ซีรีส์ Start-up เกิดขึ้นมาเหมาะเจาะ ในช่วงเวลาที่เกาหลีใต้กำลังมีบริษัทสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นที่มูลค่ากว่าพันล้านเหรียญถึง 12 ราย ขึ้นอันดับ 4 ของโลก จุดเด่นที่เราเห็นแน่ๆ คือการเติบโตของธุรกิจสตาร์ทอัพเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
นอกจากความสนุกในแบบของ K Drama ที่มีเรื่องราวหลักเป็นความรักและความสัมพันธ์ของตัวละครที่แฟนๆ ลุ้นกันตลอดทุกตอนแล้ว ซีรีส์เรื่องนี้ยังพาแฟนละครชาวไทยดำดิ่งสู่โลกของความหวัง ความฝัน แรงผลักดันและการแข่งขันที่จะไปต่อกับแผนธุรกิจของตัวเองในโลกของสตาร์ทอัพ ดำเนินเรื่องผ่านการขับเคี่ยวของบรรดาสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ไฟแรง ที่ความฝันอันยิ่งใหญ่ ล้วนเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ นิดเดียว ถ้าซีรีส์เรื่องนี้ชวนให้เราอิจฉาในโอกาสของคนรุ่นใหม่ในเกาหลีใต้ ที่สามารถสานฝันในโลกของสตาร์ทอัพ TK Park มีหนังสือเด็ด ที่อยากแนะนำให้อ่าน สำหรับนักอ่านชาวไทยที่กำลังอินสุดๆ กับการไต่บันไดฝันสู่วงการสตาร์ทอัพ
1.The Lean Startup
เขียนโดย อีริค รีส์ (Eric Ries)
แปลโดย วิญญู กิ่งหิรัญวัฒนา
เรื่องนี้มีการแปลเป็นภาษาไทยโดยสำนักพิมพ์วีเลิร์น ในชื่อ “สร้างธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ ต้องเริ่มตอนที่ไม่พร้อม” แค่ชื่อเรื่องก็ชวนพลิกวิธีคิดได้แล้ว หนังสือเล่มนี้เรียกว่าเป็นไบเบิลยุคแรกของชาวสตาร์ทอัพตัวเล็กๆ ที่คิดการณ์ใหญ่ เสนอแนวทางผสมผสานระหว่างนักทฤษฎีและนักปฏิบัติ ที่อ่านแล้วเข้าถึงได้ง่ายไม่ต้องปีนหอคอย มีเรื่องเล่าจากประสบการณ์ส่วนตัวที่เป็นผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยี ในธุรกิจบริการรับส่งข้อความผ่าน avatars ทำให้เขาเข้าอกเข้าใจปัญหาและอุปสรรคของการเริ่มต้นสิ่งใหม่ ที่ผู้ประกอบการรุ่นแล้วรุ่นเล่าทำผิดพลาดเรื่องเดิม ๆ เช่น ไม่รู้จักการทดสอบสินค้ากับผู้ใช้ตัวจริง ตัดสินใจทางธุรกิจจากข้อมูลที่ผิด
หนังสือเล่มนี้มองการสร้างสตาร์ทอัพ ว่าเป็นการสร้างสรรค์โดยมนุษย์ ภายใต้สภาวะที่ไม่มีความแน่นอน ทำให้ไม่ว่าไอเดียนั้นจะดีเลิศแค่ไหนก็พึ่งพาไอเดียนั้นไม่ได้ถ้าขาดการจัดการของมนุษย์ ในการนำพาไอเดียล้มลุกคลุกคลาน ฝ่าฟันอุปสรรคให้ไปต่อให้จงได้ เมื่อพบไอเดียดีๆ ก็ต้องนำพาไอเดียนั้นไปทดสอบ จนเกิดการเรียนรู้ที่เชื่อถือได้
2.Zero to One
เขียนโดย ปีเตอร์ ธีล (Peter Thiel)
แปลโดย วิญญู กิ่งหิรัญวัฒนา
“จาก 0 เป็น 1” นี่คือชื่อหนังสือภาษาไทยที่แปลจาก Zero to One เขียนโดย ปีเตอร์ ธีล (Peter Thiel) ผู้ก่อตั้ง PayPal และนักลงทุนระดับตำนานของซิลิคอนวัลเลย์ ว่าด้วยเส้นทางการสร้างธุรกิจให้ขึ้นสู่อันดับหนึ่งสำหรับคนที่เริ่มต้นจากศูนย์ ธีลมองว่าความก้าวหน้าของเทคโนโลยีคือการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ให้แก่โลก และความก้าวหน้าในเชิงโลกาภิวัตน์เป็นการกระจายตัวของสิ่งที่มีอยู่แล้วในปัจจุบันไม่ใช่การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ เมื่อการสร้างสิ่งใหม่ที่ยังไม่เคยมีมาก่อนเป็นเรื่องยากนั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้ที่สามารถริเริ่มคิดค้นนวัตกรรมจึงประสบความสำเร็จกว่าผู้ที่เดินตามรอยคนอื่น
จุดเริ่มต้นของหนังสือเล่มนี้เกิดขึ้นในปี 2012 เมื่อเบลค มาสเตอรส์ (Blake Masters) ซึ่งเป็นนักศึกษาอยู่ที่ The Stanford Law School ได้เข้าเรียนในวิชา Computer Science 183: Startup ที่สอนโดยธีล แล้วนำแนวคิดที่ธีลอธิบายในห้องไปเผยแพร่ต่อบนอินเทอร์เน็ตจนเกิดฮิตระเบิดระเบ้อขึ้นมา ภายหลังคนทั้งคู่จึงหันมาร่วมมือกันเขียนหนังสือ Zero to One เพื่อบอกเล่าแนวคิดทางธุรกิจเปลี่ยนจากตัวเลข 0 ให้กลายเป็น 1 ในท้ายที่สุด
3. The 10% Entrepreneur
เขียนโดย แพทริค เจ แมคกินนิส (Patrick J. McGinnis)
แปลโดย สุวิดา นวมเจริญ
“จะเลือกงานประจำที่ให้เงินเดือนมั่นคงดี หรือควรจะเลือกก้าวออกมาเริ่มต้นธุรกิจเป็นของตัวเองถึงจะดีกว่า? เช่นนั้นแล้วทำไมไม่เลือกเสียทั้งสองอย่างเลยล่ะ!?” นี่คือคำโปรยที่หนังสือ The 10% Entrepreneur หรือในชื่อไทยว่า “ทำธุรกิจ เริ่มจาก 10 ให้ได้ 100” โดยสำนักพิมพ์ Shortcut ตั้งคำถามเอาไว้ได้อย่างน่าสนใจ ในสังคมที่ดูจะมีโอกาสให้ผู้เล่นหน้าใหม่ประสบความสำเร็จได้ทุกวี่วันคนส่วนใหญ่ต่างก็ฝันอยากจะมีธุรกิจเป็นของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วจะมีสักกี่คนที่สามารถเอาชนะตลาด กลายเป็นดาวดวงนั้น โดยที่ไม่ละลายเงินทุนหายไปกับโลกแห่งทุนนิยมเสียก่อน
หนังสือ The 10% Entrepreneur จึงเป็นเสมือนคัมภีร์ที่แพทริค นักพูด นักเขียน และนักลงทุนชื่อดัง เปิดเผยเส้นทางสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจโดยไม่ต้องออกจากงานประจำ โดยสิ่งที่คุณจำเป็นต้องใช้นั้นมีเพียงแค่เวลาและทรัพยากรแค่ 10% ของที่มีอยู่เท่านั้น โดยภายในเล่มยังมีการยกตัวอย่างเจ้าของธุรกิจที่เริ่มสร้างตัวในขณะที่ยังทำงานประจำอยู่ อาทิ ลุค โฮลเดน (Luke Holden) เจ้าของอาณาจักรล็อบสเตอร์โรล ซึ่งสร้างร้านนี้ขึ้นระหว่างทำงานเป็นพนักงานบริษัทธรรมดา สำหรับคนที่มีไอเดียเจ๋งๆ อยากสร้างสตาร์ทอัพเป็นของตัวเองแต่ก็ยังกลัวถ้าลาออกมาแล้วจะไม่ปลอดภัย หนังสือเล่มนี้เหมาะกับคุณแน่นอน
4.The $100 Startup
เขียนโดย คริส กิลเลอโบ (Chris Guillebeau)
แปลโดย พรเลิศ อิฐฐ์ และ มินตา ภณปฤณ
นี่คือหนังสือเล่มที่ 2 ถัดจาก The Art of Non-Conformity ของ คริส กิลเลอโบ อดีตพนักงานแพ็คสินค้าหนุ่มตัวเล็กๆ ของบริษัท FedEx ที่เริ่มต้นธุรกิจค้าขายง่ายๆ บนแพลตฟอร์ม eBay ก่อนจะลาออกมาเพื่อลงทุนทำธุรกิจเต็มตัว จากประสบการณ์จริงที่เขาได้เคยลงมือทำเองมาก่อน รวมเข้ากับบทสัมภาษณ์เจ้าของธุรกิจรายย่อยมากกว่าหนึ่งพันรายทั่วโลก หนังสือเล่มนี้จึงเป็นเหมือนบทสรุปอันเข้มข้นที่คนจำนวนหนึ่งบนโลกได้พิสูจน์แล้วว่าการเริ่มต้นธุรกิจไม่จำเป็นต้องใช้เงินทุนเยอะเสมอไป เพราะเพียงแค่เงินตั้งต้น 100 ดอลล่าร์ (หรือประมาณ 3,300 บาท) คุณก็สามารถมีธุรกิจเป็นของตัวเองได้
แนวความคิดของคริสนั้นเรียบง่ายมาก หากคุณไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นขายอะไรก็ลองเริ่มจากสิ่งที่คุณชอบหรือหลงใหลกับมันก่อน หลังจากนั้นต้องเริ่มให้เร็ว วางแผนธุรกิจออกมาเป็นขั้นๆ บนกระดาษ อย่าเพิ่งจ้างลูกจ้าง หรือลงทุนไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็น หาความต้องการจริงๆ ของลูกค้าให้เจอ แล้วขายของสิ่งนั้นให้กับพวกเขา ขอเพียงจับให้ถูกจุด ไม่จำเป็นต้องมีต้นทุนเยอะคุณก็สามารถกลายเป็นเจ้าของกิจการที่ประสบความสำเร็จได้
5. The Startup Way
เขียนโดย อีริค รีส์ (Eric Ries)
หลังจากที่หนังสือเล่มแรกอย่าง The Lean Startup ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย อีริค รีส์ ก็ได้เขียนหนังสือเล่มที่สองขึ้น โดยหลายคนกล่าวว่านี่อาจเป็นคู่มือการบริหารผู้ประกอบการ (Entrepreneurial Management) ที่ดีที่สุดเล่มหนึ่งของยุคเลยทีเดียว เนื้อหาภายในเล่มหากจะเล่าอย่างย่อก็คือแนวความคิดในการปรับเปลี่ยนองค์กรไม่ว่าจะขนาดใหญ่หรือขนาดเล็กให้สอดคล้องกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ให้มีความทันสมัยมากขึ้น และมีความยั่งยืนมากขึ้น
อีริคมองว่าไม่ว่าจะองค์กรเล็กหรือใหญ่ต่างก็จำเป็นต้องมี Mindset แบบผู้ประกอบการด้วยกันทั้งนั้น เพราะไม่มีสตาร์ทอัพเจ้าไหนที่ไม่อยากเติบโตขึ้นเป็นบริษัทที่ใหญ่กว่า แต่เมื่อบริษัทใหญ่ขึ้นแล้วก็ใช่ว่าจะใช้แนวคิดการทำงานแบบสตาร์ทอัพมาปรับใช้ไม่ได้ กลับกันการพยายามลดขั้นตอนหรือสายการทำงานให้สั้นที่สุด นำกระบวนการจัดการแบบใหม่มากผนวกเข้ากับรูปแบบเก่าๆ ให้เป็นทีมงานแบบ Cross-functional กลับจะเป็นประโยชน์ต่อองค์กรขนาดใหญ่มากกว่าการทำงานในแบบเดิมๆ ดังนั้นไม่ว่าคุณจะตั้งเป้าหมายเอาไว้ใหญ่แค่ไหน หนังสือเล่มนี้ก็ถือเป็นคู่มือการเรียนรู้การบริหารทีมและธุรกิจที่ดีมากๆ เล่มหนึ่งเลย
6. All In Startup
เขียนโดน ไดอานา แคนเดอร์ (Diana Kander)
แปลโดย นรา สุภัคโรจน์
แม้ฉากหน้าจะเป็นนิยายสุดตื่นเต้นเล่มหนึ่งแต่เนื้อในของ All In Startup คือเรื่องราวชีวิตของคนทำธุรกิจที่ ไดอานา แคนเดอร์ ผู้ประกอบการและที่ปรึกษาด้านธุรกิจสาวบรรจงเขียนเล่ามันออกมาในรูปแบบเรื่องเล่าผ่านตัวละคร ว่าด้วยชายหนุ่มที่กำลังประสบปัญหาในการทำธุรกิจ จนกระทั่งได้มาพบกับหญิงสาวคนหนึ่งในสนามโป๊กเกอร์เวิลด์ซีรีส์ ผู้จะช่วยพลิกเกมธุรกิจอันง่อนแง่นของเขาให้กลับมาผงาดได้อีกครั้ง
แม้จะบอกเล่าในรูปแบบของหนังสือนิยายแต่ต้องบอกก่อนว่าเนื้อหาด้านการทำธุรกิจที่อัดแน่นด้านในนั้นไม่ได้เข้มข้นน้อยไปกว่าหนังสือคู่มือเล่มดังๆ เลย หัวใจสำคัญประการหนึ่งที่ไดอานาพยายามสื่อสารผ่านหนังสือเล่มนี้ก็คือในการทำธุรกิจทุกครั้ง สิ่งที่ทำให้คุณล้มเหลวไม่ได้เกิดจากสินค้าของคุณไม่ดีพอ หากแต่เป็นเพราะสินค้าของคุณไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าได้ต่างหาก การทำธุรกิจไม่ใช่การเสี่ยงโชค มันไม่สามารถบันดาลให้คุณเป็นเศรษฐีได้เหมือนหน้าไพ่โป๊กเกอร์ โชคเป็นแค่องค์ประกอบเล็กๆ การศึกษาข้อมูล ทำความเข้าใจลูกค้าให้ถ่องแท้ต่างหากที่เป็นกุญแจสำคัญในการประสบความสำเร็จ
7. The Hard Thing About Hard Things
เขียนโดย เบน โฮโรวิทซ์ (Ben Horowitz)
แปลโดย วิญญู กิ่งหิรัญวัฒนา
คุณคิดว่าเรื่องที่ยากที่สุดในการทำธุรกิจคืออะไร? การตั้งเป้าหมายให้ยิ่งใหญ่? การเฟ้นหาคนทำงานที่เก่งกาจ? หรือการบริหารธุรกิจให้พุ่งทะยานจนติดอันดับ? หนังสือ The Hard Thing About Hard Things หรือในชื่อไทยว่า “เมื่อไม่มีเส้นทางที่ง่ายในการทำธุรกิจ” คือบทเรียนจริงที่ เบน โฮโรวิทซ์ นักลงทุนระดับตำนานของซิลิคอนวัลเลย์ผู้เคยล้มลุกคลุกคลานผ่านมรสุมยุคฟองสบู่แตกมาแล้ว นำความจริงถึงสิ่งที่ยากที่สุดในการทำธุรกิจมาตีแผ่
ภายในหนังสือเล่าถึงเส้นทางชีวิตของเบนตั้งแต่การเริ่มทำงานกับ Netscape บริษัทผู้ผลิต web browser คู่แข่งคนสำคัญของ Microsoft จนกระทั่งเริ่มก่อตั้งบริษัท Loudcloud ซึ่งเป็นบริการ cloud computing service เจ้าแรกๆ ของโลก จนถึงยุคตกต่ำของธุรกิจ เมื่อนั้นเบนจึงได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่ยากในการทำธุรกิจไม่ใช่การสร้างมันให้ยิ่งใหญ่ หากแต่คือการประคับประคองมันให้ยิ่งใหญ่ไปได้ตลอดรอดฝั่ง คือการต้องปลดคนออกเมื่อเป้าหมายไม่เป็นไปอย่างที่หวัง คือการจัดการกับคนเก่งที่ได้มา หรือกระทั่งคือการกล้าที่จะขายธุรกิจทิ้งก่อนที่จะไม่เหลืออะไรเลยต่างหาก
8. Disciplined Entrepreneurship
เขียนโดย บิล ออเลท (Bill Aulet)
แปลโดย วิญญู กิ่งหิรัญวัฒนา
หนังสือเคล็ดลับยอดยุทธ์คู่มือคนทำธุรกิจฉบับกะทัดรัดที่หลายคนอาจคุ้นกับชื่อ “วิชาสร้างธุรกิจฉบับ MIT” มากกว่า เพราะเนื้อหาภายในเล่มว่าด้วยบทเรียนสำคัญ 24 ขั้นตอนในการเปลี่ยนไอเดียที่มีให้กลายเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ หลักสูตรเดียวกับที่สอนใน Sloan School of Management ของ MIT บิล ออเลท ผู้เขียนคืออาจารย์ผู้สอนที่นำความรู้จากงานวิจัยและการทดลองทำธุรกิจด้วยตัวเองนานกว่า 25 ปีมาถ่ายทอดเป็นขั้นตอนสำเร็จที่สามารถนำไปใช้ได้กับธุรกิจตั้งแต่ขนาดเล็กเท่าแผงลอยไปจนถึงขนาดใหญ่เงินลงทุนเป็นหลายร้อยล้าน
ในช่วงต้นสิ่งที่บิลให้ความสำคัญที่สุดก็คือ “ลูกค้า” บิลมองว่าการเริ่มต้นธุรกิจที่ดีผู้ประกอบการควรรู้ถึงส่วนแบ่งการตลาดเสียก่อน หลังจากนั้นต้องเลือกตลาดให้ดี มีการจัดทำแฟ้มประวัติของผู้ใช้งานตัวจริงว่าลูกค้าของเราคือใคร มีพฤติกรรมอย่างไร จากนั้นต้องคำนวณขนาดตลาดทั้งหมดเท่าที่เป็นไปได้ (Total addressable market : TAM) ของตลาดหัวหาด ไล่เรื่อยไปจนถึงขั้นตอนเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ แล้ววนกลับมาที่ขั้นตอนแรกใหม่เมื่อต้องการขยายตลาดต่อยอดผลิตภัณฑ์ไปยังตลาดใหม่ สำหรับใครที่อยากเริ่มต้นธุรกิจแล้วกำลังมองหาแนวทางที่สามารถนำไปใช้ได้จริงทันที“วิชาสร้างธุรกิจฉบับ MIT” น่าจะเหมาะกับคุณ
9. The Ultralight Startup
เขียนโดย Jason L. Baptiste (เจสัน แอล. แบปทิสต์)
แปลโดย เกศสิรินทร์ ออลทรี,กานต์กัลป์ บุญเลิศเหมานนท์
“สตาร์ทอัพมือใหม่เริ่มจากศูนย์ : ไม่มีทุน ไม่มีคอนเนคชัน ก็รันธุรกิจได้” แค่อ่านคำโปรยจากปกหน้าของหนังสือ “The Ultralight Startup สตาร์ทอัพมือใหม่เริ่มจากศูนย์” เชื่อว่าหลายคนก็น่าจะเริ่มขมวดคิ้วกันบ้างแล้ว ว่าสิ่งที่เป็นเหมือนเรื่องมหัศจรรย์แบบนี้จะไปมีในโลกได้อย่างไร แน่นอนว่าความสำเร็จแบบที่สวรรค์ประทานให้ฟรีๆ นั้นไม่มีอยู่ในโลก แต่ถ้าคุณพอจะรู้เคล็ดลับความสำเร็จจากคนที่เคยผ่านมาก่อนล่ะก็เรื่องนั้นก็อาจจะพอเป็นไปได้บ้าง
เจสัน แอล. แบปทิสต์ คือนักธุรกิจผู้ก่อตั้ง Onswipe สตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายจากเงินลงทุนเพียงเล็กน้อยและการต่อสู้ด้วยตัวเองแบบที่ไม่ต้องมีประสบการณ์ หรือเรียนจบด้านการทำธุรกิจมาโดยตรง ภายในเล่มเจสันได้แนะนำทิปและทริคมากมายที่หลายคนอาจยังไม่เคยรู้ เช่น การโฆษณาตัวเองให้สื่อสนใจ รวมถึงมีการยกกรณีศึกษาขึ้นมาเปรียบเทียบให้เห็นว่าการทำธุรกิจแบบไหนที่จะพาให้องค์กรปังและแป้ก เรียกว่าเป็นอีกเล่มหนึ่งที่น่าสนใจเลยทีเดียวสำหรับผู้กำลังคิดจะก้าวสู่ธุรกิจด้านเทคโนโลยี
10. เปลี่ยนคนธรรมดา ให้มีหัวธุรกิจใน 3 ชั่วโมง
เขียนโดย ไซโตะ โคทัตสึ
แปลโดย ภาณิน เพียรโรจน์
โดยทั่วไปแล้วคนส่วนใหญ่มักจะมองว่าการทำธุรกิจเป็นเรื่องยาก เพราะต้องอาศัยทั้งความรู้ ประสบการณ์ เงินลงทุน ไปจนถึงทักษะที่สำคัญอีกร้อยแปดประการ ทว่าสำหรับ ไซโตะ โคทัตสึ ที่ปรึกษาธุรกิจอันดับต้นๆ ของประเทศญี่ปุ่นกลับยืนยันว่าการทำธุรกิจนั้นไม่ได้ยาก คนธรรมดาทั่วไปก็สามารถมีหัวคิดเกี่ยวกับธุรกิจได้ถ้าเข้าใจหลักการและวิธีคิดที่ถูกต้อง หนังสือเล่มนี้จึงเป็นเหมือนคัมภีร์ไบเบิลเบื้องต้นสำหรับคนอยากทำธุรกิจ ที่เชื่อว่าตัวเองไม่สามารถทำธุรกิจได้
โดยโคทัตสึได้รวบรวมเอาวิธีคิดต่างๆ จากทั่วโลกมาอัดแน่นไว้ในเล่มเดียว อาทิ กลยุทธ์ใช้ Brand Story มาเป็นจุดขาย เปลี่ยนความยากลำบากในการก่อตั้งธุรกิจให้มาเป็นส่วนเสริมช่วยให้แบรนด์น่าสนใจมากยิ่งขึ้น หรือการยกแนวคิดของ Google บริษัทยักษ์ใหญ่ในโลกไอทีที่ไม่ได้มองว่าจะทำอย่างไรให้ธุรกิจดีขึ้น 10% แต่มักจะท้าทายพนักงานให้ตั้งเป้าหมายว่าเราจะทำอย่างไรกันดีเพื่อให้โลกนี้ดีขึ้น 10 เท่า ถ้าวันนี้คุณกำลังคิดจะถอดใจว่าฉันอาจไม่เหมาะกับการธุรกิจก็ได้ ลองอ่านหนังสือเล่มนี้ดูแล้วคุณอาจจะเปลี่ยนใจในภายหลัง
11.Startup ideas!! ไม่เริ่มคิดใหม่ ก็เดินได้ไกลเท่าเดิม
เขียนโดย วรวิสุทธิ์ ภิญโญยาง และ วรมน ดำรงศิลป์สกุล
มาถึงหนังสือจากผู้เขียนคนไทยกันบ้าง “Startup ideas!! ไม่เริ่มคิดใหม่ ก็เดินได้ไกลเท่าเดิม” จากสองนักการตลาดชั้นแนวหน้าของเมืองไทย ในความเป็นจริงแล้วคนส่วนใหญ่ที่มีไอเดียเกี่ยวกับธุรกิจมักจะใช้เวลามากเกินความจำเป็นไปกับการฝันถึงชีวิตที่ดีมากกว่าลงมือทำให้มันเกิดขึ้นจริง หนังสือเล่มนี้จึงเป็นเหมือนมือที่มองไม่เห็นที่จะเข้ามาช่วยผลักให้คุณเริ่มต้นย่างเท้าก้าวลงสู่สนาม และเติมความกล้าให้คุณได้ลงมือทำมันจริงๆ เสียที
ผ่านเคล็ดลับการทำธุรกิจสำหรับสตาร์ทอัพเกิดใหม่ตั้งแต่เริ่มก่อร่างสร้างตัว การระดมทุน การตลาด สารพัดวิธีหารายได้ ไปจนถึงบทสัมภาษณ์ข้อมูลจริงๆ จากปากคำผู้เคยทำธุรกิจมาก่อน ธนา เธียรอัจฉริยะ อดีต CMO ของธนาคารไทยพาณิชย์ที่ผันตัวเองมาเป็นที่ปรึกษาได้เคยพูดถึงหนังสือเล่มนี้ว่า นี่คือหนังสือที่จะ “ทำให้เราพร้อมมากขึ้น ที่จะเข้าสู่สงครามไอเดียและสงครามธุรกิจ” สำหรับใครที่อยากเลิกฝันแล้วลงมือทำมันจริงๆ สักที ควรได้อ่านหนังสือเล่มนี้ก่อนทำอะไรทั้งหมด
12. Startup กับการวางกลยุทธ์บุกตลาด
เขียนโดย ศุภณัฐ สุขโข
มีคนเคยกล่าวไว้ว่า การเรียนรู้จากคนที่ประสบความสำเร็จคือทางลัดในการเรียนรู้ที่รวดเร็วที่สุด เช่นนั้นแล้วหนังสือ “Startup กับการวางกลยุทธ์บุกตลาด” ก็คือกล่องสมบัติที่รวบรวมทางลัดเหล่านั้นแพ็กมาให้ถึง 40 กว่ากลยุทธ์ในเล่มเดียว เพราะการสร้างสตาร์ทอัพให้ประสบความสำเร็จไม่ได้อาศัยเพียงปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง แต่มันมีวิถีทางซุกซ่อนอย่างมากมาย
ทำไมแค่เปลี่ยนวิธีขายสตาร์ทอัพมีดโกนหนวดก็ชิงตลาดจากยักษ์ใหญ่ในประเทศมาได้ ทำอย่างไรร้านกาแฟในจีนถึงทำรายได้หลักพันล้านในช่วงเวลาเพียงแค่ 9 เดือน อะไรที่คนอื่นมองไม่เห็น แต่ DJI มองเห็นจนสามารถก้าวเข้ามาเป็นแบรนด์โดรนอันดับหนึ่งของโลกได้ แล้วทำไมแอพข่าวที่ไม่มีแม้แต่นักข่าวเป็นของตัวเองสามารถทำรายได้มากกว่าสำนักข่าวต่างๆ รวมกันเสียอีก ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่สงสัยในเรื่องเหล่านี้และมองว่ามันน่าจะสร้างแรงบันดาลใจในการทำธุรกิจให้กับคุณได้ นี่ก็คือหนังสือที่คุณควรต้องมีไว้ในครอบครอง