ชวนอ่าน 7 วรรณกรรม ว่าด้วยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ประวัติศาสตร์เปื้อนเลือดที่ไม่ควรถูกลืม
21 June 2021
162
ข่าวการพบร่างเด็กชนพื้นเมือง 215 คนในบริเวณที่เคยเป็นโรงเรียนประจำที่ประเทศแคนาดาเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมาสร้างความสะเทือนใจไปทั่วโลก เหตุการณ์ดังกล่าวชวนให้พวกเราหวนระลึกถึงเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หรือ Genocide อีกมากมายในประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ล้างเผ่าพันธุ์นี้ไม่ใช่เพียงการ “ฆ่า” เท่านั้น แต่เป็นการทำลายเชื้อชาติและวัฒนธรรมของเหยื่อให้สูญสิ้น ซึ่งนับเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงที่สุดที่มนุษย์จะกระทำต่อกันได้
ปัจจุบันการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์แทบไม่มีโอกาสเกิดขึ้นแล้ว เพราะผู้คนในโลกหันมายอมรับความแตกต่างของเชื้อชาติมากขึ้น แต่หากย้อนไปในอดีต มนุษย์เคยมีบทเรียนของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มาแล้วมากมาย เหตุการณ์ที่จารึกในความทรงจำไม่รู้ลืมก็เช่น การสังหารชาวยิวกว่า 6 ล้านคนในสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยฝ่ายนาซีเยอรมัน หรือหากใกล้ตัวพวกเราก็เช่นการสังหารหมู่ชาวกัมพูชาโดยฝ่ายเขมรแดง วันนี้ TK Park จะมาร่วมย้อนรอยหนังสือและบันทึกต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แม้จะเป็นประวัติศาสตร์อันโหดร้ายเกินกว่าจะอ่านโดยไม่เสียน้ำตา แต่เราก็จำเป็นต้องเรียนรู้เรื่องราวที่น่าสะเทือนใจเหล่านี้เพื่อให้แน่ใจว่ามนุษย์เราจะไม่เผลอก้าวเดินในหนทางแห่งความผิดพลาดอีกครั้ง
1. Anne Frank: The Diary of a Young Girl
บันทึกลับของแอนน์ แฟร้งค์
ผู้เขียน แอนน์ แฟร้งค์
ผู้แปล สังวรณ์ ไกรฤกษ์
บันทึกบันลือโลกในยุคที่เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่สุดของมนุษยชาติคือ เหตุการณ์สังหารหมู่ชาวยิวครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 บันทึกเล่มนี้คือเรื่องราวของเด็กสาววัย 13 ปีที่เกิดผิดที่ผิดเวลา เธอเป็นเด็กสาวชาวยิวที่เกิดมาในยุคที่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์และพรรคนาซีเรืองอำนาจ มีการปลุกระดมความเกลียดชังต่อชาวยิวจนถึงขีดสุดและนำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว (Holocaust)
ออตโต้ แฟร้งค์ พ่อของแอนน์ แฟร้งค์ เห็นมหันตภัยร้ายที่กำลังคืบคลานเข้ามาจึงพาครอบครัวไปหลบอยู่ในสถานที่หลบภัยในอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ สถานที่หลบภัยดังกล่าวเป็นเพียงตึกร้างโทรม ๆ เก่า ๆ มีพื้นที่ใช้ชีวิตและอาหารเพียงน้อยนิด ทุกคนถูกสั่งห้ามส่งเสียงดัง หรือแม้แต่จะแง้มม่านออกมาดูโลกภายนอก ไม่เช่นนั้นอาจจะถูกทหารนาซีพบตัวและถูกส่งไปยังค่ายกักกันชาวยิว กว่าสองปีที่ แอนน์ แฟรงค์ และสมาชิกในครอบครัวอีก 7 คน ต้องหลบซ่อนในห้องบนโกดังลับ ก่อนจะถูกค้นพบโดยทหารนาซีเยอรมันเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 1994 ทั้งหมดถูกจับกุมและส่งตัวไปยังค่ายกักกัน ก่อนที่แอนน์จะเสียชีวิตลงด้วยโรคไข้รากสาดใหญ่ด้วยวัยเพียง 15 ปีเท่านั้น พ่อของเธอเป็นคนเดียวในครอบครัวที่รอดชีวิตจากช่วงเวลาดังกล่าวและเก็บเอาบันทึกของลูกสาวมาพิมพ์เป็นหนังสือในปี 1947
แม้เรื่องราวเบื้องหลังหนังสือจะฟังดูโหดร้าย แต่เนื้อหาข้างในเป็นเรื่องราวชีวิตประจำวันของเด็กสาวที่อ่านง่าย แฝงการมองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ แอนน์ได้เขียนเล่าในสมุดบันทึกว่าในแต่ละวันเธอใช้ชีวิตอย่างไร แม้จะต้องอดทนต่อความหิว ความเบื่อหน่าย หรือความหวาดกลัวต่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ได้ยินอยู่ทุกวัน แต่ครอบครัวในห้องลับก็ยังมีกิจกรรมแห่งความสุขร่วมกันเสมอ อย่างเช่น การจัดงานเลี้ยงเล็กๆ ในโอกาสสำคัญ หรือแม้แต่เรื่องราวความรักของแอนน์กับหนุ่มน้อยชาวยิวจากอีกครอบครัวหนึ่งใต้ชายคาเดียวกัน ทำให้เห็นว่าแม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายเพียงใด แต่ความฝันและความหวังก็ไม่เคยลบเลือนไปจากหัวใจดวงน้อย ๆ ดวงนี้เลย
แม้ชีวิตของแอน แฟร้งค์ไม่ได้จบลงอย่างสวยงามนัก แต่อย่างน้อยความฝันที่จะเป็น “นักเขียน” ของเธอก็กลายเป็นความจริง เมื่อบันทึกของเด็กสาวได้กลายเป็นหนังสือที่ทรงอิทธิพลที่สุดเล่มหนึ่งของศตวรรษที่ 20 ได้รับการแปลไปแล้วถึง 70 ภาษา ขายได้มากกว่า 35 ล้านเล่มทั่วโลก นับเป็นหนังสือที่ “ต้องอ่าน” สำหรับผู้สนใจประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะเหตุการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว
2. The Boy in the Striped Pyjamas
เด็กชายในชุดนอนลายทาง
ผู้เขียน จอห์น บอยน์
ผู้แปล วารี ตัณฑุลากร
“ชุดนอนลายทาง” อาจเป็นชุดนอนที่เห็นได้ทั่วไป แต่เมื่อ “บรูโน” เด็กชาย 9 ขวบ ลูกชายของนายทหารระดับสูงของเยอรมัน มองเข้าไปในเขตรั้วหนามใกล้บ้านเขาและเห็นผู้คนจำนวนมาก รวมถึง “ชามูเอล” เด็กรุ่นราวคราวเดียวกับเขาคนหนึ่งในชุดนอนและหมวกลายทางสีเทา ความไร้เดียงสาทำให้เด็กชายไม่รู้ว่า นั่นคือชุดนักโทษของค่ายกักกันเอาซ์วิทซ์ (Auschwitz) ค่ายกักกันชาวยิวและสถานที่สังหารมนุษย์ที่ใหญ่ที่สุดของนาซีในช่วงสงครามโลก การพบกันของลูกชายนายทหารเยอรมันที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาเข่นฆ่าชาวยิวด้วยความเชื่อและอุดมการณ์ที่ถูกปลูกฝัง กับลูกชายของชาวยิวผู้ตกเป็นเหยื่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ มิตรภาพที่ไม่ควรเกิดขึ้นท่ามกลางไฟสงครามจึงนำไปสู่โศกนาฏกรรมที่เกินคาดเดา
เด็กชายในชุดนอนลายทาง อาจติดป้ายว่าเป็นวรรณกรรมเยาวชน ทว่าเมื่อมีฉากหลังเป็นสงครามโลกครั้งที่สอง และฉากในเรื่องเป็นค่ายกักกันเอาซ์วิทซ์ ซึ่งเป็นสถานที่แห่งการทรมานและเข่นฆ่าชาวยิวไปหลายล้านคน เรื่องราวที่เกิดขึ้นในเล่มจึงเต็มไปด้วยความสะเทือนใจแม้จะมองผ่านสายตาที่ไร้เดียงสาของเด็กน้อย แม้ว่าตัวละครในเรื่องจะถูกสมมติขึ้นมา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวคือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ช่วงสงครามโลก โดยจอห์น บอยน์ ผู้เขียนได้ใช้ความไร้เดียงสาของตัวละครเอกตั้งคำถามว่า มีความเชื่อหรืออุดมการณ์ใดที่สำคัญมากพอจะใช้เป็นข้ออ้างในการเข่นฆ่าคนอื่นหรือไม่? มีคนเชื้อชาติหนึ่งที่สูงส่งกว่าอีกเชื้อชาติหนึ่งจริงหรือไม่? มีใครที่สมควรตายเพียงเพราะเขาเป็นคนเชื้อชาติหนึ่งจริงหรือไม่? หากพ้นจากกรอบความเป็นเชื้อชาติหรือการเมือง เราจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้หรือไม่? “เด็กชายในชุดนอนลายทาง” จึงเป็นวรรณกรรมที่ยอดเยี่ยมอีกเรื่องหนึ่งในการศึกษาประวัติศาสตร์ความโหดร้ายของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งใหญ่ที่สุดที่มนุษย์เคยกระทำต่อกัน
3. The Book Thief
จอมโจรขโมยหนังสือ
ผู้เขียน มาร์กัส ซูซัค
ผู้แปล พรรณี ชูจิรวงศ์
จอมโจรขโมยหนังสือ เป็นวรรณกรรมเยาวชนเรื่องสำคัญอีกเล่มหนึ่งที่ฉายให้เห็นภาพเหตุการณ์ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเฉพาะการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวที่เกิดขึ้นในเยอรมัน หนังสือเล่าถึงเรื่องราวของลีเซล เมมิงเกอร์ เด็กหญิงวัย 9 ขวบ ลี้ภัยสงครามมากับแม่และน้องชายวัย 6 ขวบ แม่ของเธอจำใจต้องส่งลูกสาวและลูกชายให้อยู่ในความดูแลของครอบครัวอุปถัมภ์ เพราะเธอถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ทว่าเวอร์เนอร์ น้องชายของลีเซลเสียชีวิตในรถไฟระหว่างเดินทาง ระหว่างที่ฝังศพน้องชาย คนขุดหลุมศพก็ทำหนังสือคู่มือการฌาปนกิจศพหล่นลงมา เธอจึงแอบเก็บไว้เป็นที่ระลึกถึงแม่และน้องชาย แม้ว่าเธอจะอ่านหนังสือไม่ได้เลยก็ตาม
ลีเซลมาอยู่กับครอบครัวฮูเบอร์แมน ฮันส์ พ่อเลี้ยงเธอเป็นผู้สอนให้เธออ่านออกเขียนได้ จึงเป็นครั้งแรกที่ลีเซลได้เปิดโลกกว้างผ่านตัวหนังสือ ทว่าสงครามที่ยืดเยื้อก็ทำให้ลีเซลและครอบครัวใหม่ต้องอยู่อย่างยากลำบากมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งครอบครัวของเธอต้องรับสมาชิกใหม่เข้ามาในบ้านคือแมกซ์ วอนเด็นเบอร์ก คนเยอรมันเชื้อสายยิวซึ่งต้องมาหลบซ่อนตัวจากการกวาดล้างชาวยิว ในช่วงเวลานี้เองที่ลีเซลได้รู้จักกับอำนาจของคำ (Power of Words) นำไปสู่เหตุการณ์ที่เธอกลายเป็น “จอมโจรหนังสือ” แม้ว่าสุดท้ายตัวละครในเรื่องจะต้องพบกับการพลัดพรากและความสูญเสีย แต่สิ่งที่ไม่เคยสูญหายไปในเรื่องนี้คือมิตรภาพ ความหวัง และความดีงามในจิตใจของมนุษย์ ไม่ว่าไฟสงครามจะเผาทำลายโลกใบนี้ไปมากเท่าใดก็ตาม
จอมโจรขโมยหนังสือ เป็นวรรณกรรมที่ถ่ายทอดปัญหาการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และสภาพบ้านเมืองของเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองออกมาได้อย่างกระจ่างชัด โดยผู้เขียนกล่าวว่าแรงบันดาลใจในการเขียนเรื่องนี้มาจากพ่อแม่ซึ่งเป็นชาวเยอรมันอพยพมาอยู่ในออสเตรเลีย ผสมกับเหตุการณ์ที่ฝังใจเขาเหตุการณ์หนึ่ง เมื่อเขาได้เห็นเด็กชายชาวเยอรมันเอาขนมปังให้ชาวยิวกิน สุดท้ายเด็กคนนั้นถูกลงโทษโดยการเฆี่ยนกลางถนน นอกจากนี้ ผู้เขียนยังชี้ให้เห็น “อำนาจของคำ” ที่อาจเป็นได้ทั้งเพื่อนแท้ที่คอยปลอบประโลมใจลีเซลในยามลำบาก และยังสวมบทบาทเป็นผู้นำของฆาตกรสังหารหมู่ ดังเช่นถ้อยคำใน Mein Kampf หนังสือของฮิตเลอร์ที่ปลุกเร้าให้คนเยอรมันเกลียดชังชาวยิวนั่นเอง
4. In the Shadow of the Banyan
ร่มไทรวิปโยค
ผู้เขียน วดี แรตเนอร์
ผู้แปล นิลุบล พรพิทักษ์พันธุ์
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โลกถูกแบ่งออกเป็น 2 ค่ายอุดมการณ์ทางการเมืองคือฝ่ายเสรีประชาธิปไตย นำโดยประเทศสหรัฐอเมริกา และฝ่ายคอมมิวนิสต์ นำโดยสหภาพโซเวียต ทั้งสองฝ่ายขยายอำนาจจนส่งผลกระทบไปทั่วโลก รวมถึงประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนไม่ว่าจะเป็นไทย ลาว เวียดนาม และกัมพูชา ซึ่งเป็นต้นตอของเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหนังสือเล่มนี้
ร่มไทรวิปโยค เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2518 กองทัพแห่งชาติกัมพูชา หรือที่โลกรู้จักกันในนามฝ่ายเขมรแดง นำโดยพอล พต ได้ยึดอำนาจจากรัฐบาลลอน นอล โดยอ้างอุดมการณ์คอมมิวนิสต์เพื่อสร้างกัมพูชาให้เป็นประเทศแห่งชนชั้นกรรมาชีพโดยสมบูรณ์ กองกำลังเขมรแดงได้กวาดต้อนประชาชนจากกรุงพนมเปญ โดยเฉพาะศัตรูทางการเมืองได้แก่บรรดาชนชั้นสูงและผู้มีการศึกษาทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ นักบิน วิศวกร ตำรวจ ทหาร พนักงานบริษัท ให้ออกไปทำการเกษตรและใช้แรงงานในพื้นที่ห่างไกล
วดี แรตเนอร์ เล่าเรื่องราวจากความทรงจำของศรีสวัสดิ์ วัตตารามี เชื้อพระวงศ์ในราชสกุลศรีสวัสดิ์ ธิดาของหม่อมเจ้าศรีสวัสดิ์ อายุรวรรณ ผู้ได้รับฉายาว่า เจ้าชายนักกวีแห่งกัมพูชา ในวันที่ฝ่ายเขมรแดงกำลังเรืองอำนาจ เธออายุเพียง 7 ขวบเท่านั้น และไม่เคยคิดมาก่อนว่าสายเลือดและความภาคภูมิใจของราชวงศ์จะเป็นสิ่งที่ทำให้เธอต้องทนทุกข์ไปตลอดชีวิต
ร่มไทรวิปโยค แม้จะถ่ายทอดออกมาจากเรื่องจริงของเชื้อพระวงศ์กัมพูชา แต่จุดเด่นของเล่มนี้กลับเป็นการถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เป็นหลัก ซึ่งมีทั้งน้ำตา ความเจ็บปวดและการสูญเสียคนที่รัก นับเฉพาะครอบครัวของเธอที่มีอยู่สิบชีวิตก็เหลือรอดมาเพียงผู้เล่าเรื่องและแม่ของเธอเท่านั้น สะท้อนให้เห็นว่าการใช้อำนาจทรมานและเข่นฆ่าผู้อื่นโดยแอบอ้างอุดมการณ์ไม่เคยทำให้เกิดผลดีแก่ประชาชนหรือประเทศชาติเลย มีก็แต่เพียงความสูญเสียและตราบาปที่ส่งต่อให้คนรุ่นหลังเท่านั้น
5. 4 ปี นรกในเขมร
ผู้เขียน ยาสึโกะ นะอิโต
ผู้แปล ผุสดี นาวาวิจิต
หนังสืออีกหนึ่งเล่มที่ขาดไม่ได้หากจะกล่าวถึงเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของเขมรแดงคือเรื่อง 4 ปี นรกในเขมร ทั้งในแง่ของเอกสารบันทึกทางประวัติศาสตร์ หรืออัตชีวประวัติของเหยื่อในเหตุการณ์สะเทือนขวัญนี้ ในเล่มเล่าถึงชีวิตของยาสึโกะ นะอิโต หญิงสาวชนชั้นผู้ดีชาวญี่ปุ่น ซึ่งสมรสกับโศ ทันลัน นักการทูตชาวกัมพูชา แต่เมื่อฝ่ายเขมรแดงได้ยึดครองอำนาจในปี พ.ศ. 2518 ยาสึโกะและครอบครัวจึงต้องถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงานในแถบชนบทของเขมรเป็นเวลานานกว่า 4 ปี จนกระทั่งเขมรแดงสูญเสียอำนาจ เธอจึงได้กลับมายังพนมเปญอีกครั้ง แต่ก็มีเพียงเธอเท่านั้นที่รอดชีวิต ส่วนลูก ๆ และสามีต่างเสียชีวิตไปจากเหตุการณ์นี้ทั้งหมด
หนังสือเล่มนี้ได้ถ่ายทอดสภาพสังคมและการใช้ชีวิตอย่างทุกข์ยากในแต่ละวันของผู้คนในห้วงเวลาที่เขมรแดงเรืองอำนาจได้อย่างชัดเจน ความยากลำบากนั้นสะท้อนให้เห็นชัดที่สุดในบันทึกตอนหนึ่งว่า เธอยินดีนักที่คนที่เธอรักทั้งสี่คนได้ตายจากไปแล้ว จะได้ไม่ต้องเผชิญความลำบากเช่นนี้ ขณะที่อีกด้านหนึ่งก็บันทึกถึงประชาชนคนเขมรที่มีน้ำใจเมตตาต่อเธอในระหว่างการเดินทางแม้ว่าเธอจะเป็นคนต่างชาติ ซึ่งทำให้เธอมีกำลังใจในการฝืนสู้จนเอาตัวรอดมาจากหายนะครั้งนี้ได้แม้จะต้องสูญเสียทุกสิ่งไปแล้ว ดังที่เธอเขียนไว้ตอนหนึ่งว่า “ต่อให้สิ่งเลวร้ายผ่านเข้ามาในชีวิต ตราบใดที่เราไม่ย่อท้อ เราย่อมพบหนทางสว่างอีกครั้ง”
ยาสึโกะเดินทางกลับญี่ปุ่นเมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2522 เธอได้ใช้ชีวิตในบ้านเกิดอีกเพียง 3 ปีก็จากโลกนี้ไป และ 4 ปี นรกในเขมร บันทึกถึงเรื่องราวชีวิตในช่วงที่ยากลำบากที่สุดของเธอกลายเป็นหนังสือที่ได้รับการเผยแพร่ทั้งในประเทศของเธอเอง และประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วย เพื่อให้เลือดเนื้อและน้ำตาที่เธอเสียไปกลายเป็นบทเรียนไม่ให้ความแตกต่างของอุดมการณ์การเมืองกลายเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนในชาติตนเองอีก
6. Between Shades of Grey
บันทึกสีเทา
ผู้เขียน รูต้า เซอเพทตี้ส์
ผู้แปล ณวรา
อีกหนึ่งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สะเทือนขวัญคนทั่วโลกที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1939 เมื่อสหภาพโซเวียตบุกเข้ายึดครองลิทัวเนีย ลัตเวีย และเอสโตเนีย ซึ่งเป็นรัฐแถบทะเลบอลติก ผู้คนจำนวนมากถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกต่อต้านโซเวียต หลายคนถูกฆาตกรรม และอีกจำนวนมากถูกส่งเข้าเรือนจําหรือเนรเทศไปเป็นทาสแรงงานในแถบไซบีเรีย ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ ทนายความ ครู ทหาร ข้าราชการ นักเขียน เจ้าของกิจการ นักดนตรี จิตรกร ไม่ว่าจะอาชีพไหน มีความฝันแบบใดก็ล้วนถูกพิษภัยจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้ การเนรเทศครั้งแรกเริ่มขึ้นในวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ.1941 และกินเวลากว่าสิบห้าปี ในระหว่างนั้นมีผู้เสียชีวิตกว่ายี่สิบล้านคน และที่สำคัญที่สุดคือรัฐแถบทะเลบอลติกทั้งหมดสูญหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ ส่วนผู้ลี้ภัยที่เหลือรอดชีวิตก็ล้วนไม่มีใครกล้าเปิดปากเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น เพราะความหวาดระแวงว่าจะถูกฆาตกรรมโดยตำรวจลับของโซเวียตที่อาจแฝงตัวอยู่ที่ใดที่หนึ่ง
ผู้เขียนเล่าถึงเด็กหญิงชาวลิทัวเนียนามว่าลีนา ที่รักการวาดรูปเป็นชีวิตจิตใจและใฝ่ฝันจะเป็นจิตรกร ทว่าในวันที่เธอกำลังจะเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยศิลปะ ประเทศของเธอกลับถูกกองทัพโซเวียตเข้ายึดครอง นับแต่นั้นฝันร้าย การฆาตกรรม และการเนรเทศผู้คนไปใช้แรงงานในนรกไซบีเรียก็เริ่มขึ้น โดยรูต้า เซอเพทตี้ส์ ผู้เขียนเป็นหลานของนายทหารลิทัวเนียคนหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางเหตุการณ์ดังกล่าว จึงเกิดแรงบันดาลใจให้เดินทางไปลิทัวเนียเพื่อทําวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ และรับรู้เรื่องราวสะเทือนขวัญมากมายจนนำมาสู่การเขียนเรื่องราวอิงประวัติศาสตร์เล่มนี้ แม้ว่าตัวละครในหนังสือจะถูกสมมติขึ้น แต่เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เล่าไว้ในเล่มล้วนแต่เป็นประสบการณ์จริงที่ผู้รอดชีวิตและสมาชิกในครอบครัวได้ถ่ายทอดออกมาให้ผู้เขียนฟัง
แม้เหตุการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรัฐแถบทะเลบอลติกจะเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่สะเทือนขวัญชาวโลก แต่ผู้เขียนกล่าวว่าเหยื่อของเหตุการณ์นี้หลายคนไม่เคยที่จะเก็บเอาความขุ่นแค้น ความโกรธเคืองไว้ในใจ หรือมีความมุ่งร้ายต่อลูกหลานชาวโซเวียตหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตหลังสงครามเย็น พวกเขาเลือกแสดงออกด้วยสันติวิธีมากกว่าความเกลียดชัง ดังนั้น “ความรัก” จึงเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ดังที่ผู้เขียนกล่าวไว้ในเล่มตอนหนึ่งว่า “ความรักเป็นกองทัพที่มีอานุภาพยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นความรักที่มีต่อเพื่อน ความรักต่อประเทศชาติ ความรักในพระเจ้า หรือแม้แต่ความรักที่มีให้แก่ศัตรู”
7. Bury My Heart at Wounded Knee
ฝังหัวใจข้าไว้ที่วูนเด็ดนี
ผู้เขียน ดี บราวน์
ผู้แปล ไพรัช แสนสวัสดิ์
ย้อนกลับไปที่ประวัติศาสตร์สร้างชาติของสหรัฐอเมริกาในช่วง ค.ศ. 1860-1890 ซึ่งหากเราเคยรับชมเรื่องราวจากภาพยนตร์ฮอลลีวูด ก็จะเห็นว่าชาวอเมริกันนั้นล้วนแต่เป็นวีรบุรุษ สร้างวีรกรรมบุกเบิกดินแดน เป็นคาวบอยเผชิญโชค ผู้นำเทคโนโลยีการสร้างเรือกลไฟ หรือเป็นผู้นำศาสนา โดยมีชนพื้นเมืองที่รู้จักกันในนามของอินเดียนแดงเป็นนักปล้น หัวขโมยที่แสนเจ้าเล่ห์เพทุบาย ทว่าเรื่องราวที่ถูกสร้างขึ้นในภาพยนตร์กลับทำให้ชายหนุ่มนามว่าดี บราวน์ ชาวอเมริกันเกิดความสงสัยว่า “ทำไมอินเดียนแดงที่เขาเห็นในภาพยนตร์ตั้งแต่เด็กจึงมีแต่คนไม่ดี?” นั่นทำให้เขากลับไปศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์ จนได้เห็นความงดงามของวิถีชาวพื้นเมือง และความป่าเถื่อนโหดร้ายของผู้รุกรานซึ่งเรียกตนเองว่าชาวอเมริกันในปัจจุบัน เรื่องราวการสร้างชาติของชาวอเมริกันที่แท้คือการรุกรานและเอารัดเอาเปรียบชนพื้นเมือง ใช้กำลังในการขู่เข็ญบังคับเพื่อครอบครองทรัพยากรทั้งหมดของแผ่นดินอเมริกา ต้อนชนพื้นเมืองเข้าไปอยู่ในพื้นที่จำกัดราวกับเป็นสัตว์สงวน ก่อนจะนำมาสู่โศกนาฏกรรมการสังหารหมู่ชนพื้นเมืองชาวอินเดียนแดงครั้งใหญ่ที่ตำบลวูนเด็ดนี ซึ่งผู้เขียนเปรียบเทียบว่าคือ “การทิ้งระเบิดปรมาณูเพื่อทำลายล้างอารยธรรมอันเก่าแก่ของชาวอินเดียนแดง”
แม้จะถูกต่อต้านอย่างรุนแรงทันทีที่หนังสือเล่มนี้ถูกเผยแพร่ออกมา โดยผู้เขียนถูกกล่าวหาว่าเป็น “ผู้แฉเรื่องราวอันเป็นอัปยศของชาติ” ทว่าหนังสือเล่มนี้ก็ติดอันดับ National Bestseller อย่างยาวนาน เพราะความจริงและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ปรากฏในเล่มนั้นไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ภายหลังคนอเมริกันจำนวนมากจึงตระหนักในความผิดและอาชญากรรมที่บรรพบุรุษของตนเป็นผู้ก่อขึ้น หนังสือเล่มนี้จึงทำหน้าที่เป็นปากเสียงให้แก่ชนพื้นเมืองชาวอินเดียนแดงที่ถูกรุกรานจนแทบจะสิ้นสลาย ฉากเหตุการณ์สังหารหมู่ที่วูนเด็ดนีจึงไม่กลายเป็นภาพที่ถูกลืม แต่กลายเป็นตำนานที่ถูกอ้างอิงและแทรกซึมอยู่ในประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันโดยไม่อาจลบเลือนได้ หนังสือเล่มนี้จึงเป็นต้นแบบของการเขียน “ประวัติศาสตร์ของคนชายขอบ” หรือชนพื้นเมืองที่ถูกคนต่างถิ่นเข้ารุกรานทำลายเชื้อชาติและวัฒนธรรมจนสูญสิ้นไป
เป็นอย่างไรบ้างกับหนังสือทั้ง 7 เล่ม ที่เล่าถึงประวัติศาสตร์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (Genocide) โศกนาฏกรรมที่เคยเกิดขึ้นในวันที่มนุษยชาติยังหลงผิดอยู่กับความเชื่อเรื่องเชื้อชาติและการทำสงคราม แม้ว่าในปัจจุบัน การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรงที่ไม่มีประเทศไหนจะกล้าทำอีกแล้ว ทว่าหนังสือเหล่านี้ก็ไม่ควรจะถูกลืม เพราะหมึกที่ใช้เขียนประวัติศาสตร์เหล่านี้คือเลือดและน้ำตาของผู้สูญเสียจากเหตุการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่เคยเกิดขึ้น เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้เรียนรู้และไม่ทำผิดซ้ำรอยเดิม ดังที่ทิม วอลซ์ อดีตผู้ว่าการรัฐมินเนโซตาแห่งสหรัฐอเมริกากล่าวว่า "หากไม่เรียนรู้ต้นตอของการล้างเผ่าพันธุ์ สักวันการเข่นฆ่ากันก็จะเกิดขึ้นอีก" (You have to understand what caused genocide to happen. Or it will happen again.)