|
สำนักงานอุทยานการเรียนรู้ร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติ จัดแถลงข่าวผลสำรวจการอ่านของประชากร พ.ศ. 2561 เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2562 มีการนำเสนอผลสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 55,920 ครัวเรือน ทั่วประเทศ และการจัดทำหนังสือ ‘เข็ม’ รวบรวมข้อมูลความเปลี่ยนแปลงในรอบ 10 ปีของทศวรรษแห่งการอ่าน (พ.ศ.2552-2561) ข้อมูลต่างๆ รวมถึงข้อสังเกตจากผลการสำรวจ ตลอดจนเนื้อหาในหนังสือจะทยอยนำมาลงเป็นตอนๆ ตลอดเดือนเมษายนจนถึงมิถุนายน
|
ถึงแม้ว่าการสำรวจการอ่านรอบล่าสุดนี้จะมีปริมาณผู้อ่าน (อายุ 6 ปีขึ้นไป) เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 78.8 คิดเป็นจำนวน 49.7 ล้านคน แต่ข้อมูลที่น่าสนใจยังคงอยู่ที่ตัวเลขด้านกลับคือจำนวนประชากรที่ไม่อ่าน ซึ่งมีอยู่ประมาณร้อยละ 21.2 หรือประมาณ 13.7 ล้านคน
ในกลุ่มประชากรที่ไม่อ่านเกือบ 14 ล้านคนนี้ ให้เหตุผลประการหนึ่งที่ไม่อ่านว่าเป็นเพราะไม่ชอบหรือไม่สนใจอ่าน คิดเป็นร้อยละ 25.2 หรือประมาณ 3.45 ล้านคน เมื่อจำแนกตามกลุ่มอายุ พบว่า กลุ่มเด็กอายุ 6-14 ปี มีแนวโน้มไม่ชอบอ่านลดลงชัดเจนจากร้อยละ 32.3 ในปี 2551 เหลือร้อยละ 17.9 ในปี 2561 หรือประมาณ 1.3 แสนคน ในขณะที่กลุ่มวัยรุ่นหรือเยาวชนอายุ 15-24 ปี และวัยผู้ใหญ่อายุ 25-59 ปี มีสัดส่วนไม่ชอบหรือไม่สนใจอ่านสูงมากทั้งสองกลุ่ม คือร้อยละ 34.9 และ 32.8 ตามลำดับ ส่วนผู้สูงอายุที่ไม่ชอบอ่านเพิ่มขึ้นเล็กน้อย สัดส่วนของผู้ไม่อ่านเนื่องจากไม่ชอบอ่านหรือไม่สนใจอ่านในกลุ่มอายุ 15-59 ปี ทำให้จำนวนผู้ไม่อ่านเพราะไม่ชอบหรือไม่สนใจอ่าน สูงถึง 1 ใน 4 ของประชากรที่ไม่อ่าน นั่นหมายความว่ากิจกรรมส่งเสริมการอ่านและการปลูกฝังนิสัยรักการอ่านยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ยกเว้นการรรณรงค์ส่งเสริมในกลุ่มเป้าหมายวัยเด็กที่อาจเรียกได้ว่าเห็นผลสำเร็จได้อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ควรตั้งคำถามต่อไปว่าประชากรที่อ่านเพิ่มขึ้นก็ดี หรือข้อมูลกลุ่มเด็กอายุ 6-14 ปีที่ไม่ชอบอ่านลดลงก็ดี จะถือว่าเป็นความสำเร็จได้หรือไม่ เพราะความสำเร็จของการส่งเสริมการอ่านนั้นหาใช่พิสูจน์ที่ปริมาณการอ่านเพิ่มขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงการปลูกฝังนิสัยรักการอ่านและเปลี่ยนแปลงทัศนคติต่อการอ่านไปสู่การมีพฤติกรรมการอ่านด้วย
ดังนั้น ถ้าหากการส่งเสริมการอ่านประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงตั้งแต่วัยเด็กแล้ว เมื่อเติบโตขึ้นก็ควรจะยังคงมีทัศนคติที่ดีต่อการอ่าน มีนิสัยรักการอ่าน และเป็นนักอ่านอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจำนวนผู้ไม่ชอบหรือไม่สนใจอ่านหนังสือจึงควรจะลดลงในทุกช่วงวัย แต่ข้อเท็จจริงนั้นกลับไม่ใช่ จึงนับเป็นเรื่องท้าทายทุกองค์กรและทุกหน่วยงานด้านส่งเสริมการอ่าน รวมถึงห้องสมุดต่างๆ เป็นอย่างยิ่งว่า จะร่วมกันลดปริมาณคนไม่ชอบหรือไม่สนใจอ่านในทุกช่วงวัยได้อย่างไร ไม่ใช่สนใจเฉพาะแต่เพียงวัยเด็กอีกต่อไป นี่คือโจทย์ใหม่ของการรณรงค์ส่งเสริมปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน