เพราะการเรียนรู้ใช่เกิดขึ้นได้แเค่เพียงภายในห้องเรียนเท่านั้น แต่สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกที่ทุกเวลา นี่คือบทสรุปของ TK KIDS CAMP ตอน ตามรอยนักสำรวจน้อย ที่อุทยานการเรียนรู้ TK park ได้ร่วมกับ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(สสวท.) และพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาเกาะและทะเลไทยจัดขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้น้องๆวัย 12-15 ปีจำนวน 40 คนได้ออกไปใช้ชีวิตร่วมกันเพื่อสำรวจเรียนรู้ธรรมชาติกันแบบโดยตรงจากผู้เชี่ยวชาญเป็นเวลา 4 คืน 3 วัน ณ พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาเกาะและทะเลไทย จังหวัด ชลบุรี
ส่วนบรรยากาศและความสนุกจะเป็นอย่างไรเราลองไปคุยกับชาวค่ายบางส่วนกันดู
คนแรก เริ่มต้นที่สาวน้อยเมืองระยอง “น้องฟ้าใส จิตธิณี อิ่มใจ” นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี่ที่ 2 จากจังหวัดระยอง ฟ้าใสเปิดใจด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มว่าตนเองตื่นเต้นและสนุกมากกับการมาเข้าค่ายครั้งนี้ เนื่องจากเป็นครั้งแรกของการออกมาเผชิญโลกภายนอกโดยปราศจากผู้ปกครอง และยังได้ทำฝึกการปรับตัวและเข้าสังคมรู้จักกับเพื่อนต่างถิ่น รวมทั้งยังได้เรียนรู้ธรรมชาติที่ตัวเองสนใจอย่างลึกซึ้งในแบบที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนด้วย
“ปกติคุณพ่อจะพาเราไปใกล้ชิดกับธรรมชาติอยู่บ่อยครั้ง เช่น พาไปดูนก ไปปลูกป่า ไปเดินป่าชายเลน แต่พอได้มาเข้าค่ายแล้ว เราได้สัมผัสกับธรรมชาติมากกว่านั้นได้เห็นได้สัมผัสและมีคนอธิบายให้เราได้เข้าใจในระบบนิเวศน์ของธรรมชาติและได้ตระหนักถึงความเป็นอยู่ของสัตว์สิ่งมีชีวิตในธรรมชาติ ทำให้จากเดิมที่เราได้แต่สนใจธรรมชาติ ก็เปลี่ยนมาเป็นการศึกษาส่วนต่างๆ ของมัน ทำให้เราสนุกไปด้วย และก็เป็นเรื่องที่เราได้พูดคุยกับเพื่อน เป็นกิจกรรมที่เราได้ทำกับเพื่อน”
ส่วนอีกหนึ่งสมาชิกแคมป์เป็นสาวน้อยจากกรุงเทพฯ อย่าง “น้องกิ๊วกิ๊ว อญิชญา บุญสิริโรจน์” นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ กิ๊วกิ๊วบอกว่าประทับใจไม่แพ้กันกับค่ายที่สามารถเปลี่ยนความคิดเรื่องธรรมชาติของเธอได้ ทำให้เธอได้คิดถึงธรรมชาติที่แม้ไม่ได้เจอทุกวัน แต่ก็ระลึกได้เสมอว่ามนุษย์ควรมีจิตใจที่จะหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติ
“บ้านหนูอยู่กรุงเทพก็ไม่ได้คลุกคลีกับทะเล หรือ ธรรมชาติ เลยจะลืมคิดเรื่องการดูแลหรือควรจะทำยังไงกับธรรมชาติเลย แต่พอไปเข้าค่ายมันก็ทำให้เราหยุดคิดว่า จริงๆธรรมชาติไม่ได้สวยขึ้นทุกวันนะแต่อาจเสื่อมโทรมขึ้นทุกวันหากมีคนทำลาย อย่างหนูเองจะไปเที่ยวก็ต่อเมื่อปิดเทอม แต่ก็เหมือนเราไปตักตวงความสุข ความสนุกจากธรรมชาติมากกว่า แต่พอได้มาเข้าค่าย ได้ความรู้ได้เห็นว่าระบบนิเวศน์ของธรรมชาติเป็นเช่นไร คราวนี้ก็รู้แล้วว่าถ้าเราไปรบกวนมันจะทำให้เกิดผลกระทบ และรู้สึกว่าเรามีจิตสำนึกตรงนี้มากขึ้น หากมีโอกาสเราก็จะไม่คิดไปทำลาย หรือทิ้งขยะเวลาไปเที่ยว เราจะคำนึงถึงสิ่งรอบๆ ตัวเรามากขึ้นค่ะ"
ส่วนด้าน “จิต จิตริน โรจน์มหามงคล” นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสาธิตจุฬาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย น้องจิตบอกสนุกมากที่ได้อยู่กับเพื่อนๆทั้งวัยเดียวกันและต่างวัย ขณะที่ปกติตนเองก็ไม่เคยห่างบ้านไปไหนแต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้ออกไปเรียนรู้ชีวิต ได้สัมผัสปะการังในโรงเพาะเลี้ยงปะการัง ได้ทดลองปลูกปะการัง ได้สำรวจป่าชายเลน กิจกรรมเหล่านี้แม้ว่าจะเหน็ดเหนื่อยแต่เขาก็สนุกกับการได้เรียนรู้จนอยากค้นคว้าต่อ
“ผมชอบเรื่องราวของทะเล ของมนุษย์กบ มันเป็นสิ่งที่เราได้เรียนรู้จากเรื่องจริงไม่ใช่ในหนังหรือการ์ตูน ทำให้เราเรียนรู้แบบสนุกไม่เหมือนเวลาเรียนในห้องเพราะจะตื่นเต้นกว่า และพอได้เรียนรู้ต่อทำให้เราเกิดคำถามมากขึ้นขณะเดียวกันก็จะมีพี่ๆคอยตอบได้ทุกคำถาม ไม่ว่าจะเป็นคำถามที่ถามว่าสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลอยู่กันยังไง มีอะไร กินอะไรเป็นอาหารผมได้เรียนรู้หมด และก็คิดว่าจะไปหาหนังสือเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อ่านต่อ เพราะยังมีเรื่องที่อยากรู้อีกหลายๆเรื่อง ส่วนเรื่องที่ประทับใจมากๆก็เป็น กิจกรรมทดลองปลูกปะการังที่ได้เปิดโอกาสให้ผมซ่อมแซมเพื่อรีบนำไปวางในน้ำ กิจกรรมนี้ทำให้ผมได้ความรู้สึกถึงคิดถึงคุณค่าของปะการัง ว่าที่เราเห็นมันไม่ใช่แค่ความสวยงามที่นึกจะตัดเอามันขึ้นมาชื่นชมเมื่อไรก็ได้ แต่มันมีประโยชน์ต่อระบบนิเวศน์ เพราะธรรมชาติทุกสิ่งมีประโยชน์เอื้อต่อกันถ้าเราทำลายมันเท่ากับเราไปตัดวงจรบางส่วนของมัน ทางที่ดีเราควรร่วมสร้างมากกว่าการทำลาย หรือไม่ใส่ใจ”....น้องจิตปิดท้าย
อย่างไรก็ตามแม้ทั้งสามนักสำรวจหัวใจอนุรักษ์จะกล่าวอย่างเป็นเสียงเดียวกันถึงความสนุกและประทับใจ ด้าน คุณพัชรี บุญสิริโรจน์ หนึ่งในผู้ปกครองที่ส่งลูกเข้าร่วมแคมป์ ยังได้กล่าวเสริมอีกว่านอกจากประสบการณ์ดีๆ ที่ลูกๆ ได้รับในมุมของผู้ปกครองยังได้รับความอิ่มเอมที่ได้สนับสนุนให้ลูกได้เรียนรู้นอกห้องอย่างอิสระและถูกทาง พร้อมยังฝากให้ผู้ปกครองทุกท่าน หากมีโอกาสควรเลือกหากิจกรรมที่เหมาะสมกับลูก และอย่ามองข้ามเวลาว่างของเด็ก “ทุกวันนี้ ทั้งสภาพสังคม และโอกาสเราต้องยอมรับว่าเราไม่สามารถตอบโจทย์ลูกได้อย่างครบครัน เท่าที่ทำได้คือการสนับสนุนให้เขาไปเจอโอกาสดีๆ ฉะนั้น หากมีเวลาอยากให้ลองมองหาพื้นที่ที่สามารถจะสนับสนุนให้ลูกได้เกิดการเรียนรู้ เกิดการคิดเป็น รู้จักแก้ปัญหาเป็น อย่าปล่อยให้ลูกว่างจนติดเกม หรือติดยา อยากให้ลองมองหาสิ่งที่เค้าควรได้รับ แล้วเราก็พิจารณาถึงความปลอดภัย ความสมัครใจ จากนั้นให้เปิดใจปล่อยเขาเผชิญโลกด้วยตัวเอง แล้วเราก็จะได้เห็นเองว่า การเรียนรู้ที่ไม่มีวันสิ้นสุดจะช่วยสร้างให้ลูกของเราเติบโตอย่างมีคุณภาพได้จริงๆ แถมยังเป็นการสร้างสังคมที่ดีอีกทางหนึ่งด้วย” คุณแม่ปิดท้ายได้อย่างน่าประทับใจ