เส้นทางชีวิตของบางคนอาจไม่ได้ถูกกำหนดมาตั้งแต่แรก เพราะระหว่างทางอาจพบกับเรื่องราวที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตได้ทุกเมื่อ เช่นเดียวกับเด็กสาวคนหนึ่ง ที่เคยเป็นเด็กขี้อาย ไม่กล้าแม้กระทั่งร้องเพลงต่อหน้าคนอื่น แต่ด้วยความรักในเสียงเพลงลูกทุ่ง กลับผลักดันให้เธอกลายเป็นแชมป์ร้องเพลงลูกทุ่งระดับประเทศได้อย่างที่เธอเองก็ไม่เคยฝันมาก่อน
อุทยานการเรียนรู้ TK park ได้จัดกิจกรรม TK park music Ed. 2017: มนต์เพลงสำเนียงบ้านนาของ ป๊อปปี้ ปรัชญาลักษณ์ ชวนมาสัมผัสบทเพลงลูกทุ่งสุดไพเราะและเรื่องราวชีวิตบนเส้นทางของเสียงเพลงของ ป๊อปปี้ - ปรัชญาลักษณ์ โชติวุฑฒินันท์ นักร้องสาวเสียงดี วัยเพียง 17 ปี เจ้าของแชมป์จากรายการไมค์ทองคำ ครั้งที่ 4 รายการประกวดร้องเพลงลูกทุ่งที่มีผู้ชมให้ความสนใจมากที่สุด ก่อนจะแจ้งเกิดเป็นศิลปินลูกทุ่งหน้าใหม่ที่ประสบความสำเร็จ
“ตั้งแต่จำความได้ ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ ตอนนั้นประมาณ 5 ขวบ คุณแม่รับจ้างเย็บผ้า จำได้ว่าแม่เปิดเพลงลูกทุ่งอีสานของ ศิริพร อําไพพงษ์ ต่าย อรทัย พุ่มพวง ดวงจันทร์ เลยทำให้ร้องเพลงลูกทุ่งได้ และแม่ก็ร้องเพลงลูกทุ่งได้ ก่อนนอนจะอยากฟังเพลง แม่ก็ร้องเพลงกล่อมให้ฟัง ทำให้เราได้ฟังเพลงลูกทุ่งจนซึมซับเข้าไปทุกวัน” ป๊อปปี้เล่าถึงชีวิตวัยเด็กที่เติบโตมากับเพลงลูกทุ่งของแม่
แต่ใครจะไปเชื่อว่าเด็กที่ชอบฟังเพลงลูกทุ่งมากอย่างเธอ จะเป็นคนที่ขี้อายมาก “มีครั้งหนึ่งเราฟังเพลงของพี่ต่าย อรทัย เพลง กินข้าวหรือยัง เหมือนเราฟังเยอะมาก แล้วอยากร้อง แต่เราเป็นเด็กขี้อาย เลยไปร้องเพลงอยู่หลังประตู คือไม่อยากให้ใครเห็น แม้แต่แม่ก็ไม่อยากร้องให้ฟัง จนสุดท้ายแม่กับน้าก็ได้ยิน น้าก็ทักให้ร้องใหม่ แต่ก็ไม่ยอมร้อง เพราะเขินมาก (หัวเราะ)”
ด้วยความที่อาศัยอยู่กรุงเทพฯ แน่นอนอยู่แล้วว่ากระแสของเพลงสากลและเพลงสตริง มักได้รับความนิยมมากกว่าเพลงลูกทุ่ง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ป๊อปปี้เปลี่ยนใจไปจากเพลงลูกทุ่ง “ตอนอยู่บ้านก็ไม่แปลก แต่พอเข้าไปอยู่ในโรงเรียนก็แปลกๆ บ้าง เพื่อนๆ ก็ฟังเพลงสากลเพลงเกาหลีกัน ตอนฟังวิทยุก็ฟังเพลงสตริงบ้าง แต่ไม่ได้ชอบจนขนาดอยากจะร้อง”
จนกระทั่งป๊อปปี้ได้เรียนวิชาดนตรีสากล ตอนอยู่ม.2 ทำให้ครูที่สอนได้รับรู้ถึงพรสวรรค์ในการร้องเพลงของเธอ “ตอนสอบร้องเพลง กลัวว่าถ้าร้องลูกทุ่งอีสานครูจะไม่เข้าใจ เลยร้องเพลงลูกกรุงเพลง น้ำตาแสงไต้ ครูก็ชอบ บอกว่าเสียงใช้ได้ แล้วบอกว่าเดี๋ยวจะเอาไปร้องออกงานโรงเรียน” นั่นจึงเป็นใบเบิกทางแรกให้เธอได้ร้องเพลงต่อหน้าผู้คนเป็นครั้งแรก “ตอนนั้นงานโรงเรียน ได้ร้องเป็นเพลงไทยเดิม แล้วเราไม่เคยร้องมาก่อน แถมขึ้นเวทีครั้งแรก เสียงก็สั่นด้วย แต่ครูบอกว่าถ้าร้องเพลงไทยเดิมได้ เพลงแนวอื่นบนโลกนี้จะร้องได้หมดเลย”
เมื่อแม่และพ่อของป๊อปปี้เริ่มเห็นทักษะในการร้องเพลงลูกทุ่ง จึงคอยสนับสนุนด้วยการสอนร้องเพลงด้วยตนเองที่บ้าน ก่อนจะตัดสินใจให้เธอลองประกวดรายการแข่งขันร้องเพลงดู “จริงๆ ไม่ได้อยากประกวดเลย แค่เป็นคนที่ชอบดูและชอบร้อง แต่แม่บอกอยากให้ลองประกวดในรายการไมค์ทองคำดู ถ้ากลัวมากเราจะได้เลิกร้องไปเอง” เธอตัดสินใจลงแข่งขัน แต่ด้วยความตื่นเต้นและไม่พร้อมจึงทำให้ไม่สามารถไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ “ตอนนั้นตื่นเต้นมาก แต่ยังไงก็มาแล้ว คงไม่เสียหายอะไร ด้วยความไม่พร้อมของเราทำให้ตกรอบ เพราะต้องช่วยงานโรงเรียน ร้องเพลงไทยเดิมมากจนเสียงล้า แล้วมีเวลาอีก 2 วันจะแข่งรอบ 60 คน ทำให้ตกรอบนั้นไป”
แม้ใครจะบอกว่าป๊อปปี้มีเสียงร้องที่เป็นเหมือนพรสวรรค์ แต่ตัวเธอเองกลับรู้สึกถึงอุปสรรคบางอย่างที่เธอไม่สามารถก้าวข้ามได้ “เคยน้อยใจในเสียงของตัวเอง ตอนที่ไปประกวดรายการเล็กๆ ที่พ่อพาไป เพราะเสียงเราไม่เหมือนคนอื่น ถ้าความเป็นลูกทุ่งภาคกลาง เราว่าไม่มันเพราะเลยด้วยซ้ำ และพอเราขึ้นเวทีก็ลบคำว่าตื่นเต้นไม่ได้ ทำไมถึงคุมตัวเราเองไม่ได้เลย พ่อกับแม่เขาเหนื่อยที่ต้องตามเรา มีบางครั้งที่ท้อจนอยากไม่อยากร้องอีก” แต่แล้วว่าที่นักร้องสาวก็เอาชนะความกลัวของตัวเองได้ เพราะได้แรงสนับสนุนจากพ่อและแรงผลักดันจากตัวเธอเอง “มีอยู่ครั้งหนึ่ง พ่อชวนไปลองคัดเลือกรายการไมค์ทองคำ ครั้งที่ 4 อีก แต่ก็ไม่ไป เพราะมีปมในใจว่าเราไม่สามารถข้ามความตื่นเต้นของเราไปได้เลย แต่พอตอนเย็นนั้นได้ดูไตเติ้ลรายการไมค์ทองคำ มีอะไรบอกให้เราลองไปอีก ถึงไม่ได้อะไรก็ไปออดิชั่นทิ้งไว้ ดีกว่าไมได้ทำอะไรเลย วันรุ่งขึ้นเลยบอกพ่อให้ไป ตอนแรกไม่คิดว่าจะเข้าถึงรอบ 4 คนสุดท้าย แต่พอเข้ามาก็ดีใจ เราคิดว่าเราจะทำมันอีกได้ไหม เราจะสู้เขาได้ไหม มีอยู่ในความคิดตลอด”
จนในที่สุดเด็กสาวก็สามารถเอาชนะความตื่นเต้นของตัวเองได้ ชื่อของ ป๊อปปี้ - ปรัชญาลักษณ์ โชติวุฑฒินันท์ คือนักร้องหญิงคนแรกที่ได้แชมป์รายการไมค์ทองคำ ครั้งที่ 4 โดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่เคยคาดฝันมาก่อน และที่น่าดีใจไปกว่านั้น ผู้ที่เข้ารอบ 4 คนสุดท้าย มีโอกาสได้ร้องเพลงของตัวเอง โดยได้รับเกียรติจากครูเพลงเป็นผู้แต่งให้ ซึ่งป๊อปปี้ก็ได้มีเพลง ต้องฮักให้สุดใจ เป็นเพลงของตัวเอง “ร้องเพลงตัวเองเหมือนเราถือปากกาไว้แท่งหนึ่ง ถ้าเราจะวาดภูเขาก็มีคนวาดไว้แล้ว แต่นี่เราจะวาดรูปที่ไม่เหมือนใครที่มีรูปเดียวบนโลกนี้ ดีใจมากที่ได้ร้องเพลงของตัวเอง ตอนไปห้องอัดก็มีครูช่วยแนะนำ เพราะไม่เคยเข้าห้องอัดมาก่อน ครูก็บอกให้ลองนำเสนอสิ่งที่เป็นตัวเอง ไม่ต้องตามครู เราร้องแล้วมันตื้นตันขึ้นมาจนน้ำตาไหลเลย”
จากเด็กขี้อายสู่การเป็นนักร้องระดับประเทศ เส้นทางชีวิตของนักร้องสาวป๊อปปี้จึงได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนที่มีความฝัน ได้พยายามและฝ่าฟันอุปสรรคจนประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับเธอ
“เพลงลูกทุ่งเป็นสิ่งที่อยู่กับเรามาตลอด แต่ไม่เคยคิดว่าเพลงจะพาเรามาสู่จุดนี้ได้ ไม่เคยคิดว่าจะเป็นนักร้อง ดีใจที่วันหนึ่งเราเคยร้องเพลงอยู่ในบ้าน มีแค่พ่อกับแม่ที่ได้ยิน แต่วันนี้มีเพลงของตัวเอง ทำด้วยความเต็มที่ ไม่เคยคิดว่าต้องดัง แต่เสียงตอบรับออกมาดีก็เกินความคาดหมาย เห็นคนร้องตามได้ก็ดีใจ”
วิชญ์พล พลพิทักษ์ชัย