ใครที่เป็นคอหนังไทยในช่วงระหว่างปี 2535 - 2540 คงจะทราบกันดีว่าเป็นช่วงที่มีหนังวัยรุ่นออกฉายมากที่สุดช่วงหนึ่ง ในแต่ละปีมีหนังไทยหลายเรื่องเข้าโรงให้เหล่าวัยรุ่นไทยได้เลือกชมกันมากมาย แต่จะมีสักกี่เรื่องที่ครองใจวัยรุ่นและยังจดจำได้จนถึงทุกวันนี้
หากจะให้นึกชื่อหนังในยุคนั้นขึ้นมาสักเรื่อง จักรยานสีแดง ต้องเป็นชื่อหนึ่งที่ได้รับการกล่าวถึงแน่นอน ซึ่งอุทยานการเรียนรู้ TK park และ หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) ก็ได้ร่วมกันนำหนังเรื่องนี้กลับมาฉายให้ได้หายคิดถึงกันอีกครั้ง ณ ห้องมินิเธียเตอร์ 1 เมื่อวันที่ 17 มีนาคม ที่ผ่านมา
จักรยานสีแดง เป็นหนังไทยที่ออกฉายในปี 2540 ผลงานกำกับร่วมของ ยุทธนา มุกดาสนิท และ นิพนธ์ ผิวเณร บทภาพยนตร์ดัดแปลงมาจากนวนิยายเรื่อง จักรยานแดงในรั้วเขียว ของ ดำรงค์ อารีกุล บอกเล่าเรื่องราวของนักศึกษามหา’ลัยปีหนึ่งของ วาที (ปฏิภาณ ปฐวีกานต์) ที่เปิดเทอมมาพร้อมกับเรื่องราวป่วนๆ เมื่อเขาได้พบกับ เปรี้ยว (แชมเปญ เอ็กซ์) นักศึกษาสาวสวยเจ้าของจักรยานสีแดงที่หนุ่มๆ ทั้งมหา’ลัยหมายปอง เขาจึงพยายามทุกหนทางเพื่อนจะจีบเธอให้ติด โดยมองข้าม ขม (อมิตา ทาทา ยัง) สาวน้อยเจ้าของจักรยานสีแดงอีกคัน ที่แอบชอบเขาตั้งแต่เปิดเทอมวันแรก ซึ่งทุกครั้งที่วาทีมีปัญหาเรื่องการเรียนก็ได้เธอคนนี้คอยช่วยเหลือเสมอ แต่เขากลับไม่เห็นเธออยู่ในสายตาเลย
และหลังจากที่หนังฉายจบลงก็มีการเสวนาดีๆ จากวิทยากรจากหอภาพยนตร์เช่นเคย โดย คุณชาญชนะ หอมทรัพย์ คอลัมนิสต์จากนิตยสารไบโอสโคป ที่มาแตกประเด็นน่าสนใจเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ให้ผู้ชมได้ฟังกัน
ด้วยความที่เป็นหนังรักวัยรุ่นที่เล่าเรื่องราวในรั้วมหาวิทยาลัยและมีบทที่สนุกสนานน่าสนใจ ประกอบกับได้นักแสดงวัยรุ่นชื่อดังในขณะนั้น จึงทำให้หนังเรื่องนี้ได้รับความนิยมอย่างสูง จนติดอันดับภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดวันแรก ทำรายได้ไปถึง 49 ล้านบาท รวมไปถึงได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลตุ๊กตาทอง ครั้งที่ 29 สาขานักแสดงนำชายและหญิงยอดเยี่ยม ได้รับรางวัลสุพรรณหงส์ ครั้งที่ 7 สาขาเพลงนำยอดเยี่ยม จากเพลง จักรยานสีแดง โดยวงโลโซ และที่สำคัญเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกที่ HBO ซื้อลิขสิทธิ์เพื่อนำไปฉายทั่วเอเชีย ทางช่อง Cinemax
คุณชาญชนะกล่าวว่า การที่หนังเรื่องนี้ได้ ทาทายัง และ มอส ปฏิภาณ มานำแสดง เป็นกระแสอย่างหนึ่งที่ค่ายหนังในยุคนั้นทั้ง แกรมมี่ ฟิล์ม และ อาร์เอส ฟิล์ม มักนำนักร้องมาแสดง เพราะขายได้ทั้งหนังและเพลงด้วย ซึ่งเพลงในเรื่องนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นเพลงที่คุ้นหู อย่างเพลงของวง UHT และเพลง จักรยานสีแดง ของวงโลโซ ที่โด่งดังมาก
เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับหนังในยุคเดียวกันอย่าง โลกทั้งใบให้นายคนเดียว ก็สามารถทำรายได้และสร้างความนิยมได้เช่นเดียวกัน แต่แนวของหนังจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คุณชาญชนะจึงให้ความเห็นว่าในแง่ของการแสดง จักรยานสีแดง จะมีการแสดงแบบโอเวอร์แอ็กติ้ง หรือมีการแสดงที่เกินจริง รวมทั้งมีความเป็นแฟนตาซีอยู่นิดๆ ส่วน โลกทั้งใบให้นายคนเดียว จะไปในทางดราม่าเข้มข้นและสมจริงกว่า
หนังทั้งสองเรื่องนี้สามารถฉีกออกมาจากหนังวัยรุ่นเรื่องอื่นๆ ในตลาดออกมาได้ ซึ่งหนังวัยรุ่นในยุคนั้นคนดูจะแยกกันไม่ออก ว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องไหน เพราะมีจำนวนเยอะมาก
หากใครที่เป็นแฟนตัวจริงของหนังเรื่องนี้ จะต้องจำภาพการร้องเพลงที่ปรากฏในหนังได้อย่างแน่นอน คุณชาญชนะเล่าว่า เคยสัมภาษณ์คุณยุทธนา ผู้กำกับ ซึ่งตั้งใจให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังมิวสิกคัลที่เล่าเรื่องด้วยการร้องเพลง แต่ไม่แน่ใจว่าด้วยขีดจำกัดบางอย่างทำให้กลายเป็นหนังเล่าเรื่องปกติ การร้องเพลงในเรื่องจึงมีลักษณะเป็นมิวสิกวิดีโอแทน แต่ก็สามารถทำให้ผู้ชมชื่นชอบและเป็นหนึ่งในภาพจำที่ผู้ชมจดจำได้แม่นเลยทีเดียว
นอกจากนั้นในหนังเรื่องนี้ยังมีการหยิบประเด็นทางสังคม เกี่ยวกับเรื่องระบบการรับน้องในมหาวิทยาลัยมาเสียดสีอย่างตรงไปตรงมา คุณชาญชนะเล่าว่า ระบบ Sotus หรือการรับน้องอาจจะเป็นประเด็นในช่วงเวลานั้น จึงมีการนำมาใส่ในหนัง แต่จริงๆ ประเด็นนี้ก็มีทุกปีจนถึงปัจจุบันอยู่แล้ว ผู้กำกับจึงมีการนำมาเสียดสีเปลี่ยนความรุนแรงให้เป็นเรื่องไร้สาระ เรื่องตลกไป และนำเสนอว่าผลของการใช้ระบบนี้ไม่ได้สร้างผลดีอะไรให้กับสังคมของนักศึกษาเลย
คุณชาญชนะปิดท้ายถึงวงการหนังไทยภาพรวมในยุคนั้น ซึ่งในปี 2540 มีหนังไทยเข้าฉายเพียงแค่ 18 เรื่องเท่านั้น ถือว่าเข้าสู่ยุคตกต่ำ ตรงข้ามกับในยุคประมาณปี 2531 มีหนังไทยเข้าฉายถึงหลักร้อยเรื่อง เพราะมีผู้สร้างเล็กๆ มากมาย และตลาดก็มีกลุ่มต่างจังหวัดเยอะ ซึ่งในยุคนั้นเริ่มมีโรงหนังแบบมินิเธียเตอร์ คือเป็นโรงหนังที่อยู่ในห้างสรรพสินค้า คนดูก็เริ่มเปลี่ยนเป็นกลุ่มวัยรุ่นที่เดินเที่ยวห้าง ผู้สร้างจึงสร้างแต่หนังวัยรุ่นออกมาเยอะ ตลาดจึงเริ่มเปลี่ยน เริ่มมีผู้สร้างรายใหญ่เข้ามา รายเล็กจึงค่อยๆ หายไป
แต่ จักรยานสีแดง ก็สามารถสวนกระแสสร้างความนิยมขึ้นมาได้จนประสบความสำเร็จในที่สุด ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่หนังเรื่อง 2499 อันธพาลครองเมือง ประสบความสำเร็จเช่นกัน และสามารถเรียกศรัทธาจากแฟนๆ ให้กลับมาสนใจหนังไทยได้อีกครั้ง
โกเฮง