เด็กแต่ละคนนอกจากจะมีความแตกต่างเรื่องรูปร่างหน้าตาแล้ว ความคิดจิตใจของเด็กแต่ละคนก็มีความแตกต่างด้วยเช่นกัน สิ่งสำคัญที่จะทำให้เขาเติบโตอย่างมีความสุขในแบบที่เขาเป็นได้ คือความเข้าใจและยอมรับจากคุณพ่อคุณแม่เพื่อที่จะพัฒนาลูกได้อย่างเหมาะสมกับทางที่เขาเลือก
ครูเม-เมริษา ยอดมณฑป นักจิตวิทยาด้านเด็กและครอบครัว เจ้าของเพจ ตามใจนักจิตวิทยา จะมาพูดคุยถึง 2 เรื่องสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ควรเรียนรู้และทำความเข้าใจ คือ บุคลิกภาพ และทักษะการฟัง เพื่อที่จะได้เรียนรู้ว่า ลูกมีบุคลิกภาพแบบไหน ต้องเลี้ยงเขาในรูปแบบใด ซึ่งจะทำให้ครอบครัวเข้าใจกันมากขึ้น
เลี้ยงลูกในแบบที่ลูกเป็น คืออะไร
เลี้ยงลูกในแบบที่ลูกเป็น คือการยอมรับสิ่งที่เขาเป็นและเลี้ยงเขาให้ตรงกับนิสัย บุคลิกภาพ สิ่งที่เขาชอบ เด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกัน บางคนเก็บตัว บางคนเปิดเผย ชอบเข้าสังคม ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมและการเลี้ยงดู ซึ่งมีหลายทฤษฎีที่แบ่งบุคลิกภาพไว้ หนึ่งในนั้นคือ Introvert และ Extrovert
Introvert คือ คนที่ได้รับพลังเมื่ออยู่กับตัวเอง ชอบความสงบ ไม่ชอบเข้าสังคมเพราะต้องเจอความพลุกพล่าน จึงเลือกทำกิจกรรมที่เงียบสงบกับตัวเองมากกว่า
Extrovert คือ คนที่ได้รับพลังเมื่อได้พบเจอผู้คน ได้ออกไปสังสรรค์ พูดคุย
นอกจาก Introvert และ Extrovert แล้ว ยังมีบุคลิกภาพอีกแบบคือ Ambivert คือคนที่มีลักษณะอยู่ตรงกลาง ระหว่าง Introvert และ Extrovert บางครั้งชอบออกสังคม บางครั้งชอบอยู่คนเดียว ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และสิ่งแวดล้อม
เด็กที่มีบุคลิกภาพแบบ Extrovert จะเป็นเด็กที่ใช้พลังมาก ชอบการกระตุ้นให้ทำกิจกรรม ส่วนเด็กที่มีบุคลิกภาพแบบ Introvert จะชอบกิจกรรมที่ได้อยู่กับตัวเอง ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ต้องสังเกตว่าลูกมีบุคลิกภาพแบบไหน เพื่อจะเลี้ยงลูกในแบบที่เขาเป็น
พื้นฐาน 3 อย่างที่ลูกควรได้รับไม่ว่าจะมีบุคลิกภาพแบบใด
พื้นฐานสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องให้กับลูก ไม่ว่าเขาจะมีบุคลิกภาพแบบไหนเพื่อให้เขาเติบโตอย่างมีคุณภาพและมีความสุข คือ
1. สายสัมพันธ์ที่อบอุ่น
สายสัมพันธ์ที่อบอุ่นจะเกิดขึ้นได้เมื่อคุณพ่อคุณแม่มีเวลาให้กับลูก มีเวลาเล่นด้วยกัน อ่านหนังสือนิทานให้ฟัง นำไปสู่พื้นฐานจิตใจที่มั่นคง ลูกจะสามารถเป็นตัวเองได้เพราะมีความมั่นใจว่ามีคนยอมรับ
2. ช่วยเหลือตัวเองได้
การให้ลูกได้ทำอะไรด้วยตัวเองตามวัย เช่น เมื่อลูกอายุประมาณหนึ่งขวบสอนให้เขาทานข้าวเอง จะทำให้ลูกเติบโตมาเป็นเด็กที่มั่นใจในตัวเอง
3. การยอมรับ
คือการยอมรับในบุคลิกภาพของลูก หากคุณพ่อคุณแม่ยอมรับได้จะทำให้ลูกมีจิตใจที่เข้มแข็ง ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ต้องหมั่นสังเกตว่าลูกเป็นคนแบบไหน เพื่อที่จะสอนเขาด้วยวิธีที่เหมาะสม
หากคุณพ่อคุณแม่คาดหวังในตัวลูกมาก จะส่งผลกับลูกอย่างไร
ความคาดหวังของคุณพ่อคุณแม่บางครั้งอาจทำให้เผลอเปรียบเทียบลูกตัวเองกับลูกคนอื่น ซึ่งจะส่งผลกับลูกโดยตรง เพราะความคาดหวังและการเปรียบเทียบเป็นการบั่นทอนจิตใจของเด็ก ลดคุณค่าในตัวเขา เขาจะรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เด็กแต่ละคนย่อมมีความถนัดที่แตกต่างกัน หากไม่เก่งวิชาการ เขาอาจจะมีความสามารถในเรื่องอื่น เช่น ดนตรี กีฬา ความคิดสร้างสรรค์ คุณพ่อคุณแม่จึงควรมองลูกอย่างรอบด้าน และกลับไปทบทวนว่าที่เขาไม่ทำสิ่งนั้นเพราะเขาทำไม่ได้จริงๆ หรือไม่อยากทำ ความสัมพันธ์ของครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ต้องทบทวนว่าให้เวลาลูกมากพอหรือยัง สิ่งที่อยากให้เขาทำยากเกินวัยของเขาหรือเปล่า ต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพ่อแม่ลูกก่อน แล้วค่อยๆ เรียนรู้ตัวตนของลูกว่าเขาเป็นคนแบบไหน เพื่อส่งเสริมได้อย่างถูกทาง
เลี้ยงลูกอย่างไรให้เขาเชื่อฟัง
เป็นธรรมดาเมื่อเด็กเติบโตขึ้นเขาจะเริ่มเรียนรู้และอยากทดลองอะไรใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ จนคุณพ่อคุณแม่รู้สึกว่าลูกดื้อ ลูกไม่เชื่อฟัง เพราะฉะนั้นแทนที่จะใช้วิธีลงโทษ คุณพ่อคุณแม่ควรเลือกวิธีใจดีแต่ไม่ใจอ่อน คือ การพูดคุยโดยไม่ใช้อารมณ์ แต่ต้องสร้างข้อตกลงร่วมกัน เช่น อ่านนิทานสองเล่ม คืออ่านสองเล่มเท่านั้นจริงๆ หากยอมให้มีเล่มที่สามที่สี่เกินกว่าที่ตกลงกันไว้ เด็กจะเรียนรู้ว่าต่อลองได้ และจะต่อลองเรื่องอื่นๆ ไปเรื่อยๆ
หากไม่มีเวลาเลี้ยงลูก เขาจะเชื่อฟังหรือไม่
ถ้าคุณพ่อคุณแม่มีความจำเป็นต้องฝากลูกให้คนอื่นเลี้ยง เช่น คุณตาคุณยาย หรือสถานรับเลี้ยงเด็ก อาจจะทำให้กังวลได้ว่าลูกไม่เชื่อฟังคุณพ่อคุณแม่เพราะไม่ได้เป็นคนเลี้ยงหลัก ดังนั้น เมื่อถึงเวลาที่จะได้อยู่กับลูกต้องใช้เวลากับเขาให้มากที่สุด ให้เขารู้ว่าถึงพ่อแม่ไม่มีเวลาแต่ก็ให้ความสำคัญกับเขา โดยเฉพาะช่วงสามปีแรก เพื่อให้เขาไว้วางใจ เชื่อใจ และเชื่อฟังในที่สุด
“การรับฟัง” ทักษะจำเป็นที่ทำให้พ่อแม่เข้าใจลูก
การรับฟัง คือ การฟังอย่างตั้งใจและคิดตาม คุณพ่อคุณแม่ต้องเปิดใจก่อนว่าจะตั้งใจฟังลูก เตรียมสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการฟัง ไม่ใช่ฟังไปด้วยทำอาหารไปด้วย หรือเล่นโทรศัพท์มือถือไปด้วยขณะที่ฟังลูก เพราะเด็กจะรับรู้ว่าเราไม่ได้ตั้งใจฟังเขา ทำให้เขาไม่อยากพูดกับเรา แต่ถ้าหากติดขัดจริงๆ ต้องบอกลูกว่าขอทำงานให้เสร็จก่อนแล้วจะมาคุยกัน เมื่องานเสร็จแล้วต้องมาหาลูกทันทีและฟังเขาจริงๆ เวลาคุยกับลูก น้ำเสียงจะต้องอ่อนโยน นั่งในตำแหน่งที่เท่ากัน เพื่อไม่ให้เขารู้ว่าถูกข่มหรือพ่อแม่ใหญ่กว่าเขา แล้วมองตาเวลาที่ลูกกำลังพูด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือรับฟังโดยไม่ตัดสินหรือเข้าไปแก้ปัญหาแทนลูก เพราะเด็กอาจจะแค่ต้องการให้ใครมารับฟังเท่านั้น ส่วนวิธีแก้ไขปัญหาเขาอาจมีอยู่ในใจแล้ว คุณพ่อคุณแม่มีหน้าที่รับฟังและไม่ตระหนกทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เพื่อให้ลูกรู้สึกปลอดภัยและกล้าที่จะเล่าเรื่องราวให้ฟัง
Deep Listening คืออะไร จำเป็นแค่ไหนในการเลี้ยงลูก
Deep Listening คือ การฟังอย่างลึกซึ้ง เพื่อให้เข้าใจถึงความรู้สึกของลูก เป็นการรับฟังเพื่อให้ผู้พูดได้เยียวยาโดยการถ่ายเทของเสียออกมา จึงไม่ใช่การฟังแค่เสียง แต่ต้องสังเกตสีหน้า ความรู้สึก และสิ่งที่เก็บอยู่ในใจ
การฟัง ถือเป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยให้ครอบครัวเข้าใจกันมากขึ้น คุณพ่อคุณแม่ต้องมีความอดทนฟังจนจบ พอลูกเล่าจบลองถามเขาเพิ่มเติมว่า “มีอะไรจะเล่าอีกไหม เล่าให้ฟังได้นะ” “มีอะไรที่พอจะให้พ่อกับแม่ช่วยได้ไหม” เพราะเขาอาจจะมีบางเรื่องที่ยังไม่กล้าเล่าออกมา หรืออาจต้องการความช่วยเหลือ แต่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรไปจัดแจงให้ความช่วยเหลือก่อนที่จะถามความต้องการของลูก
การฟังอย่างลึกซึ้ง ช่วยทำให้ลูกได้ถ่ายเทสิ่งที่อยู่ในใจ เปรียบได้กับเทน้ำสีดำที่อยู่ในแก้วออกไปแล้วเติมน้ำใสเข้าไปแทน แต่หากคุณพ่อคุณแม่เข้าไปจัดแจงลูกตั้งแต่แรก ก็จะเหมือนกับการเทน้ำใสลงไปในแก้วที่ยังมีน้ำสีดำอยู่ แม้จะเจือจางแต่ก็ยังมีน้ำสีดำอยู่ในนั้น เพราะลูกไม่ได้ระบายทุกอย่างออกจนหมดก่อนที่ถูกเติมน้ำใสใส่ลงไป
สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งในการรับฟังลูก คือคุณพ่อคุณแม่ต้องเอาตัวเองใส่เขาไปในตัวลูก หมายถึงพยายามเข้าใจว่าถ้าตัวเองเป็นลูก ที่อายุเท่านี้ เจอสถานการณ์แบบนี้ จะรู้สึกอย่างไร เพื่อให้เข้าใจเขามากขึ้นว่าทำไมเขาถึงไม่ได้จัดการปัญหาในแบบที่เราคิด และจะต้องหาทางแก้ปัญหาอย่างไรจึงจะเหมาะสมที่สุด
รับฟังอย่างไรให้เข้าใจลูก สรุปง่ายๆ ได้ 4 ข้อ
การรับฟังลูกอย่างลึกซึ้งและเข้าใจสรุปให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจง่ายๆ ได้ 4 ข้อ คือ
1. ฟังให้จบ
2. ฟังอย่างเข้าใจเหมือนเข้าไปอยู่ในตัวลูก
3. รับรู้ว่าลูกรู้สึกอย่างไร
4. อยู่กับปัจจุบัน ไม่นำประสบการณ์ในอดีตมาตัดสิน
การรับฟังอย่างลึกซึ้งและเข้าใจจะทำให้รับรู้ว่าตอนนี้ลูกรู้สึกอย่างไร มีทางออกอะไรบ้าง เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดกับลูกโดยไม่ชี้นำหรือตัดสิน เมื่อลูกตัดสินใจเลือกทางออกใดแล้ว ให้ลูกได้รับผิดชอบผลของการตัดสินใจ และไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร เราต้องให้ลูกรับรู้ได้ว่าพ่อกับแม่จะอยู่เคียงข้างเขาเสมอ ถึงจะตัดสินใจผิดพลาดก็ไม่เป็นไร เพราะเป็นไปไม่ได้ที่คนเราจะไม่ผิดพลาด เด็กต้องรู้จักผิดพลาดเพื่อนำไปเป็นบทเรียนว่าต้องตัดสินใจแบบไหน เด็กที่ถูกชี้นำมาตลอดเมื่อไม่มีพ่อแม่อยู่ตรงนั้น เขาอาจจะไม่สามารถตัดสินใจได้อย่างเหมาะสม วิตกเมื่อต้องตัดสินใจอะไรสักอย่าง กลายเป็นเด็กที่ขาดความมั่นใจในที่สุด
การเข้าใจตัวตน บุคลิกภาพ และการรับฟังอย่างเข้าใจ เป็นสิ่งสำคัญในการเลี้ยงดูลูก เมื่อคุณพ่อคุณแม่เรียนรู้และเข้าใจบุคลิกภาพที่แตกต่างของลูกแล้ว จะทำให้สามารถสนับสนุน พัฒนาศักยภาพ เยียวยาจิตใจ และสามารถสร้างสภาพแวดล้อมให้กับลูกได้อย่างเหมาะสม
คลิปกิจกรรม TK Family Talks : เรียนรู้และเข้าใจบุคลิกภาพที่แตกต่าง (Introvert ปะทะ Extrovert)