TK Reading Club ตอน แกะรอย “ลับแล, แก่งคอย” นวนิยายรางวัลซีไรต์
อุทยานการเรียนรู้ TK park จัดกิจกรรมเอาใจคอวรรณกรรมรางวัลซีไรต์อย่างยิ่ง เมื่อ TK Reading Club หยิบเอา “ลับแล, แก่งคอย” นวนิยายรางวัลซีไรต์ที่เคยสร้างปรากฏการณ์คว้าสองรางวัลใหญ่อย่างซีไรต์และเซเว่นบุ้คอะวอร์ดพร้อมกัน โดยครั้งนี้ได้รับเกียรติจากคุณกิตติพล สรัคคานนท์ หรือพี่โย นักเขียนและบรรณาธิการมากความสามารถ มาร่วมพูดคุยกับผู้เขียนคือคุณอุทิศ เหมะมูล หรือพี่ม่อน เจ้าของผลงานระดับคุณภาพมากมายทั้ง “ลับแล, แก่งคอย” รางวัลซีไรต์ และผลงานลำดับถัดมาอย่าง “ลักษณ์อาลัย” “จุติ” ที่ยังคงรักษาคุณภาพในการเข้ารอบสุดท้ายรางวัลซีไรต์ในปีถัดมาอย่างไม่ว่างเว้น
ลับแล, แก่งคอย เป็นวรรณกรรมที่บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของครอบครัวหนึ่งนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองจนถึงกลางทศวรรษ 2530 ซึ่งกินเวลาราวสามช่วงอายุคนนับแต่รุ่นปู่ย่าที่อพยพมาจากเมืองจีน ก่อให้เกิด “ครอบครัววงศ์จูเจือ” ซึ่งมีพ่อเป็นผู้ใช้แรงงาน และแม่เป็นหญิงสาวชาวอีสานที่มีความเชื่องมงาย กระทั่งมี “ลับแล” ตัวละครเอกของเรื่อง
ลับแล วงศ์จูเจือ เป็นเด็กหนุ่มที่มีพฤติกรรมแปลกประหลาดจนกระทั่งถูกเข้าใจผิดว่าลับแลนั้น “ถูกผีเข้า” ทางครอบครัวจึงนำตัวลับแลไปรักษาที่วัดป่าแห่งหนึ่งในจังหวัดชัยภูมิ โดยเจ้าอาวาสมักจะให้ลับแลเล่าเรื่องราวต่าง ๆ เพื่อระบายความในใจหลังทำวัตรเย็น ลับแลจึงเล่าเรื่องประวัติความเป็นมาของครอบครัวตน อันเป็นที่มาของเรื่องราวในนวนิยาย แบ่งออกได้ถึง 5 ภาค กินความตั้งแต่การอพยพข้ามน้ำข้ามทะเลมาของบรรพบุรุษ จนกระทั่งมาถึงภาคสุดท้ายซึ่งเป็นบทสรุปและมีตอนจบที่หักมุมสร้างสะเทือนใจให้แก่ผู้ที่ติดตามเรื่องราวมาตั้งแต่ต้นจนจบ
กว่าจะมาเป็นลับแล, แก่งคอย
การเสวนาเริ่มต้นขึ้นด้วยบรรยากาศสบาย ๆ โดยคุณกิตติพลชวนพูดคุยถึงการทำงานก่อนหน้าที่จะเกิดนวนิยายเรื่องนี้ขึ้น คุณอุทิศเล่าว่าอันที่จริงแล้วความคิดเริ่มแรกคืออยากเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ เนื่องจากชื่นชอบการดูหนังเป็นอย่างมาก ในสมัยก่อนที่ยังไม่มีหนังออนไลน์หรือแม้แต่ซีดี เขาก็ต้องไปเดินตามตลาดนัดเปิดท้ายขายของเพื่อตามหาวิดีโอภาพยนตร์ที่อยากดู และจุดเริ่มต้นของการเขียนคือเขียนบทรีวิวภาพยนตร์ให้กับนิตยสารนั่นเอง
เมื่อเขียนมากขึ้นเรื่อย ๆ คุณอุทิศก็พบว่าสิ่งที่เขาต้องการจะทำก็คือการถ่ายทอดเรื่องราวที่สร้างไว้อยู่ในหัวออกมานั่นเอง ซึ่งกระดาษกับปากกากลับกลายเป็นเครื่องมือที่ดีอีกอย่างหนึ่งนอกเหนือจากกล้องถ่ายหนัง
“จริง ๆ เราอาจจะไม่เหมาะกับการทำหนังก็เป็นได้ เพราะมันวุ่นวาย เต็มไปด้วยเงื่อนไข อย่างสมมติเราอยากได้แสงแบบนี้ แต่พอถึงเวลาที่แสงมา นักแสดงยังแต่งหน้าไม่เสร็จ การทำหนังมันจึงไม่ใช่แค่เรื่องถ่ายภาพเคลื่อนไหวแต่มันคือการจัดการกับคนเยอะ ๆ ด้วย”
ช่วงเวลานับแต่เรียนจบจากคณะจิตรกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร กระทั่งก่อนจะถือกำเนิด “ลับแล, แก่งคอย” นวนิยายที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขา อุทิศมีผลงานถึง 6 เล่ม เป็นรวมเรื่องสั้น 3 เล่มคือ ระบำเมถุน ปริมาตรรำพึง และกระจกเงา เงากระจก ส่วนอีก 3 เล่มคือรวมคอลัมน์ที่เขียนวิจารณ์ภาพยนตร์ในนิตยสาร
กระทั่งวันหนึ่ง คุณอุทิศก็เริ่มลงมือเขียน “ลับแล, แก่งคอย” นวนิยายที่กลั่นขึ้นจากชีวิตและความทรงจำในวัยเด็ก
“ตอนที่เราเขียน ทุกอย่างมันแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำของเรา” คุณอุทิศเล่าถึงตอนที่เขียนลับแล, แก่งคอย เมื่อคุณกิตติพลถามว่าเมื่อจะลงมือเขียนถึงบ้านเกิด ได้กลับไปสำรวจพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลก่อนเขียนอีกรอบหรือเปล่า
“ถ้ากลับไปดูก่อนอีกรอบ อาจจะเขียนไม่เหมือนเดิม เพราะหลาย ๆ อย่างก็เปลี่ยนไป บางอย่างก็ไม่มีอยู่แล้ว เช่นต้นแหน (ต้นสมอพิเภก) ที่เป็นฉากหนึ่งในเรื่อง” เขาหัวเราะ “ทั้งที่เป็นเรื่องจริงที่เคยมีอยู่ แต่เรื่องจริงในหัวเราก็กลายเป็นเรื่องเล่าไป”
คุณอุทิศเล่าว่า ลับแล, แก่งคอย ใช้เวลาสร้างสรรค์ราว ๆ 2 ปี แต่หากจะนับกันจริง ๆ ครั้งแรกที่เขียนนวนิยายร่างแรกจบคือ 1 ปี จากนั้นเขาก็ทิ้งงานชิ้นนี้ไปทำอย่างอื่นราว 2 เดือนเพื่อลืมเรื่องราวและกระบวนการเขียนในนวนิยายเล่มนี้ให้หมด เมื่อผ่านช่วง 2 เดือนก็หยิบขึ้นมาแก้ไขอีกรอบ เขาทำอย่างนี้อีก 4-5 ครั้ง กินเวลาทั้งหมดราวสองปี
“พออ่านอีกรอบ เราเห็นรูโหว่เต็มไปหมด”
เขาเล่าว่าการทำงานเขียนที่ผ่านมาเขาไม่เคยแก้ไขเรื่องที่เคยเขียนมากเท่านวนิยายเล่มนี้ ทั้งเรื่องสำนวนภาษาและความถูกต้องของข้อมูลต่าง ๆ และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องเขียนไทม์ไลน์ของเรื่องทั้งหมด แม้ว่าตัวละครอายุไม่มากนัก แต่การเล่าเรื่องย้อนไปถึงสามชั่วอายุคน ซ้ำยังเล่าสลับข้ามเรื่องราวไปมา จึงทำให้แม้แต่คนเขียนเองก็สับสนไทม์ไลน์ของตัวละครได้ง่าย ๆ นอกจากนี้ ส่วนที่เกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เขาก็ต้องไปหาข้อมูลเพิ่มเติม เช่น ปีที่โรงปูนซีเมนต์เปิดทำการ แล้วจึงเอาเกร็ดประวัติศาสตร์ต่าง ๆ มาทำเป็นเรื่องเล่าอีกทอดหนึ่ง
จบหักมุมหรือความจับใจ อะไรทำให้ประสบความสำเร็จ
ต่อมาคุณกิตติพลชวนคุยถึงสถานะของนวนิยายเรื่องนี้ที่ประสบความสำเร็จอย่างดี จนได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนังสืออ่านนอกเวลาของนักเรียนมัธยมศึกษาและระดับมหาวิทยาลัย แต่กิตติพลก็ยังมองว่าหลาย ๆ ส่วนในนวนิยายเล่มนี้เป็นแนวคิดที่เข้าถึงได้ยาก จะมีส่วนไหนบ้างที่จะจับใจหรือเข้าถึงคนทั่วไปบ้าง คุณอุทิศแสดงความเห็นว่าน่าจะเป็นเรื่องของการเรียนรู้และเติบโตของเด็กชนชั้นกลางจากต่างจังหวัด ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีไม่น้อยในสังคม
“บางช่วงบางตอนมันมีความเป็นละคร มีเรื่องราวของครอบครัว มีความดราม่าครบรส เห็นภาพชีวิตของครอบครัวชานเมือง สภาพแวดล้อม และความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในพื้นที่บ้านเกิด”
อีกเรื่องหนึ่งที่พูดถึงกันอย่างออกรสในวงเสวนาคือ การหักมุมจบ ซึ่งผู้เข้าร่วมเสวนาก็มีทั้งคนที่ชอบและเห็นว่าอาจไม่จำเป็นต้องหักมุม ส่วนคุณกิตติพลแสดงทัศนะว่าการหักมุมเป็นแค่ส่วนหนึ่งของเนื้อเรื่องเท่านั้น เนื้อเรื่องที่ตั้งใจเขียนต่างหากที่เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ต่อให้รู้จุดหักมุม แต่งานก็ยังคงมีคุณค่าอยู่
“เมื่อไรที่เขียนหักมุมมาก ๆ จะต้องลองกลับมาอ่านอีกทีว่าสามารถอ่านแบบเรียบง่าย อ่านแล้วยังได้แนวคิดหรือข้อคิดสำคัญ โดยไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงการหักมุมได้ด้วย ถ้างานนั้นตัดจุดหักมุมออกไปแล้วไม่มีคุณค่าอื่น ๆ มันก็จะเป็นงานที่อ่านได้ครั้งเดียวเท่านั้น” คุณอุทิศแสดงทัศนะต่อการหักมุมในนวนิยายเล่มนี้และงานหักมุมชิ้นอื่น ๆ
“ลับแล, แก่งคอย” “ลักษณ์อาลัย” “จุติ” นวนิยายไตรภาคแห่งแก่งคอย
“เคยเขียน ๆ ไปแล้วเรื่องเปลี่ยนกลางทางไหม”
นักอ่านคนหนึ่งที่ติดตามผลงานของคุณอุทิศมานานตั้งคำถามดังกล่าวเนื่องจากเห็นว่าตัวละครของคุณอุทิศมักจะเป็นตัวละครที่เติบโตและได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง จึงมีแนวคิดว่าการเติบโตของตัวละครอาจจะส่งผลให้เนื้อเรื่องอาจต้องขยับขยายตามการเติบโตนั้น ซึ่งคุณอุทิศได้ตอบคำถามว่าปกติจะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก เนื่องจากก่อนเขียนจะมีโครงร่างอะไรบางอย่างที่ชัดเจนวางไว้ในหัวแล้ว และรู้ว่าจะเล่าอะไร แบ่งเป็นกี่ตอนชัดเจน
“ตอนที่เขียนเรื่องนี้ผมมีคำขึ้นต้นและตอนจบที่ชัดเจนมากในหัว ที่เหลือคือจะพาตอนขึ้นต้นไปถึงตอนจบอย่างไรให้สะเทือนใจที่สุด”
“ทราบมาว่านวนิยายที่เขียนต่อจากลับแล, แก่งคอย ทั้งสองเล่มอย่างลักษณ์อาลัย และจุติ เป็นนวนิยายไตรภาค ได้วางแผนให้เป็นไตรภาคก่อนเขียนหรือเปล่า” หนึ่งคำถามจากวงเสวนาที่ถามถึงงานอีกสองเล่มที่เขียนหลังจากลับแล,แก่งคอยประสบความสำเร็จ
คุณอุทิศเล่าว่าอันที่จริงนวนิยายทั้งสามภาคมีเนื้อหาแตกต่างกัน เล่มแรกคือ “ลักษณ์อาลัย” เป็นการเขียนเรื่องพ่อและหนังสืองานศพ ส่วน “จุติ” เป็นการทดลองสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ สิ่งที่ทั้งสามเรื่องเกี่ยวข้องกันคือ มีพื้นที่ทับซ้อนกันอยู่ในพื้นที่แก่งคอยเท่านั้น ตนเองจึงมักจะเรียกงานชิ้นนี้ว่า “ไตรภาคเมืองแก่งคอย” แต่อันที่จริงหากนับ “ระบำเมถุน” ผลงานที่เขียนขึ้นก่อนลับแล, แก่งคอยเข้าไปด้วย ก็คงต้องนับเป็นจตุรภาคเมืองแก่งคอย เพราะใช้พื้นที่ของเมืองแก่งคอยเหมือนกัน
สุดท้ายหากถามว่างานชิ้นไหนที่ใช้ฉาก บรรยากาศ และเรื่องเล่าของพื้นที่เมืองแก่งคอยได้เต็มอิ่มที่สุด คุณอุทิศตอบอย่างไม่ลังเลว่าก็ต้องเป็น “ลับแล, แก่งคอย” เล่มนี้ที่พูดได้อย่างเต็มปากหลังจากเขียนจบว่า
“ภาระของเราบนพื้นที่แก่งคอยได้สิ้นสุดลงแล้ว”
คำถามจากทางบ้าน
นอกจากคำถามในวงเสวนาแล้ว กิจกรรม TK Reading Club ก็ได้ถ่ายทอดสดผ่านช่องแฟนเพจ จึงมีคำถามจากทางบ้านมาเป็นระยะ ๆ ซึ่งคุณอุทิศก็ตอบทุกข้อสงสัย เช่น
คำถาม : คุณอุทิศถนัดเขียนนิยายมากกว่าเรื่องสั้นหรือเปล่าคะ
“เราเป็นคนที่มีความคิดเยอะ ความรู้สึกเยอะ และพอดีว่านวนิยายเป็นพื้นที่กว้าง ๆ ให้เขียนได้เต็มไม้เต็มมือ จึงมีความสุขกับการเขียนนวนิยายมากกว่า แต่นักเขียนบางคนอาจจะถนัดเครื่องมือที่แตกต่างกันไป” แต่คุณอุทิศก็พูดเสริมพลางหัวเราะ “แต่ถ้าจะให้เขียนเรื่องสั้นก็เขียนได้นะ เขียนดีด้วย”
คำถาม : คิดว่ามีบางส่วนในผลงานเล่มนี้เป็นแนวคิดแบบ Surrealism ไหมคะ?
“ส่วนที่เห็นได้ชัดน่าจะเป็นฉากความฝันของแม่ที่แม่ได้พบอะไรต่าง ๆ ในป่าหิมพานต์และเอามาตีเป็นตัวเลข ในส่วนนี้ผมต้องไปซื้อหนังสือเกี่ยวกับโหราศาสตร์มาดูเลยนะว่าฝันถึงอะไรตีความเป็นอะไรได้บ้าง เช่น ฝันเห็นแหวนตีเป็นเลขอะไรได้ ตรงนี้เรียกว่าเราไม่ได้มั่ว มีการค้นคว้าจริง” คุณอุทิศพูดพร้อมกับหัวเราะ
คำถาม : มีนวนิยายแนวไหนที่อยากเขียนอีกไหมคะ?
“คิดว่าอยากเขียนงานแนว Post-Apocalypses เป็นงานไซไฟเรียบง่าย ตัวละครน้อย ๆ บทสนทนาและบทบรรยายสะอาด ๆ แต่มีคลื่นคลั่งอยู่ข้างใน” คุณกิตติพลจึงเสริมว่าฟังดูน่าจะเป็นงานเชิงบทกวี เขียนคำน้อยแต่กินความมาก ซึ่งคุณอุทิศก็ได้ให้ความเห็นต่อไปว่า ยิ่งอายุมากขึ้น สิ่งที่เรารู้สึกและเขียนออกมาจะยิ่งค่อย ๆ ควบแน่นมากขึ้น
การเสวนาจบลงด้วยความอิ่มเต็มในอารมณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแฟนหนังสือของคุณอุทิศ เหมะมูลที่ได้รู้เบื้องลึกเบื้องหลังและแนวคิดต่าง ๆ กว่าจะเป็น “ลับแล, แก่งคอย” ผลงานชิ้นเอก ตลอดจนกลเม็ดเคล็ดลับในการสร้างผลงานและแนวทางของผลงานเล่มอื่น ๆ อันจะเป็นแรงบันดาลใจให้ทั้งนักอยากเขียนและนักอ่านได้ติดตามผลงานคุณภาพเช่นนี้ต่อไป
แล้วกลับมาพบกับกิจกรรมดี ๆ เช่นนี้ได้ใหม่ในครั้งหน้า เพราะการอ่านไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในตำราเรียน
หนอนหนังสือตัวอ้วน