สัปดาห์นี้ก็เป็นสัปดาห์ที่สามแล้ว กับกิจกรรมดีๆ ที่ส่งความรู้ไปนอกสถานที่อย่าง TK Mobile Library หนังสือเดินเท้า เรื่องเล่าเดินทาง ที่ขนความสุขไปมอบให้กับน้องๆ ณ ชุมชนหลังวัดปทุมวนาราม ในหัวข้อกิจกรรมว่า “หนังสือมีชีวิต สร้างชีวิตให้หนังสือ” โดยความร่วมมือระหว่างอุทยานการเรียนรู้ TK park และคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน 2554 จากสัปดาห์ที่แล้วที่ย้ายสถานที่มายังสนามเด็กเล่นภายในชุมชน สัปดาห์นี้ก็กลับมายังศูนย์ชุมชนหลังวัดปทุมวนารามแห่งเดิมกันอีกครั้ง คืนบรรยากาศแบบที่น้องๆ ได้มาพบกับพี่ๆ ทีมงานเป็นครั้งแรก โดยน้องๆ กลุ่มเดิมที่คุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี ทำให้ความผูกพันระหว่างพี่กับน้องสานต่อแนบแน่นกว่าเดิม
น้องๆ มีพัฒนาการในการเล่ามากขึ้น
เริ่มต้นด้วยกิจกรรมแรกอันคุ้นเคยคือให้น้องๆ ที่ยืมหนังสือไปในสัปดาห์ที่แล้วมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟังต่อ ครั้งนี้เราจึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่าน้องๆ มีพัฒนาการในการอ่านหนังสือที่ดีขึ้น สามารถเล่าให้เพื่อนฟังได้อย่างคล่องแคล่ว บทบาทของพี่ๆ ที่ช่วยอ่านก็ลดลงไป ที่สำคัญยังลดความเคอะเขินในการพูดลงไปอีกด้วย ความกล้าแสดงออกก็ได้นำออกมาใช้อย่างเห็นภาพ และหลังจากที่เล่าจบพี่ๆ ยังให้น้องที่ออกมาอ่านคิดคำถามเพื่อถามเพื่อนๆ อีกด้วย ซึ่งก็เป็นที่น่าชื่นใจว่าเพื่อนๆ ที่ฟังอยู่สามารถตอบคำถามได้ถูกต้องหมดทุกคำถาม จึงได้รับรางวัลเป็นสติ๊กเกอร์ความดีพร้อมกับของที่ระลึกอีกด้วย
หลังจากนั้นพี่ๆ จึงให้น้องๆ เตรียมความพร้อมสำหรับกิจกรรมที่จะทำต่อไปในวันนี้ด้วยการให้ร้องเพลงลมเพลมพัด และให้เป่ายิงฉุบกัน ใครที่แพ้ให้ไปต่อหลังคนชนะ เล่นกันไปเรื่อยๆ จนเหลือ 2 กลุ่มใหญ่ ก่อนจะเป่ายิงฉุบกันครั้งสุดท้ายจนได้ฝ่ายที่ชนะในที่สุด เมื่อเตรียมความพร้อมแล้วจึงแบ่งน้องๆ ออกมาเป็นกลุ่มเด็กเล็กและกลุ่มเด็กโตกันเช่นเคย เพราะกิจกรรมที่จะให้ทำแต่ในแต่ละช่วงวัยนั้นมีความเหมาะสมแตกต่างกัน
ต่ออย่างสนุกสนาน
ผลงานสุดอลังการ
ทางฝั่งกลุ่มเด็กเล็กพี่ๆ ให้น้องๆ ได้ฝึกทักษะการนับเลขและความคิดสร้างสรรค์ จากกิจกรรมที่มีกติกาว่าให้จับคู่กันและทอยลูกเต๋าขนาดยักษ์ ถ้าใครได้มากกว่าจะมีสิทธิ์หยิบชิ้นส่วนตัวต่อได้ตามเลขจำนวนที่ทอยได้ แล้วจึงนำตัวต่อนั้นมาแข่งกันต่อว่าใครจะได้ผลงานที่สวยงามและมีความคิดสร้างสรรค์มากที่สุด น้องๆ หลายคนคงคุ้นเคยกับการเล่นตัวต่อหลากชนิดมาบ้าง ซึ่งก็มีประโยชน์แน่นอนอยู่แล้ว แต่เมื่อนำกฎกติกาเข้ามาข้องเกี่ยว ทำให้น้องๆ รู้จักเรียนรู้ถึงกฎกติกาในการอยู่ร่วมกันในสังคม เพราะสังคมที่มีคนจำนวนมากจำต้องมีกฎหมายไว้ควบคุมให้สังคมก้าวหน้าต่อไปได้ กิจกรรมนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการเรียนรู้เรื่องการอยู่ร่วมกันในสังคมได้เป็นอย่างดี ต่อด้วยการเล่านิทานแบบตัวต่อตัวจากพี่ๆ ทีมงานกันอีกด้วย ซึ่งถ้าน้องคนไหนอยากฟังนิทานเรื่องไหน ก็สามารถไปหยิบหนังสือมาให้พี่ๆ เล่าได้เลย เรียกได้ว่าสมใจอยากน้องๆ กันทุกคน
รวมหัวช่วยกันแต่งนิทาน
เปลี่ยนบรรยากาศมาทางฝั่งเด็กโตบ้าง พี่ๆ ทีมงานให้น้องๆ แบ่งกลุ่มออกเป็น 5 กลุ่มใหญ่เพื่อช่วยกันแต่งนิทานออกมา 5 เรื่อง ซึ่งในการแต่งนี้ก็ไม่ได้มีข้อจำกัดหรือโจทย์ใดๆ ทั้งสิ้น เปิดโอกาสให้น้องๆ ได้ร่วมกันคิดเรื่องราวกันอย่างเต็มที่ กิจกรรมนี้เองที่จะช่วยดึงประสบการณ์จากการอ่านหนังสือหรือสิ่งที่น้องๆ ได้พบเจอมากลั่นกรองเป็นเรื่องราวในแบบฉบับของตนเอง ทักษะต่างๆ ในการเล่าเรื่องที่ได้จากการอ่านนิทานก็สามารถนำมาประยุกต์ได้อย่างเต็มที่ และเมื่อเรื่องราวจากมันสมองของน้องๆ เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง พี่ๆ จึงแจกดินน้ำมันหลากสีสันให้แต่ละกลุ่ม เพื่อที่จะได้ถ่ายทอดเรื่องราวบนแผ่นกระดาษออกมาในรูปดินน้ำมันปั้น เรียกได้ว่าเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการกันแบบสองต่อเลยทีเดียว
รวมมือช่วยกันปั้น
เวลาผ่านไปพักใหญ่ นิทาน 5 รส 5 เรื่อง ก็เสร็จสมบูรณ์พร้อมที่จะเล่าแล้ว น้องกลุ่มเด็กเล็กที่กำลังเล่นตัวต่อกันอย่างสนุกสนานก็ต้องหยุดพักไว้ก่อน เพื่อมาฟังนิทานจากฝีมือพวกพี่ๆ เด็กโตกัน
เริ่มต้นกันที่กลุ่มแรกกับนิทานเรื่อง กระต่ายน้อยกับเพื่อนทั้งสาม บอกเล่าเรื่องราวของกระต่ายน้อยตัวหนึ่งที่ออกไปชวนเพื่อนๆ สัตว์อีก 3 ชนิด ทั้ง หมี ม้า และยีราฟ ทั้งสี่ออกไปเดินเล่นกันและกินอาหารมื้อใหญ่ ก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้านอย่างมีความสุข แม้เรื่องราวของนิทานเรื่องนี้อาจจะสั้นไปสักนิด แต่ก็เป็นฝีมือของน้องกลุ่มที่อายุน้อยที่สุด ทำได้ขนาดนี้ถือว่าน่าชื่นชมมาก
กลุ่มที่สองมาเล่านิทานเรื่อง สีเขียวหายไปไหน บอกเล่าเรื่องราวของป่าแห่งที่หนึ่งที่อยู่ดีๆ สีเขียวของใบไม้หายไป หญิงคนหนึ่งที่เดินทางมาเที่ยวจึงสงสัย ก่อนไปสอบถามเอาความจากสีน้ำเงินและสีเหลือง ปรากฏว่าได้ความว่าทั้งสองสีทะเลาะกันจึงทำให้ไม่เกิดการผสมสี จึงไม่มีสีเขียวนั่นเอง หญิงคนนั้นจึงพยายามทำให้ทั้งสองสีกลับมาคืนดีกัน เพราะไม่เช่นนั้นป่านี้จะไม่มีสีเขียวทำให้สิ่งมีชีวิตอื่นๆ อดตาย เมื่อทราบเหตุผลแล้วทั้งสองสีจึงกลับมาคืนดีกัน ทำให้ป่ากลับมามีสีเขียวดังเดิม แถมตบท้ายด้วยข้อคิดดีๆ ว่าถ้าไม่มีความสามัคคีกันจะก่อให้เกิดปัญหาสังคมส่วนรวม นิทานเรื่องนี้แม้จะเป็นการดัดแปลงจากต้นฉบับที่มีอยู่แล้ว แต่ก็ถือว่าทำได้ดี เพราะมีการวิเคราะห์ข้อคิดที่ได้ออกมาอย่างชัดเจน สะท้อนถึงปัญหาในสังคมไทยตอนนี้ได้เป็นอย่างดี การเล่าก็เอ่ยด้วยวาจาฉะฉานและมีดินน้ำมันปั้นเป็นรูปต้นไม้สวยงามทีเดียว
เล่านิทานเรื่องเจ้าหญิงทั้งหก
กลุ่มที่สามมากับนิทานเรื่อง เจ้าหญิงทั้งหกพระองค์ บอกเล่าเรื่องราวของเจ้าหญิงหกพระองค์ที่อาศัยอยู่ในเมืองเชียงใหม่ ทั้งหกพระองค์มีทั้งชื่อและการแต่งกายที่แตกต่างกันมาก ต่อมาทั้งหกก็ได้อภิเษกสมรสกับเจ้าชายของทั้งหกเมืองพร้อมกันอย่างยิ่งใหญ่ หลังจากที่แยกย้ายกันไปได้ไม่นาน ก็ได้ทราบข่าวว่าพระบิดาทรงประชวรหนักและสิ้นพระชนม์ในเวลาต่อมา เจ้าหญิงทั้งหกจึงกลับมายังเมืองเชียงใหม่ เพื่อมาดูและพระมารดาเป็นอย่างดี และมาช่วยกันพัฒนาขยายอาณาเขตของเมืองเชียงใหม่ให้ยิ่งใหญ่ต่อไป นิทานเรื่องนี้สะท้อนเรื่องความกตัญญูได้เป็นอย่างดี เอกลักษณ์ของกลุ่มนี้คือมีการเก็บรายละเอียดของเจ้าหญิงแต่ละองค์ได้ชัดเจนดีมาก การเล่าก็มีสีสันกว่ากลุ่มอื่นด้วยการใช้สมาชิกในกลุ่มมาแสดงเป็นเจ้าหญิงทั้งหกพระองค์ เรียกเสียงปรบมือและเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆ ได้อย่างท่วมท้น
กลุ่มที่สี่มาแสดงผลงานนิทานเรื่อง ห้าสหายเที่ยวกรุง บอกเล่าเรื่องราวของกลุ่มเด็กชายห้าคนที่นัดกันไปเที่ยวในเมืองกรุง ระหว่างทางทั้งห้ารู้สึกหิวข้าวจึงแวะไปทานอาหารที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง แต่ราคาอาหารแพงมาก พอดีว่ามีลุงเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวใจดีให้ทานได้ฟรีจนอิ่มหนำ หลังจากนั้นทั้งห้าออกไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ ในเมืองจนเงินของแต่ละคนเหลือแค่คนละ 20 บาท จึงนั่งร้องไห้เพราะไม่มีเงินกลับบ้าน จนมีป้าคนหนึ่งผ่านมาเห็นเข้าจึงพาพวกเขากลับบ้านได้อย่างปลอดภัย เมื่อมาถึงบ้านพ่อแม่ของเด็กๆ บอกว่าจะไปไหนต้องบอกพ่อแม่ก่อน มิเช่นนั้นจะทำให้ตนเองและผู้อื่นเดือดร้อนได้ นิทานเรื่องนี้เรียกได้ว่าให้ข้อคิดเตือนใจน้องๆ วัยเดียวกันได้ดีมากทีเดียว แสดงให้เห็นถึงความคิดอ่านของน้องๆ กลุ่มนี้ที่มีจิตสำนึกที่ดีของความเป็นลูก แม้การเล่าจะติดขัดไปบ้าง แต่ดินน้ำมันที่ปั้นมาถือได้ว่าสวยงามมาก เพราะปั้นในลักษณะแบบสามมิติ ซึ่งแตกต่างจากกลุ่มอื่นมาก
กลุ่มสุดท้ายมาปิดท้ายด้วยนิทานเรื่อง พ่อแม่มือใหม่กับไข่หนึ่งฟอง บอกเล่าเรื่องราวของไดโนเสาร์ตัวหนึ่งที่อาศัยอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง วันหนึ่งก็ได้ไปพบไข่ฟองหนึ่ง จึงเก็บเอามาฟักไว้ หลายวันผ่านไปไข่ฟองนั้นก็ฟักออกมาเป็นตัว ไดโนเสาร์ตัวนั้นจึงเลี้ยงไดโนเสาร์ตัวน้อยอย่างมีความสุข นิทานของกลุ่มนี้ต้องชื่นชมในความกล้าของตัวแทนกลุ่มที่ออกมาเล่าเพียงคนเดียว แต่ก็ทำให้เพื่อนๆ สนุกสนานไปกับนิทานแฝงข้อคิดเรื่องความเมตตาเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี
เกมส่งต่อตุ๊กตาปลา
เสร็จสิ้นจากการเล่านิทานแสนสนุกจากฝีมือของน้องๆ ก็มาถึงช่วงเวลาของกิจกรรมสุดท้าย ที่ให้น้องๆ ทุกคนยืนเป็นวงกลมใหญ่ เพื่อเล่นเกมส่งต่อตุ๊กตาปลาไปรอบๆ วงในระหว่างที่เพลงกำลังบรรเลง เมื่อเพลงหยุดเมื่อไร คนที่กำลังถือตุ๊กตาปลาอยู่ต้องนั่งลงกลางวง ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนเหลือคนสุดท้ายที่ไม่ได้ถืออยู่ก็รับตุ๊กตาปลาตัวนั้นไปเลย
ปิดท้ายกิจกรรมในวันนี้ด้วยการถามความรู้สึกของน้องๆ ว่าการทำกิจกรรมตลอดวันที่ผ่านมาได้ข้อคิดอะไรกลับไปบ้าง ซึ่งพอรวบรวมได้ก็ได้ใจความว่า ได้เรียนรู้เรื่องความสามัคคี การแบ่งหน้าที่กัน การช่วยเหลือกัน ความคิดที่แตกต่างกันเมื่อนำมารวมกันก็จะกลายเป็นความคิดที่ดีได้ นั่นก็คือความเป็นประชาธิปไตยนั่นเอง สิ่งที่ได้นี้ถือว่าอิงกับกระแสเลือกตั้งที่กำลังเกิดขึ้นจริงๆ ซึ่งมีประโยชน์กับน้องๆ ที่ต้องเติบโตไปในอนาคต
ก่อนจะจากกันไปก็มีการให้น้องๆ ได้ยืมหนังสือกันเป็นธรรมเนียมกันอีกเช่นเคย ต้องมาดูกันว่าสัปดาห์หน้าน้องๆ จะมีพัฒนาในการเล่านิทานให้เพื่อนฟังมากขึ้นอีกแค่ไหน อย่าลืมติดตามภารกิจการมอบความสุขของพลพรรคความรู้ TK Mobile Library หนังสือเดินเท้า เรื่องเล่าเดินทาง กันต่อในสัปดาห์หน้า
วิชญ์พล พลพิทักษ์ชัย