เราเชื่อว่าหากใครหลงเข้าไปในเพจอินสตาแกรม In Flower Lesson ของ เมย์–นันทิชา ดิเรกวัฒนานุกุล ศิลปินนักวาดภาพประกอบผู้วาดดอกไม้ ต้นไม้ ใบหญ้า และวิวทิวทัศน์ธรรมชาติ อาจหาทางออกจากสวนดอกไม้ของเธอไม่พบ เพราะผลงานฝีมือ In Flower Lesson โดดเด่นในเรื่องของการใช้สีอ่อนหวาน ขับเน้นให้ภาพมีความละมุนละไม รวมทั้งการใช้ฝีแปรงดิจิทัลที่สวยเหมือนใช้พู่กัน เต็มไปด้วยรายละเอียดของดอกไม้ ทั้งกลีบดอกเล็กๆ เกสร กลีบเลี้ยง ไปจนถึงแสงเงาที่ตกกระทบให้ภาพดอกไม้งดงามสมจริง
ผลงานของ In Flower Lesson เบ่งบานอยู่ในผลิตภัณฑ์มากมาย เช่น กรอบรูปโพลารอยด์ สติกเกอร์ ลายTattoo เทปกระดาษ และการ์ดดอกไม้แบบไดคัทที่เราไม่ค่อยเห็นศิลปินทำมากนัก รวมไปถึงงานออกแบบลวดลายบนผ้าร่วมกับแบรนด์เครื่องแต่งกาย Pomelo, Daily Squad, Pudee, beaubadin และไปออกแบบแพ็กเกจของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแบรนด์ Mamonde และ Sirinn.cosmetics
แรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์งานของเมย์มาจากการท่องเที่ยว ระหว่างการเดินทางเธอจะถ่ายรูปถนนหนทาง ดอกไม้ ใบหญ้า เพื่อนำมาเป็นวัตถุดิบในการสร้างสรรค์งาน
นอกจากการเดินทาง แรงบันดาลใจของเมย์ยังมาจากการอ่านหนังสือ เธอเล่าว่าอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นตามพี่ชายตั้งแต่ยังเด็ก นอกจากนั้นเธอยังชอบอ่านวรรณกรรมเยาวชน ซึ่งหนังสือที่ติดอยู่ในความทรงจำคือ ‘มอนตากู เจ้าหนูหัวใจศิลปะ’ เล่าเรื่องราวของเจ้าหนูที่อาศัยอยู่ในท่อระบายน้ำ ความสุขของมันคือการวาดภาพสีลงบนเปลือกหอย แต่แล้ววันหนึ่งมอนตากูต้องออกจากท่อระบายน้ำ เพื่อไปต่อสู้กับมนุษย์ที่กำลังเข้ามาทำลายบ้านของมันไป
ปัจจุบันเมย์ชอบอ่านหนังสือพัฒนาตัวเอง หนังสือนิยายแปลของคนญี่ปุ่น และหนังสือภาพที่ช่วยในการสร้างสรรค์ชิ้นงาน เธอจึงคัดหนังสือ 5 เล่มนี้มาแบ่งปัน เพื่อส่งต่อเรื่องราวดีๆ และสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อ่าน
1. A little Guide To Trees ผลงานของ Charlotte Voake
หนังสือภาพประกอบสำหรับเด็ก พร้อมข้อความอธิบายที่อ่านง่าย รวบรวมพันธุ์ไม้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ในเมือง หรือต้นไม้นอกเมือง เหมาะให้เด็กมีติดตัวเอาไว้ทำความรู้จักกับต้นไม้ ซึ่งช่วยให้พวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติ และช่วยกันดูแลต้นไม้ที่อยู่รอบตัว ทั้งช่วยให้ร่มเงา ช่วยสร้างออกซิเจน และช่วยให้โลกนี้สวยงาม
“เล่มนี้แนะนำต้นไม้เยอะมาก หลายสายพันธุ์เลยค่ะ เป็นคู่มือสำหรับต้นไม้เลย เขาจะเขียนว่าในฤดูร้อน ฤดูหนาว หรือฤดูใบไม้ร่วง มีต้นไม้อะไรบ้าง แล้วผลของต้นนี้จะงอกมาตอนฤดูไหน เป็นส่วนหนึ่งในหนังสืออ้างอิงที่ให้เมย์ใช้วาดรูป เมย์มีดูบ้างตอนทำงาน เพราะว่าภาพประกอบในเล่มน่ารัก แล้วก็เขียนน่ารักมากค่ะ”
2. Flower Color Guide ผลงานของ Darroch and Michael Putnam
หนังสืออ้างอิงสีของดอกไม้จากนักออกแบบดอกไม้ชั้นนำของนิวยอร์ก ซึ่งความน่ารักอยู่ตรงการออกแบบรูปเล่ม ที่มีการไล่โทนสีของดอกไม้ไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ดอกไม้สีขาว ไปจนถึงดอกไม้สีม่วงเข้ม เป็นหนังสือที่เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบดอกไม้ ผู้สนใจอยากเป็นนักจัดดอกไม้ เพราะภายในเล่มเต็มไปด้วยภาพถ่ายสวยงาม ที่มองเห็นสีสัน และรายละเอียดต่างๆ ของดอกไม้แต่ละดอก
“เล่มนี้ดีมากๆ เหมือนกันค่ะ ที่ต้องเปิดหนังสือดู นั่นเพราะดอกไม้มันมีหลายรูปร่าง รอบๆ ตัวเรามีอยู่ไม่กี่ชนิด เพราะเมืองไทยเป็นเขตร้อน บางทีเราอยากได้อะไรใหม่ๆ ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนก็ต้องเปิดหนังสือดู ไม่อย่างนั้นเราก็ไม่รู้เลยว่ามีอันนี้อยู่”
3. In the Garden of My Dreams ผลงานของ Nathalie Lété
หนังสือรวบรวมภาพวาดคัดสรรกว่า 200 ภาพของ Nathalie Lété ศิลปินชั้นนำของฝรั่งเศส เธอทำงานกับแบรนด์ชั้นนำต่างๆ มากมาย เช่น Anthropologie, Issey Miyake และสินค้าเครื่องประดับภายใต้แบรนด์ของเธอก็วางขายอยู่ในร้านบูติกระดับไฮเอนด์ของฝรั่งเศส หนังสือเล่มนี้จึงเหมาะกับแฟนผลงาน และผู้ชื่นชอบศิลปะที่จะศึกษารายละเอียด เทคนิค และแรงบันดาลใจที่แฝงอยู่ในผลงานแต่ละภาพ “เล่มนี้เป็นหนังสือภาพของศิลปินฝรั่งเศส ดูแล้วช่วยสร้างแรงบันดาลใจเยอะอยู่ค่ะ”
4. Actually, I’m an Introvert ที่จริงแล้ว, ฉันเป็นคนเก็บตัวนะ ผลงานของ นัมอินซุก
หนังสือเล่มดังจากเกาหลีใต้ เล่าเรื่องราวในชีวิตประจำวันของผู้หญิงที่โตมากับการเป็นคนอินโทรเวิร์ต
(Introvert) ทำให้สายตาของเธอมองโลกเป็นอีกแบบ รวมทั้งมุมมองของคนชอบเก็บตัวกับคนที่ชอบเข้าสังคม และคำถามขบคิดเช่น มันมีวิธีในการเปิดปุ่มให้เข้าสังคมเป็นหรือชอบเข้าสังคมหรือเปล่า, คนที่อ่อนไหวง่ายเป็นคนชอบเก็บตัวหรือเปล่า หรือ เวลาที่คนชอบเก็บตัวร้องไห้ก็ควรให้เขาได้อยู่กับตัวเองใช่ไหม เป็นต้น จึงเป็นงานเขียนร่วมสมัยที่สะท้อนเข้าไปในจิตใจของผู้อ่านอย่างซื่อตรง ขณะเดียวกันก็ช่วยทำความเข้าใจในความแตกต่างของผู้คน ว่าเราล้วนมีที่ทางเป็นของตัวเอง
“เพื่อนเมย์แนะนำให้อ่าน ส่วนตัวเมย์เป็นอินโทรเวิร์ตอยู่แล้ว ซึ่งเล่มนี้จะทำให้เข้าใจว่าอินโทรเวิร์ตเป็นอย่างไร การเป็นอินโทรเวิร์ตมันไม่ได้ผิดนะ แล้วคนเขียนเขาเองก็เป็นคนอินโทรเวิร์ตด้วย ดังนั้นเขาก็เล่าเหตุการณ์หลายๆ อย่าง รวมถึงวิธีรับมือ ซึ่งในเล่มมี Quote อันหนึ่งที่เมย์คัดมาว่า
‘สังคมที่ยกให้คนชอบเข้าสังคมเป็นมาตรฐาน และบีบบังคับให้ทุกคนแสร้งทำตัวเป็นคนชอบเข้าสังคมอยู่ตลอดเวลา คือความรุนแรงอย่างหนึ่ง และฉันอยากให้เข้าใจว่า ช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนชอบเก็บตัวพอๆ กัน’
เมย์อยากแนะนำเพราะว่า มันบ่งบอกความเป็นเมย์ด้วยนิดหนึ่ง และหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่แค่ให้คนประเภทเดียวกับเมย์อ่าน แต่อยากให้คนที่เป็นเอ็กซ์โทรเวิร์ต (Extrovert) อ่านด้วย จะได้เข้าใจว่า คนอินโทรเวิร์ตมันไม่แปลกนะ มันเป็นมนุษย์ทั่วไปนี่แหละ แค่ไม่เหมือนกัน แต่ละคนมีวิธีการชาร์จแบตไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง”
5. ในครึ่งที่ยังว่างของกระเป๋าเดินทางสีฟ้า ผลงานของ ฟูมิเอะ คนโด
หนังสือวรรณกรรมแปลจากประเทศญี่ปุ่น บอกเล่าเรื่องราวของหญิงสาวที่บังเอิญไปค้นพบกระเป๋าเดินทางสีฟ้าสไตล์คลาสสิกทำด้วยหนัง เธอตัดสินใจซื้อมันทันทีราวกับเจอแรงดึงดูดบางอย่าง ก่อนที่กระเป๋าใบนั้นจะนำพาเธอและเพื่อนๆ ออกเดินทางท่องเที่ยวไปยังเมืองต่างๆ ตั้งแต่นิวยอร์ก ฮ่องกง อาบูดาบี ไปจนถึงปารีส ซึ่งการนำเสนอมมุมมองการท่องเที่ยวที่หลากหลาย ได้สร้างแรงบันดาลใจให้หยุดพัก แล้วพาผู้อ่านออกเดินทางไปพบกับโลกกว้าง หรือช่วยมอบพลังใจให้สู้ต่อ ในช่วงเวลาเหนื่อยล้า ท้อแท้ หรือรู้สึกแปลกแยกจากสังคมหรือผู้คนรอบข้าง
“เป็นหนังสือที่เมย์เพิ่งอ่านเล่มล่าสุด เกี่ยวกับเพื่อนผู้หญิง 4 คน ซึ่งแต่ละคนจะมีเรื่องราวการท่องเที่ยวไม่เหมือนกัน บางคนชอบเที่ยวเพราะความหลงใหล อีกคนบอกว่าการไปเที่ยวไม่ได้สบายนะ อีกคนเอาเงินไปจ่ายโรงแรมหรู อีกคนไปเพราะมีความฝัน มันบอกว่าวิธีการท่องเที่ยวของแต่ละคนไม่เหมือนกัน พอกลับมาก็ได้ประสบการณ์ต่างกัน อย่างตัวละครหนึ่งในเรื่องเขาชื่อ ‘มามิ ยามากุชิ’ เป็นพนักงานห้างสรรพสินค้า ซึ่งเขามีความฝันอยากไปดูบรอดเวย์ที่อเมริกามากๆ ก่อนแต่งงานสามีก็สัญญาว่าจะไปฮันนีมูนด้วยกัน แต่หาวันหยุดเท่าไหร่ก็ไม่ยอมไปสักที จนมามิไปเจอกระเป๋าเดินทางสีฟ้าขายอยู่ที่ตลาด มีหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นทำให้เธอตัดสินใจไปเที่ยวคนเดียว แม้สามีจะห้าม ไปแล้วปลอดภัยไหม เป็นผู้หญิงคนเดียวจะโดนข่มขืนหรือเปล่า แต่มามิก็ตัดสินใจไป พอเธอกลับมาก็ค้นพบว่า ไปเที่ยวคนเดียวได้นี่ น่าจะไปตั้งนานแล้ว ส่วนอีกคนคือ ‘ฮานาเอะ’ เป็นพนักงานบริษัททำความสะอาดที่ไม่กล้าเล่าให้ใครฟังเลยว่า ไปเที่ยวฮ่องกง แล้วนำเงินส่วนหนึ่งไปจ่ายโรงแรมหรู 3 วัน ซึ่งเวลาเพื่อนมาถามว่าไปเที่ยวประสบการณ์เป็นยังไง ก็อายไม่กล้าเล่า เพราะคิดว่าประสบการณ์ของตัวเองไม่มีอะไรเลยเมื่อเทียบกับคนอื่น ดังนั้นหนังสือเล่มนี้สำหรับเมย์ก็มาจากตัวเอง เมย์มีเพื่อนที่เหมือนชอบเที่ยวลุยๆ เขาก็มองว่าการเที่ยวลุยๆ คือการเที่ยวของเขา ส่วนเมย์จะเที่ยวชิลๆ ไปเอาบรรยากาศ เมย์ว่ามันเหมือนเป็นการทำความเข้าใจว่าแต่ละคนมันไม่เหมือนกันนะ คนเราชอบไม่เหมือนกัน มันซับซ้อนมากกว่านั้น”
สำหรับใครสนใจหนังสือที่เมย์แนะนำ สามารถหาอ่านได้ที่อุทยานการเรียนรู้ TK Park และสามารถเข้าไปติดตามผลงานของเมย์ได้ที่อินสตาแกรม/ทวิตเตอร์ : inflowerlesson และเว็บไซต์ www.inflowerlesson.com ให้ดอกไม้และหนังสือเบ่งบานในใจของทุกคนนะ