วิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปอาจทำให้การทำงานของใครหลายๆ คนเป็นเรื่องที่ยากมากขึ้นและอาจจะเหนื่อยหนักมากกว่าที่เคยผ่านมา หลายคนรู้สึก Burn out กับงานที่กำลังทำอยู่ อย่าเพิ่งหมดหวังและถอดใจก่อนจะได้อ่านหนังสือทั้ง 9 เล่ม ที่จะมาปลุกไฟให้คนวัยทำงานทุกคนได้กลับไปทำงานอย่างสนุกและสดใสเหมือนครั้งที่ผ่านมา
1.ได้เวลาชาร์จพลัง (Are You Fully Charged?: The 3 Keys to Energizing Your Work and Life)
ผู้แต่ง Tom Rath
ผู้แปล รสลินน์ ทวีกิตติกุล
‘Burnout’ อาการยอดฮิตของมนุษย์ออฟฟิศในช่วงนี้จะเพราะการที่ต้อง Work from home ที่ไม่ได้ไปเจอใคร ชีวิตการงานกับส่วนตัวที่แทบจะแยกกันไม่ออก จนทำให้ใครหลายคนหมดใจและหมดไฟในการทำงาน สูดหายใจเข้าลึก ๆ สักหน่อย ให้เวลาตัวเองได้พักและอ่านหนังสือเล่มนี้ ‘ได้เวลาชาร์จพลัง : Are You Fully Charged?’ หนังสือที่รวบรวมงานวิจัยและบทสัมภาษณ์จากนักวิชาการจากหลายสาขา ที่จะมาเผยความลับในการพักผ่อนให้คุณกลับมามีพลังในการทำงานอีกครั้ง
ภายในเล่มจะเริ่มจากส่วนแรกที่พูดถึงเรื่องความหมายในการทำงานเพราะเราต้องรู้จักว่าอะไรคือ Passion ที่ขับเคลื่อนในการทำงานของเรา ส่วนที่สองจะเล่าถึงความสัมพันธ์เพราะความสัมพันธ์ที่ดีจะเป็น Save zone ให้เราอุ่นใจและมีพลังในการออกไปจัดการกับปัญหาต่างๆ ในชีวิตและที่ทำงาน ส่วนสุดท้ายจะเล่าถึงพลังลงาน เพราะร่างกายเป็นส่วนสำคัญของชีวิตเราต้องรู้จักวิธีดูแลรักษาร่างกายให้แข็งแรงเพื่อสร้างเสริมให้เรามีพลังในการทำงานได้ต่อไป เชื่อว่าหลังจากอ่านเล่มนี้จบแล้วการพักผ่อนของเราจะมีประสิทธิภาพมากกว่าที่ผ่านมา
2. คู่มือออกแบบชีวิตด้วย Design Thinking
ผู้แต่ง Bill Burnett และ Dave Evans
ผู้แปล นรา สุภัคโรจน์
คนทำงานหลายๆ คนอาจรู้สึกว่าหลงทางกับงานที่ทำอยู่จนหมดพลังในการทำงาน เพราะไม่รู้สึกถึงความหมายในงานที่ทำอยู่ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าอะไรคือความหมายในการทำงานที่ตัวเองกำลังตามหา ‘Designing Your Life : คู่มือออกแบบชีวิตด้วย Design Thinking’ หนังสือที่จะมาช่วยเป็นเข็มทิศให้คุณพบชีวิตที่ตามหา
คำว่า ‘ชีวิตที่ดี’ ที่เป็นเป้าหมายที่ใครหลายคนตามหา แต่ทว่าชีวิตไม่ใช่สมการคณิตศาสตร์ที่มีสูตรสำเร็จตายตัว เราต้องเผชิญหน้ากับปัญหาที่ไม่คาดคิด ปัญหาที่มีเฉพาะชีวิตของเรา การจะฝ่าปัญหาเหล่านั้นอาจต้องอาศัยวิธีคิดที่จะมองให้เห็นถึงปัญหาและแก้ไขได้อย่างถูกจุดและนี่คือหนังสือที่จะนำเอาวิธีคิดแบบ Design Thinking มาออกแบบและหาทางออกให้กับชีวิตในแบบฉบับของตัวเอง
3. เท่าทันอารมณ์ก็เข้าใจตัวเอง
ผู้แต่ง Susan David
ผู้แปล วิไลรัตน์ เอมเอี่ยม
‘อารมณ์’ สิ่งที่เรามีติดตัวกันมาตั้งแต่เกิดทั้งความเศร้า, ดีใจ, เครียด, หงุดหงิด, โกรธ และอีกหลายอารมณ์ที่เรามีอยู่ในตัวเรา แต่เรารู้จักและจัดการสิ่งที่เรียกว่า ‘อารมณ์’ ดีแค่ไหน? นี่อาจเป็นคำถามที่ใครหลายคนไม่เคยถามตัวเองเลยสักครั้ง ซึ่งการไม่รู้เท่าทัน ไม่เข้าใจ ทำให้ไม่สามารถจัดการอารมณ์ได้อย่างถูกวิธี จนกลายเป็นปัญหาในชีวิตที่เราต้องเผชิญทั้งปัญหาในครอบครัว ในที่ทำงาน ความสัมพันธ์กับเพื่อนหรือแม้แต่ความสัมพันธ์กับตัวเอง
Emotional Agility หนังสือที่จะเป็นคู่มือในการทำความเข้าใจและเรียนรู้จักอารมณ์ของตัวเองกันใหม่อีกครั้ง ผ่านเรื่องเล่าปละประสบการณ์ของ ซูซาน เดวิดนักวิชาการและการเป็นที่ปรึกษาด้านอารมณ์มานานกว่า 20 ปี หลังอ่านจบเชื่อว่าจะสามารถรู้เท่าทันและเข้าใจอารมณ์ของตัวเองและมีความสุขกับชีวิตได้มากว่าที่ผ่านมา
4. นี่เราใช้ชีวิตยากเกินไปหรือเปล่านะ
ผู้แต่ง ฮาวัน
ผู้แปล ตรองสิริ ทองคำใส
‘ชีวิตที่ดีมันต้องแบบไหนกันนะ?’ หนังสือจากปลายปากกาของนักเขียนและนักวาดภาพประกอบที่ตั้งคำถามกับชีวิตว่าสิ่งที่เรากำลังพยายามกันอยู่ในทุกวันนี่มันคือความต้องการของใครกันแน่ เราต้องการชีวิตแบบที่เป็นอยู่จริงๆ ใช่ไหม นี่คือคำถามใหญ่ๆ ในชีวิตที่เราไม่เคยคิดจะตั้งคำถาม
หนังสือที่จะมาตั้งคำถามพร้อมกับฉีกนิยามความสำเร็จที่เราเชื่อกันไปอย่างไม่เคยสงสัย ที่เขียนจากประสบการณ์ในชีวิตจริงของ ฮาวัน นักวาดภาพประกอบที่กล้าที่จะลาออกมาทดลองใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองเชื่อดูสักครั้ง ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร มีอะไรที่เขาค้นพบระหว่างที่ลาออกมาบ้างติดตามอ่านไปได้พร้อมกันในเล่ม เป็นเล่มที่เหมาะสำหรับใครที่รู้สึกเหนื่อยหนักกับชีวิตจนอยากลาออกจากงานที่ทำอยู่ (แอบบอกว่าอ่านง่ายและภาพประกอบน่ารักมาก)
5. คู่มือแห่งความหวังในโลกสุดเฮงซวย
ผู้แต่ง Mark Manson
ผู้แปล ยอดเถา ยอดยิ่งถ้ากำลังรู้สึกว่าชีวิต สังคมหรือโลกใบนี้มันช่างเฮงซวยอย่างไร้ทางออก ถ้ากำลังคิดแบบนั้นอยู่แล้วล่ะก็เราขอแนะนำหนังสือที่ขีดฆ่าคำว่าโลกสวยออกไปได้เลย และแน่นอนไม่มีคำคมคอยปลอบใจ เพราะ Mark Manson จะมาก่นด่าความเฮงซวยของโลกใบนี้ไปพร้อมกับคำแนะนำที่ไม่เหมือนใคร ให้ได้เห็นวิธีคิดในมุมใหม่ๆ ด้วยการผสานหลักปรัชญา ศาสนา จิตวิทยา ธุรกิจ และการเมือง ให้ได้คิดถึงและเห็นโลกแบบที่อาจไม่เคยคิดถึงมาก่อน
ภายในเล่มจะเขียนถึงความหวังและความเฮงซวยของชีวิต ที่จะชวนทุกคนมาทบทวนถึงความเป็นจริงของชีวิตและโลกใบนี้ ที่เราเชื่อและใช้ชีวิตตามกันไปอย่างไม่มีการตั้งคำถามจนเป็นบ่อเกิดของความรู้สึกหมดหวังและความเฮงซวยทั้งปวงในชีวิตที่เรากำลังเผชิญ ความหวังในชีวิตที่เรากำลังโอบกอดอยู่อาจเป็นจุดปัญหาที่ทำให้เรารู้สึกหมดหวังก็ได้ มาร่วมทบทวนมุมมองในชีวิตกันอีกครั้งเพื่อให้เราก้าวต่อไปได้อย่างมั่นใจและเปี่ยมไปด้วยพลังกันอีกครั้ง
6. 52 วิธีคิดให้ได้อย่างเฉียบคม
ผู้แต่ง Rolf Dobelli
ผู้แปล อรพิน ผลพนิชรัศมี
หนังสือยอดขายทะลุ 1 ล้านเล่ม จนเป็นขายดีอันดับ 1 ในเยอรมนี เพราะทุกการตัดสินใจของเราเต็มไปด้วยอคติและอารมณ์ อย่างที่เราไม่รู้สึกตัวหนังสือเล่มนี้จะช่วยให้เราได้มาทบทวนการตัดสินใจในมุมมองอื่นๆ จากงานวิจัย ที่จะมาช่วยปัดเป่าเมฆหมอกที่ปกคลุมความคิดและการตัดสินใจของคุณให้ไม่ผิดพลาดเหมือนอย่างที่ผ่านมา โดยที่สามารถนำไปปรับใช้ได้เลย ให้ทุกคนสามารถตัดสินใจอย่างเฉียบคมอ่านสถานการณ์ได้อย่างชาญฉลาด
ในเล่มจะแบ่งออกเป็น 52 บทย่อยๆ ยกตัวอย่างในกรณ์การตัดสินใจ เช่น เหตุผลที่ ikea มีศูนย์อาหารอยู่ภายใน เพราะว่ามนุษย์มีความอ่อนล้าในการตัดสินใจและสูญเสียพลังงานมาก จนรู้สึกเหนื่อยและไม่อยากตัดสินใจในที่สุด ศูนย์อาหารใน ikea จะเป็นที่พักก่อนจะไปตัดสินใจเลือกสินค้าต่อนั่นเอง หรือปัญหาของค่าเฉลี่ย ในสถานการณ์สมมติคน 50 คนมีเงิน 10 ดอลล่าทุกคนจะมีเงินเฉลี่ย 10 ดอลล่าเท่ากัน แล้วจู่ๆ บิลเกต ก็เดินขึ้นมา ค่าเฉลี่ยก็เลยกลายเป็นคนละหลายล้านดอลล่า ซึ่งค่าเฉลี่ยไม่ได้สะท้อนความจริงที่เป็นเท่าไหร่นัก นี่เป็นเพียงตัวอย่างของเรื่องที่จะทำให้เราได้ทบทวนกับการตัดสินใจของตัวเองกันอีกครั้งก่อนจะเริ่มตัดสินใจทุกครั้ง
7. ชีวิตศตวรรษ
ผู้แต่ง Lynda Gratton และ Andrew Scott
ผู้แปล วารีรัตน์ อันวีระวัฒนา
ในอนาคตไม่ไกลนี้เราจะกลายเป็นมนุษย์รุ่นแรกที่มีอายุเฉลี่ยถึง 100 ปี เมื่ออายุเฉลี่ยของมนุษย์ยืนยาวกว่าที่ผ่านมา แผนการใช้ชีวิตต้องมีการปรับเปลี่ยนกันครั้งใหญ่ เราจะจัดการการงาน การเงิน การศึกษา ความสัมพันธ์และการรักษาสุขภาพได้อย่างไร เพื่อให้อายุ 100 ปีเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขไม่ใช่การทนอยู่อย่างทุกข์ทนและไร้ความหมาย นี่คือโจทย์ที่ใหญ่ที่ท้าทายของโลกและมนุษยชาติ เพื่อการวางแผนให้เราใช้ชีวิตได้อย่างมีแบบแผนในโลกอนาคตหลังจากนี้ที่เรากำลังไปถึง
ภายในเล่มจะจำแนกให้เห็นถึงทรัพยากรและองค์ประกอบในการใช้ชีวิตของเราทุกคน ทั้งในเรื่องของการงาน ความสัมพันธ์ ทรัพย์สินและเวลา โดยอ้างอิงจากหลังสถิติย้อนหลังเพื่อเล่าให้เห็นถึงความเป็นจริงที่เรากำลังเผชิญในอนาคต ทั้งอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ตำแหน่งงานที่ลดลง ครอบครัวและความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไป เวลาที่ใช้ในการศึกษาที่มากขึ้น หลายองค์ประกอบในชีวิตที่เปลี่ยนไปอย่างที่เราไม่คิดนึกถึงและไม่อาจใช้วิธีคิด วิธีจัดการชีวิตแบบเก่าๆ มาใช้ได้อีกต่อไป หนังสือเล่มนี่จะพาทุกคนไปขบคิดถึงรูปแบบชีวิตในอนาคตที่ทุกคนต้องออกแบบด้วยตัวเองก่อนที่มันจะมาถึง
8. หลักสูตรลงมือทำทันที จาก Stanford
ผู้แต่ง Bernard Roth
‘ชีวิตไม่ได้เป็นไปตามสิ่งที่คิด แต่มันจะเป็นไปตามสิ่งที่ทำ’ หลายครั้งที่เรามีไอเดียดีๆ ผุดขึ้นมามากมายมีหลากหลายเรื่องที่อยากทดลองทำดูสักครั้ง แต่แค่ผ่านไปไม่กี่วันไฟที่เคยลุกก็ม้อดลงไปก่อนจะได้ลงมือทำอะไรไปซะแล้ว ถ้าคุณเคยมีปัญหาแบบนี้อยู่ล่ะก็เราขอแนะนำหนังสือที่จะมาช่วยคุณแก้ปัญหาให้คุณหยุดคิดและเริ่มทำกันสักที
‘หลักสูตรลงมือทำทันทีจาก Stanford’ เป็นหนังสือจาก Bernard Roth อาจารย์มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ผู้ร่วมก่อตั้งสถานบัน D.School สถาบันที่สร้างผู้ประกอบการชั้นนำระดับโลกมาแล้วมากมาย Bernard Roth ค้นพบว่าการที่ใครหลายคนไม่ได้เริ่มลงมือทำอะไรอย่างที่ตัวเองต้องการสักทีเพราะว่าติดกับความคิดมากเกินไป กังวลถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นจนไม่ได้เริ่มลงมือทำอะไรสักที ด้วยเหตุนั้นเขาจึงเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาภายใน 10 บท ที่จะมาชวนทุกคนทบทวนพฤติกรรมและความคิดที่คอยฉุดรั้งตัวเองไว้ ให้กล้าที่จะคิดและลงมือทำอย่างเป็นระบบ
9. วิธีเอาตัวรอดในวงล้อมคนงี่เง่า
ผู้แต่ง Thomas Erikson
ผู้แปล ประเวศ หงษ์จรรยา
รู้สึกบ้างไหมว่ารอบตัวเราเต็มไปด้วยคนที่งี่เง่า คนที่เราไม่สามารถสื่อสารหรือทำงานด้วยกันได้ เหมือนกับว่าเราคุยกันคนล่ะภาษา ไม่ว่าจะเป็นในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน เจ้านาย ลูกน้อง คนที่เรามองว่าเขาช่าง ‘งี่เง่า’ ‘ไร้เหตุผล’ ‘เจ้าอารมณ์’ แต่ Thomas Erikson ไม่ได้คิดอย่างนั้น นี่ล่ะคือจุดกำเนิดของหนังสือเล่มนี้ที่ทำให้เราได้เข้าใจเบื้องหลังบุคลิคและการกระทำของใครบางคนที่เราไม่เคยเข้าใจ
Thomas Erikson เขียนหนังสือเล่มนี้โดยการศึกษางานเขียนของนักปรัชญากรีก ทฤษฎีจิตวิทยาสมัยใหม่ ทำให้เขาได้พบว่าจริงๆ แล้วเหตุผลของการทพเลาะเบาะแว้งหรือความไม่เข้าใจกัน นั้นมีสาเหตุมาจากพื้นฐานของอุปนิสัยและบุคลิคที่แตกตต่าง โดยที่พวกเราไม่เคยรับรู้และเข้าใจความแตกต่างเหล่านั้นของกันและกัน นั่นคือเหตุผลที่เรารู้สึกว่าทุกคนล้วนงี่เง่า เอาแต่ใจ และเจ้าอารมณ์
โดยที่ Thomas Erikson จะแบ่งคนออกเป็น 4 ประเภท โดยแต่ล่ะประเภทจะแทนตัวแต่ล่ะสี เช่น คนสีแดงเป็นคนที่มีภาวะผู้นำเอาผลสำเร็จเป็นที่ตั้งไม่รู้จักการรักษาน้ำใจคนอื่น, สีเหลืองเป็นคนที่มีวาทศิลป์ชอบเป็นจุดสนใจอยู่เสมอ, สีเขียวเป็นคนสงวนท่าทีไม่ชอบความขัดแย้ง และสีฟ้าเป็นคนที่เคร่งครัดในกฎระเบียบกติกาเจ้าระเบียบเถรตรง ด้วยความแตกต่างของเราเหล่านี้เองที่ทำให้เราไม่เข้าใจและทะเลาะกันอยู่บ่อยครั้ง เชื่อว่าเมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้จบคุณจะรู้จักและเข้าใจตัวเองและวิธีการทำงานกับคนอื่นมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา