ตำนานสงกรานต์ไทย
คำว่า “สงกรานต์” มาจากภาษาสันสกฤต แปลว่า ย่างขึ้น ก้าวขึ้น การย้ายที่ หรือ เคลื่อนที่ คือช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ย่างจากราศีมีนสู่ราศีเมษ
วันเนา (๑๔ เมษายน) คำว่า “เนา” แปลว่า “อยู่” หมายความว่าเป็นวันถัดจากวันมหาสงกรานต์มา ๑ วัน วันเนาเป็นวันที่ดวงอาทิตย์เข้าที่เข้าทาง ในวันราศีตั้งต้นใหม่เรียบร้อยแล้ว คือ อยู่ประจำที่แล้ว
วันเถลิงศก (๑๕ เมษายน) คือ “วันขึ้นศก” เป็นวันเปลี่ยนจุลศักราชใหม่ การที่เปลี่ยนวันขึ้นศกใหม่มาเป็นวันที่ ๓ ถัดจากวันมหาสงกรานต์ก็เพื่อให้หมดปัญหาว่าการย่างขึ้นสู่จุดเดิมสำหรับต้นปีนั้นเรียบร้อยดี ไม่มีปัญหาเพราะอาจมีปัญหาติดพันเกี่ยวกับชั่วโมง นาที วินาที ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ที่จะเปลี่ยนศกถ้าเลื่อนวันเถลิงศกหรือวันขึ้นจุลศักราชใหม่มาเป็นวันที่ ๓ ก็หมายความว่าอย่างน้อยดวงอาทิตย์ได้ก้าวเข้าสู่ราศีใหม่ไม่น้อยกว่า ๑ องศา แล้วอาจจะย่างเข้าองศาที่ ๒ หรือที่ ๓ ก็ได้
ตามจารึกในวัดพระเชตุพนฯ ได้กล่าวถึงตำนานสงกรานต์เอาไว้ว่า “ท้าวกบิลพรหมได้แพ้พนันการทายปัญหาแก่ธรรมบาลกุมาร จนต้องตัดเศียรตามสัญญา แต่เนื่องจากพระเศียรของพระองค์ตกไปอยู่ที่ใดจะเป็นอันตรายต่อที่นั้น หากตั้งไว้บนแผ่นดินจะเกิดไฟไหม้ โยนขึ้นบนอากาศฝนจะแล้ง ทิ้งลงในมหาสมุทรน้ำจะแห้ง ดังนั้น ธิดาทั้งเจ็ดจึงต้องนำพานมารองรับ และนำไปประดิษฐานไว้ในถ้ำคันธชุลี ณ เขาไกรลาส ครั้นถึงกำหนด ๓๖๕ วัน ซึ่งโลกสมมุติว่าเป็นปีหนึ่งเวียนมาถึงวันมหาสงกรานต์ เทพธิดาทั้งเจ็ดจะทรงพาหนะต่างๆ ผลัดเวรกันมาเชิญพระเศียรของบิดาออกแห่รอบเขาพระสุเมรุ”
๑. วันอาทิตย์ ทุงษะเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกทับทิม อาภรณ์แก้วปัทมราช ภักษาหารอุทุมพร (ผลมะเดื่อ) พระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงสังข์ เสด็จมาบนหลังครุฑ
นอกจากนี้ การกำหนดอิริยาบถที่นางสงกรานต์ขี่สัตว์พาหนะมา เพื่อแทนช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ยกเข้าสู่ราศีเมษด้วย
๑. ในระหว่างเวลารุ่งเช้าจนถึงเที่ยง นางสงกรานต์จะยืนบนพาหนะ มีความเชื่อว่า ปีนั้น คนจะเกิดความเดือดร้อนเจ็บไข้
๒. ในระหว่างเที่ยงจนถึงค่ำ นางสงกรานต์จะนั่งบนพาหนะ มีความเชื่อว่า ปีนั้น จะเกิดความเจ็บไข้ ผู้คนล้มตายและเกิดเหตุเภทภัยต่างๆ
๓. ระหว่างค่ำไปจนถึงเที่ยงคืน นางสงกรานต์จะนอนลืมตาบนพาหนะ มีความเชื่อว่า ประชาชนจะอยู่เย็นเป็นสุข
๔. ระหว่างเที่ยงคืนไปจนถึงรุ่งเช้า นางสงกรานต์จะนอนหลับตาบนพาหนะ มีความเชื่อว่า พระมหากษัตริย์จะเจริญรุ่งเรืองดี