงของนวนิยายเล่มนี้ได้เป็นอย่างดี
เอาท์แลนเดอร์ เล่าเรื่องราวของแคลร์ แรนดัลล์ พยาบาลสาวกับแฟรงก์ ผู้เป็นสามี วันหนึ่งขณะที่ทั้งสองเดินทางไปฮันนีมูนในสกอตแลนด์ แคลร์กลับเดินทางผ่านกาลเวลาย้อนกลับไปเกือบสองร้อยปีในสก็อตแลนด์ยุคศตวรรษที่ 18 ในยุคที่สก็อตแลนด์กำลังเกิดสงครามกลางเมืองจากเหตุการณ์กบฏจาโคไบต์ครั้งที่สอง ท่ามกลางความวุ่นวายของสงครามนั้น แคลร์ได้พบกับร้อยเอก โจนาธาน แรนดัลล์ ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของแฟรงก์ แคลร์ต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในความขัดแย้งระหว่างตระกูลแม็คเคนซีของสกอตแลนด์ กับกองทัพอังกฤษ ที่ส่งผลให้เธอต้องพัวพันกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ในประวัติศาสตร์ถึงขั้นต้องแต่งงานกับ เจมี่ เฟรเซอร์ หนุ่มเจ้าเสน่ห์ชาวสก็อตแลนด์
วันหนึ่งเมื่อแคลล์กับเจมี่เดินทางไปที่วงหินตั้งบนเนินเขาเคร็กนาดูน สถานที่ซึ่งเคยพาแคลร์ย้อนเวลามาสู่ยุคนี้ และอาจนำเธอกลับคืนสู่ชีวิตเดิมในศตวรรษที่ 20 แคลร์จึงต้องเลือกระหว่างการเดินทางกลับไปหาแฟรงก์ สามีที่แท้จริงในชีวิตเดิม หรือจะอยู่ในอดีตต่อไปกับเจมี่ ชายผู้ทำให้เธอหลงรักจนลังเลที่จะกลับไปสู่ปัจจุบัน
นวนิยายเรื่องนี้นอกจากจะมีพล็อตเรื่องที่สนุกสนาน จุดหักมุมที่คาดไม่ถึง และทำให้ผู้อ่านฟินไปกับความรักแสนโรแมนติกของคู่พระนางแล้ว การใช้ฉากในสก็อตแลนด์ยุคศตวรรษที่ 18 ที่สมจริง การบรรยายเกร็ดทางประวัติศาสตร์ที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องราวในยุคนั้นมากขึ้นก็ทำให้ผู้อ่านอินไปกับการเดินทางข้ามเวลาครั้งนี้ และเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของการย้อนอดีตคือ การใช้มุมมองของคนในปัจจุบันในการมองอดีตผ่านนางเอกผู้มาจากยุคเดียวกับผู้อ่าน ทำให้เห็นความแตกต่างทางความคิดและทัศนคติของผู้คนในยุคนั้นได้ชัดเจนมากขึ้น นักอ่านสายโรแมนติกหรือคนที่สนใจประวัติศาสตร์อย่ารีรอที่จะหยิบเล่มนี้ขึ้นมา แต่ขอเตือนก่อนนะว่าถ้าติดใจเล่มแรกไปแล้ว ทำใจว่าต้องจัดคิวอ่านยาว ๆ ไปอีกเกือบสิบเล่มแน่นอน
5. อดีตจะเปลี่ยนทุกครั้งที่ฉันตาย (Life After Life)
ผู้เขียน: Kate Atkinson ผู้แปล: นันทวัน เติมแสงสิริศักดิ์
ระหว่างที่เกิดพายุหิมะในอังกฤษในปี 1910 ทารกคนหนึ่งเกิดและตายก่อนที่เธอจะหายใจเข้าครั้งแรกเนื่องจากรกพันคอจนขาดอากาศหายใจ แต่แล้วในช่วงพายุหิมะในอังกฤษในปี 1910 วันเดือนปีเดียวกัน ทารกคนเดียวกันเกิดและมีชีวิตอยู่เพื่อบอกเล่าเรื่องราวต่อจากนั้น นั่นคือเรื่องราวของเออร์ซูลา ท็อดด์ หญิงสาวที่ "เกิด" และ "ตาย" มานับครั้งไม่ถ้วน เธอไม่แน่ใจนักว่าเรื่องราวในชีวิตเธอเกิดขึ้นจริงหรือเป็นแค่ความฝัน แต่เธอไม่สามารถปฏิเสธความรู้สึก “คุ้นเคย” กับทุกเหตุการณ์ในชีวิตที่ดูเหมือนว่าเธอจะเคยผ่านมาแล้ว และเคยตายมาแล้วนับร้อยครั้ง ทั้งการจมน้ำ ไข้หวัดใหญ่ หรือถูกลูกหลงตายในสงคราม แต่สุดท้ายเธอก็จะตื่นขึ้นพร้อมกับความรู้สึกคุ้นเคย แล้วหาทางหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่จะนำไปสู่ความตายเหล่านั้น
การได้รับ “โอกาสอีกครั้ง” ในการย้อนเวลากลับไปแก้ไขชีวิต ดูเหมือนจะเป็นเหมือนรางวัลจากสวรรค์ บางชีวิตที่เธอพบกับโศกนาฏกรรมและจบลงด้วยความเศร้า เช่น ชีวิตหนึ่งที่เธอตรอมใจตายเพราะถูกพี่ชายของเพื่อนข่มขืนในวันเกิดอายุสิบหกปี เมื่อมีโอกาสแก้ไขอีกครั้งเธอก็สามารถตัดสินใจเพื่อหลีกเลี่ยงโศกนาฏกรรมนั้นได้ แต่ดูเหมือนว่าการย้อนกลับไปแก้ไขการตายของเธอในแต่ละครั้งไม่ได้นำมาแต่สิ่งดีๆ ทว่ามันเปลี่ยนแปลงเรื่องราวของคนรอบข้าง รวมถึงการเปลี่ยนแปลงหน้าประวัติศาสตร์อีกด้วย
การตระหนักใน "อำนาจแห่งความตาย" ของเธอ ทำให้เธอตัดสินใจที่จะไม่ใช้อำนาจนี้เพียงเพื่อตัวเอง แต่จะทำภารกิจที่จะช่วยมวลมนุษย์ให้พ้นจากโศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด นั่นคือการสังหารคนสำคัญคนหนึ่ง ก่อนที่เขาจะนำพาสงครามโลกครั้งที่สองมาสู่หน้าประวัติศาสตร์
อดีตจะเปลี่ยนทุกครั้งที่ฉันตาย มีเนื้อเรื่องคาบเกี่ยวอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งจนถึงสงครามโลกครั้งที่สอง บนหน้าประวัติศาสตร์ที่ฉายภาพความโหดร้ายของสงครามทั้งในกรุงลอนดอนและในเยอรมนี ผู้เขียนได้ผสานเรื่องราวในประวัติศาสตร์เข้ากับกลไกการย้อนเวลา เรื่องราวที่แปรเปลี่ยนในโลกคู่ขนาน “จะเป็นอย่างไรถ้า...” ที่ชวนให้ผู้อ่านลุ้นไปกับตัวละครว่าจะทำภารกิจสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงหน้าประวัติศาสตร์ได้สำเร็จหรือไม่ หรือเธอจะเลือกเส้นทางของมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่จะเติมเต็มความสุขให้ตนเองและปล่อยให้เรื่องราวในประวัติศาสตร์ดำเนินต่อไปตามวิถีที่ควรจะเป็น
6. คดีนี้ขอตาย 7 ครั้ง (The Seven Deaths of Evelyn Hardcastle)
ผู้เขียน: Stuart Turton ผู้แปล: โสภณา เชาว์วิวัฒน์กุล
ชายคนหนึ่งตื่นขึ้นมาโดยไร้ความทรงจำกลางป่า ตรงหน้าของเขาคือทางออกไปสู่คฤหาสน์ตระกูลฮาร์ดแคสเซิล เมื่อเขาเดินเข้าไปในงานเลี้ยงในคฤหาสน์ ทุกคนทักทายเขาว่าเขาเป็นหมอคนหนึ่ง ทว่าเขากลับไม่มีความทรงจำเรื่องการเป็นหมอเลย จู่ ๆ ก็มีชายลึกลับในชุดอีกาดำปรากฏตัวขึ้นและบอกกับชายคนนั้นว่า ชื่อที่แท้จริงของเขาคือเอเดน บิชอป ที่ติดอยู่ในร่างของหมอคนหนึ่ง และเขายังต้องวนลูปเวลาอยู่ในร่างของคนอีก 8 คน เพื่อสืบคดีฆาตกรรมบุตรสาวของตระกูลฮาร์ดแคสเซิลซึ่งเธอกำลังจะถูกฆาตกรรมตอน 5 ทุ่มกลางงานเลี้ยงต้อนรับกลับบ้านครั้งนี้ เขาจะต้องหาให้เจอว่าใครคือฆาตกรตัวจริง ไม่เช่นนั้นลูปเวลานี้ก็ไม่มีวันยุติจนกว่าตัวตนของเอเดนจะสาบสูญไป
นั่นคือเรื่องราวอย่างย่อของ คดีนี้ขอตาย 7 ครั้ง นวนิยายเล่มแรกของนักเขียนหน้าใหม่ Stuart Turton ที่ได้รับความนิยมจนมีการตีพิมพ์เป็นภาษาอื่นๆ แล้วกว่า 28 ภาษา มียอดจำหน่ายแล้วกว่า 200,000 เล่มในปีแรกที่ตีพิมพ์ แถมยังได้รับรางวัลมากมาย ทั้ง The Costa Books Awards 2018 รางวัล The Books Are My Bag Readers Awards 2018 รางวัลและเสียงชื่นชมจากผู้อ่านมาจากการสร้างรสชาติแปลกใหม่ของนวนิยายสืบสวนสอบสวนที่ผสมผสานเรื่องลูปเวลาและคดีฆาตกรรม โดยเล่าผ่านมุมมองของตัวละครที่แตกต่างกันทั้ง 8 ตัว ซึ่งตัวละครทุกตัวล้วนมีความสำคัญในการไขคดีและมีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลฮาร์ดแคสเซิลอย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ประจำตระกูล นายธนาคาร หัวหน้าพ่อบ้าน การปล่อยปริศนาออกมาในจังหวะที่พอเหมาะพอดีก่อนจะเปลี่ยนมุมมองผู้เล่าให้คนอ่านได้คิดตาม และทุกครั้งที่ตัวเอกวนลูปเข้าไปสู่ร่างใหม่ก็จะพบว่าบุคลิกและนิสัยของเจ้าของร่างนั้นแตกต่างกันออกไป ซึ่งส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจสำคัญในเรื่องทุกครั้ง และแน่นอนว่าเดาทางของฆาตกรไม่ได้ง่าย ๆ แน่นอนจนกว่าจะพลิกไปถึงหน้าสุดท้าย
ความหนากว่าห้าร้อยหน้าของนวนิยายเล่มนี้อาจทำให้คนอ่านกลัวอยู่บ้าง แต่ขอบอกเลยว่าเป็นห้าร้อยหน้าที่ตื่นเต้นระทึกขวัญ เต็มไปด้วยการหักมุม ชวนให้รีบพลิกหน้าต่อไปเพื่อจะได้รู้เรื่องราวการฆาตกรรมมากขึ้น ส่วนเนื้อเรื่องนั้นแม้จะฟังดูซับซ้อนเพราะเล่าผ่านตัวละครมากมาย ทว่ากลับติดตามได้อย่างไม่สะดุดเพราะภาษาที่ใช้นั้นอ่านง่าย มีการบรรยายอย่างละเมียดละไมแต่ก็แฝงความตลกร้ายที่ทำให้คนอ่านต้องอมยิ้มอยู่เป็นระยะ แฟนนวนิยายสืบสวนสอบสวนต้องเก็บเล่มนี้ไว้ในลิสต์โดยด่วน
7. เพียงชั่วเวลากาแฟยังอุ่น (Before the Coffee Gets Cold)
ผู้เขียน: Toshikazu Kawaguchi แปล: ฉัตรขวัญ อดิศัย
“หากย้อนเวลากลับไปได้ คุณอยากจะกลับไปเจอใคร” เป็นคำถามที่ทุกคนน่าจะเคยถามตัวเองสักครั้งหนึ่ง เพราะทุกคนเคยผิดพลาด ผิดหวัง พลาดพลั้งกับบางสิ่งในชีวิตและอยากจะได้โอกาสกลับไปแก้ไขอีกสักครั้ง นวนิยายเรื่องนี้พาเราไปพบกับร้านกาแฟแสนมหัศจรรย์ที่สามารถพาเราย้อนกลับไปยังช่วงเวลาในอดีตที่เราปรารถนาได้ เพียงแต่เงื่อนไขคือมีเวลาแค่เสี้ยวนาทีที่กาแฟยังอุ่นเท่านั้น
นวนิยายฟีลกู๊ดที่เล่นกับพล็อตย้อนเวลาที่ไม่ซับซ้อน ทว่าพาเราเข้าไปสำรวจจิตใจของตัวละครหลักทั้ง 4 ตัวได้อย่างลึกซึ้ง ความสูญเสียที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์หลากหลายรูปแบบ สามีภรรยาที่ถูกอัลไซเมอร์ทำให้พลัดพรากกันในความทรงจำ คำขอโทษจากพี่สาวซึ่งยังไปไม่ถึงน้องสาวที่ด่วนจากไป แม่และลูกสาวซึ่งไม่เคยมีโอกาสทำความรู้จักกันมาก่อน “ชั่วเวลากาแฟยังอุ่น” คือช่วงเวลาสั้น ๆ ที่อาจจะติดค้างอยู่ในใจตัวละครมานานเหลือเกินก่อนจะได้โอกาสอีกครั้งในการสะสางปมปัญหาในใจ หรือบางครั้งพวกเขาอาจจะเลือกเก็บเรื่องราวเหล่านั้นไว้เป็นความทรงจำ แม้ว่าสุดท้ายแล้วเราอาจจะเปลี่ยนแปลงอดีตไม่ได้ ก็ขอให้สิ่งที่เหลืออยู่เป็นความทรงจำที่จะไม่ทำร้ายเราอีกก็พอ นั่นอาจจะเป็นความหมายที่แท้จริงของการย้อนเวลาดังที่มีคำโปรยไว้ตรงหน้าปก
นวนิยายสั้น ๆ เล่มนี้การันตีความสนุกด้วยยอดขายกว่า 850,000 เล่มในญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังเคยถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ชื่อ Café Funiculi Funicula ในปี 2019 อีกด้วย ใครที่มองหานวนิยายฟีลกู๊ดอบอุ่นหัวใจ ขอบอกว่าไม่ควรพลาดเล่มนี้อย่างยิ่ง
เป็นอย่างไรบ้างกับ 7 เล่มที่ TK Park คัดสรรมาให้ชาว TK ได้เปิดโลกของการเดินทางข้ามกาลเวลาหลากหลายรูปแบบ การเดินทางย้อนอดีต-อนาคต เรื่องราวความรักสุดแสนโรแมนติก มิตรภาพของผองเพื่อนวัยทีน ความดราม่าตราตรึงใจ การสืบสวนสอบสวนแบบล้ำ ๆ หรือจะฟีลกู๊ดน้ำตาซึมก็มีให้เลือกหลากหลายอารมณ์ ทุกเล่มมีให้บริการที่ TK Park อ่านเล่มไหนจบแล้วอย่าลืมแวะมาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันนะ