TK Reading Club ตอน “จอมนางจารชนหน่วย 11” เขียนโดยเซียวเซียงตงเอ๋อร์ มาพูดคุยกับคุณลี หลินลี่ นักแปลผู้แปลนวนิยายจีนมาแล้วหลายเล่ม เช่น มหายุทธ์ล้างปฐพี บุรุษบูรพา ทำเนียบหลางหยา คนท่องยุทธภพ ไหนเลยไม่โดนดาบ พร้อมร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับกลุ่มนักอ่านที่มาให้กำลังใจอย่างอบอุ่น
จุดเริ่มต้นคนรักหนังสือ
พี่ลีเล่าให้ฟังว่าเริ่มอ่านหนังสือออกก็อ่านมาเรื่อยๆ เป็นคนติดหนังสือ ไปไหนก็ต้องพกหนังสือและชอบดูหนังดูซีรี่ส์มาตลอด ส่วนใหญ่เป็นทางฝั่งจีนกับฮ่องกง เช่น เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้
นักเขียนและหนังสือในดวงใจ
พี่ลีเผยว่านักเขียนที่ชอบที่สุดต้องยกให้ “โกวเล้ง” ส่วนนักเขียนอื่นๆ ที่ชอบก็มีอีกมากมาย เช่น ปิยะพร ศักดิ์เกษม ประภาส ชลศรานนท์ ทมยันตี ส่วนหนังสือที่ชอบจะเป็นนวนิยายแปลจีนกำลังภายใน เช่น ฤทธิ์มีดสั้น ชอลิ้วเฮียง ของโกวเล้ง นอกจากนี้พี่ลียังเสริมว่าเป็นคนชอบดูซีรี่ส์ ก็จะตามอ่านนิยายที่นำมาสร้างเป็นซีรี่ส์ด้วย
สู่โลกของภาษา (จีน)
พี่ลีกล่าวว่าตนจบปวส.ด้านพาณิชย์ เมื่อเรียนจบก็ไปทำบริษัทหนังสือ แล้วมาเปิดร้านขายหนังสือของตัวเอง จากนั้นก็เริ่มเรียนภาษาจีนตอนอายุประมาณสามสิบกว่า เรียนเพราะชอบหนังจีน ดูซีรี่ส์ F4 แล้วเกิดแรงบันดาลใจอยากเรียน ประกอบกับคลั่งไคล้ภาษาจีนจึงสมัคร โดยเรียนหลักสูตรปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยภาษาและวัฒนธรรมปักกิ่ง (BLCU) ที่โรงเรียนอัสสัมชัญพาณิชยการ ซึ่งเป็นสถาบันของมหาลัยปักกิ่ง เมื่อเรียนปริญญาตรีจบก็เปิดคอร์สสอนภาษาจีน ต่อมาเมื่อมีเวลาว่างก็เริ่มแปลซับจีนในภาพยนตร์ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะแปลนิยายได้ เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะเก่งขนาดนั้น
จากการแปลภาพยนตร์สู่นวนิยาย
พี่ลีเล่าว่าเริ่มเข้าสู่วงการแปลจากคุณอรจิรา ผู้แปลนวนิยายเรื่องเจาะมิติพิชิตบัลลังก์ ชักชวนให้มาแปลนวนิยายกับสำนักพิมพ์สยามอินเตอร์บุ๊คส์ พี่ลีจึงได้แปลเรื่องแรกคือมหายุทธ์ล้างปฐพี
พี่ลีเผยว่าแปลหนังสือยากกว่าซีรี่ส์มาก เพราะซีรี่ส์เห็นภาพ ส่วนการแปลนวนิยายก็แปลแต่ละเรื่องไปเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับต้นฉบับ แต่สมัยนี้ง่ายขึ้นเพราะเราสามารถค้นกูเกิลได้ โดยเฉพาะสุภาษิตจีนก็เปิดเว็บไป่ตู้ (เว็บไซต์เสิร์ชเอนจินของจีน)
วิธีการทำงาน
พี่ลีกล่าวว่าเริ่มแปลตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงสองทุ่ม เพราะช่วงแรกยังไม่คล่องก็ต้องทุ่มเทมาก เหนื่อยมาก พอปรับตัวได้ว่าลักษณะของนวนิยายเป็นแบบนี้ก็ปรับเวลา
พี่ลีเล่าย้อนไปว่าสมัยขายหยังสือก็ขนหนังสือเองยกเองขายเอง ส่งผลให้สุขภาพร่างกายแย่ ประกอบกับเป็นคนเครียดและมีวินัยว่าวันหนึ่งต้องแปลได้เท่าไหร่ พอไม่ถึงตามที่ตั้งใจไว้ก็จะทำต่อ ทำให้มีปัญหาด้านสุขภาพคือปวดหลัง ต่อมาคิดได้ว่าอยากทำงานตรงนี้นานๆ จึงพยายามปรับตัวและจะทำงานแปลไปเรื่อยๆ จนกว่าจะไม่มีคนอ่าน หรือสุขภาพร่างกายไม่ไหว
วิธีการแปล
พี่ลีเล่าว่าวิธีการแปลของพี่ลีเริ่มจากการอ่านคร่าวๆ เล็กน้อยแล้วแปลเลย ประกอบกับอ่านรีวิวกับวิจารณ์ หรืออ่านสปอยล์ก่อนเพราะถ้าอ่านหนังสือทั้งเล่มแล้วค่อยแปลจะช้าและเสียเวลามาก
ถึงตรงนี้มีผู้ฟังถามว่าพี่ลีเคยแปลภาษาอังกฤษหรือแปลจีนอย่างอื่นที่ไม่ใช่นวนิยายหรือไม่ พี่ลีตอบว่าไม่เคยแปลภาษาอังกฤษ เคยแปลแต่ภาษาจีน และไม่เคยแปลบทความวิชาการเพราะไม่กล้ารับ งานล่ามก็ไม่รับเพราะไม่ถนัดพูด
ด้านการแปล พี่ลีเสริมว่าพยายามแปลตามไวยากรณ์จีนหรือแปลตามสำนวนจีน ถ้าแปลตรงตัวได้แล้วผู้อ่านเข้าใจก็จะคงไว้ แต่บางสำนวนที่ผู้อ่านไม่เข้าใจก็ต้องปรับ โดยเมื่อแปลแล้วจะลองให้พี่ที่ไม่รู้ภาษาจีนอ่านก่อน ถ้าไม่เข้าใจก็ต้องปรับเป็นไทย แต่ถ้าเข้าใจก็คงไว้เปนเสน่ห์ นอกจากนี้ยังใช้วิธีใส่เชิงอรรถบ้าง แต่พยายามไม่ใส่เพื่อไม่ให้เป็นภาระคนอ่าน
นอกจากนี้ จะพยายามไม่ใส่ความคิดตัวเอง ถ้าต้นฉบับใช้คำเรียบง่ายเราก็ต้องเรียบง่าย เราไม่มาตัดสินหรือรู้สึกขัดใจว่าเขียนไม่ดี ให้คนอ่านตัดสินเอง
ท่องยุทธภพ : สไตล์การแปลที่ใช่
พี่ลีเล่าว่าสำนักพิมพ์เลือกแนวที่เหมาะกับเรามาให้แล้วเพราะไม่ใช่ทุกคนเหมาะกับทุกสไตล์ โดยพี่ลีถนัดแนวท่องยุทธภพหรือต่อสู้ ตอนนี้กำลังแปลเรื่อง “คนท่องยุทธภพ ไหนเลยไม่โดนดาบ” เป็นแนวพีเรียด เบาๆ อ่านสบายๆ ตัวละครหญิงนำเหมือนเดิม แปลมาจากสำนวนจีนที่มีความหมายทำนองว่า ท่องยุทธภพ อย่างไรก็ต้องเจ็บตัว เพราะนางเอกคิดว่าฉันจะท่องยุทธภพอย่างไม่เจ็บตัว
รักแล้วต้องทุ่มเท
พี่ลีเล่าว่าตนเป็นคนที่อินมาก ถ้าฉากขำก็นั่งหัวเราะ ถ้าเศร้าก็นั่งร้องไห้คนเดียว เวลาถึงฉากต่อสู้ก็ต้องลุกขึ้นมาทำท่าประกอบเพื่อเช็กดูว่าแปลถูกต้องแล้วหรือไม่
นอกจากนี้พี่ลียังเสริมว่า แต่เดิมตนเปิดเพจแปลซับซีรี่ส์หนังจีน แต่เมื่อหันมาแปลนวนิยายจีนก็เลิกทำไปเลยเพราะไม่อยากทำงานสองสามอย่างงานสอนภาษาจีนก็เลิกไปเหมือนกัน คือสอนเฉพาะเด็กที่เหลืออยู่ให้จบ เพราะมาแปลนิยายเต็มตัว
จอมนางจารชนหน่วย 11
พี่ลีเกริ่นเล่าว่าแนวเรื่องของจอมนางจารชนหน่วย 11 คือ นวนิยายรัก แม้จะโหดเลือดสาดแต่ก็กล่าวได้ว่าเป็นนวนิยายรัก เขียนโดยเซียวเซียงตงเอ๋อร์ เป็นเรื่องราวของนางเอกคือฉู่เฉียว เป็นจารชนหญิงกำลังปฏิบัติภารกิจอยู่บนเฮลิคอปเตอร์แล้วตกลงไป จากนั้นวิญญาณก็ไปเข้าสิงในร่างเด็กหญิง แต่ไม่ได้บอกว่าย้อนเวลาไปในช่วงการศึกในอดีตอย่างไร นางเอกจึงกลายเป็นผู้ใหญ่ในร่างเด็ก ซึ่งคนแต่งอาจจะอยากฉีกแนวที่นางเอกทะลุมิติแล้วเก่งด้วยสมอง แต่นางเอกเก่งด้วยอาวุธเนื่องจากเป็นจารชนหญิงมาก่อน
ส่วนด้านการแปลพี่ลีกล่าวว่าแปลตามต้นฉบับ ไม่เติมแต่ง แต่มีการตัดบ้างตามความล่อแหลม เช่น น้องของนางเอกถูกส่งไปหอคณิกาก็มีฉากความรุนแรงทางเพศ จึงต้องเกลาออกบ้าง
หนังสือ vs ซีรี่ส์
พี่ลีเล่าว่าเท่าที่ดูในซีรี่ส์ 16 ตอน ซีรี่ส์ลืมแก่นของเรื่องคือ จารชนหญิงในยุคปัจจุบันพลีชีพเพื่อชาติแล้ววิญญาณย้อนอดีตไปสิงเด็กเจ็ดขวบ แม้จะงง ๆ แต่ก็ต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดก่อนตามสัญชาตญาณ ช่วงที่สองคือสู้เพื่อปณิธานในยุคศักดินา คือไม่ทนการกดขี่ อยากเปลี่ยนแปลงสังคมไปสู่ความเสมอภาคโดยมีความแค้นของเยียนสวินเป็นตัวผลักดัน ช่วงที่สามคือสู้เพื่อสหายรัก เพื่อรักษาบัลลังก์ และสู้เพื่อพระเอก
พี่ลีเสริมว่าในเรื่องมีตัวละครหลายตัวที่ดูน่าจะเป็นพระเอก ทำให้มีการลงเรือผิดลำ (หมายถึงเดาและเชียร์พระเอกผิดคน) ส่วนใครเป็นพระเอกมีสปอยล์แล้วในซีรี่ส์ นอกจากนี้ในหนังสือภาคแรกเป็นเรื่องการเมืองในแคว้นคล้ายๆ พรรคการเมือง มีการต่อสู้ระหว่างรัฐมนตรี และระหว่างแคว้นเหมือนปัญหาการเมืองโลกที่ต่อสู้กันแย่งชิงอำนาจ แต่ในซีรี่ส์เน้นเรื่องรักเอาใจตลาด อย่างไรก็ตาม เมื่อซีรี่ส์ฉายก็ทำให้มีคนอ่านหนังสือมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ทางการจีนได้สั่งห้ามการทำซีรี่ส์ย้อนเวลาเนื่องจากมีเด็กอ่านแล้วอินมากจึงฆ่าตัวตายเพราะอยากย้อนเวลา ทำให้เวอร์ชั่นซีรี่ส์ต้องเล่าเรื่องไปแล้วหลายตอนโดยไม่บอกว่านางเอกอยู่ในยุคอดีตได้อย่างไร นางเอกก็กลายเป็นสายลับไป
ตัวละครที่ชอบ
พี่ลีเล่าว่าตัวละครที่ชื่นชอบทั้งในนวนิยายกับซีรี่ส์คือ เยียนสวิน เพราะเป็นตัวละครที่ลึกเหมือนคนจริงๆ ทั้งความโกรธความแค้นเหมือนจริง ขณะที่พระเอกสมจริงน้อยกว่า เช่น ตอนที่พระเอกตามช่วยนางเอกหรือตอนรักนางเอกมันไม่สมจริง ไม่รู้ไปรักกันตอนไหน นอกจากนี้ตอนช่วงปลายเหมือนเนื้อเรื่องหายไป คนเขียนไม่ได้เล่า สองปีผ่านไปกลายไปเป็นเจ้าแคว้นได้อย่างไรไม่ทราบจึงไม่เชื่อ
อุปสรรคการแปล
พี่ลีกล่าวว่าอุปสรรคด้านการแปลมีเยอะ เนื่องจากเป็นเรื่องสเกลใหญ่ ตัวละครเยอะ ชื่อแคว้นเยอะ พี่ลีได้ฉบับไต้หวันมา เรียบเรียงไม่ค่อยดี จึงไปเอาของจีนมาอ่านดู แต่อาการกลับหนักกว่า จึงไปอ่านในอินเทอร์เน็ตที่คล้ายการลงนวนิยายในเว็บเด็กดี ต้องเทียบถึงสามเวอร์ชั่น คนเขียนบางทีก็หลุดบ้างเพราะมันเยอะมาก สลับชื่อ สลับกองทัพ สลับตระกูล ต้องมีสมาธิในการแปลมากๆ ทำให้เวลาแปลต้องทำผังตระกูล ฉบับต้นฉบับก็เรียบเรียงไม่ดี เช่น ตัดฉากหนึ่งออกไปแล้วลืมตัดตัวละครในฉากต่อไปออก เนื่องจากคนแต่งเรื่องนี้อายุยี่สิบกว่านิดๆ ทำให้มีความติดๆ ขัดๆ ตกหล่นมาแต่แรก แต่โครงเรื่องใหญ่มากและวางดี ใช้ตัวอักษรหนึ่งล้านตัวจีน ถือว่าเยอะมาก เขียนแนวบู๊เลือดสาดและย้อนยุค ซึ่งตอนนี้เรื่องย้อนยุคฮิตมาก
พี่ลีเสริมว่าเทียบกับการแปลเรื่องแรก เรื่องแรกถือว่าไม่ยากมากแต่ยังไม่มีประสบการณ์ ส่วนเล่มนี้เรียบเรียงผิดเยอะแต่มีประสบการณ์มาแล้ว อย่างเช่นเรื่องบุรุษบูรพา ทำเนียบหลางหยา เขียนดี โครงเรื่องดี แต่สำนวนยาก ส่วนเรื่องจอมนางจารชนหน่วย 11 ฉากเลือดสาดเยอะแต่มันก็วนเวียนแค่หัวขาด สมองไหล ฉากซ้ำๆ แปลไม่ยาก แต่สเกลใหญ่ ถึงกับเก็บไปฝัน กลัวว่าจะแปลตกหล่นหรือแปลผิด เพราะเคยผิดจากเรื่องบุรุษบูรพาฯ ซึ่งต้นฉบับผิดแต่เราก็เสียใจที่ผิด ต้องตามไปบอกนักอ่านในกรุ๊ป
นวนิยายจีนในปัจจุบัน
พี่ลีเล่าว่านวนิยายจีนปัจจุบันฮิตเรื่องการท่องยุทธภพและเรื่องย้อนยุค อย่างจอมนางจารชนหน่วย 11 ถือเป็นนวนิยายจีนสมัยใหม่ เพราะตัวละครหลักเป็นความคิดของคนสมัยใหม่ ไม่ได้คิดแบบคนโบราณ เป็นสาเหตุของ “การย้อนยุค” เพราะคิดแบบคนในอดีตไม่ได้ แต่คิดแบบคนปัจจุบัน จึงต้องย้อนไป ส่วนในด้านของกลุ่มนักอ่านก็เปลี่ยนไป คือมีผู้หญิงมากขึ้น ไม่ได้มีแต่ผู้ชายแล้ว และคนอ่านหนังสือเยอะขึ้นกว่าอดีต
ฝากนักอ่านที่อยากเริ่มอ่านนวนิยายแปลจีน
พี่ลีแนะนำว่าหากอยากอ่านนวนิยายแปลจีนให้อ่านเล่มบางๆ เล็กๆ ก่อนเพื่อให้คุ้นสำนวน แต่ละคนสำนวนก็ต่างกัน ไม่ได้คล้ายๆ กัน
ฝากนักแปลนวนิยายจีนในอนาคต
พี่ลีฝากว่าผู้ที่อยากแปลนวนิยายจีน ก่อนอื่นคือต้องเรียนภาษาจีน และการเรียนภาษาจีนต้อง “มีเวลา” และ “มีความอดทนสูง” ต้อง “ฝึกทุกวัน” ถ้าไม่ฝึกทุกวันจะไม่มีวันเก่ง พี่ลีเสริมว่าแม้แต่ตนเองทุกวันนี้แทบเขียนไม่ได้แล้ว อ่านได้อย่างเดียว ถ้าฝึกจนอ่านได้ 2,500 ตัวก็อาจอ่านหนังสือพิมพ์ได้แล้ว ภาษาจีนมีเป็นหมื่นๆ ตัว แต่มีหลายตัวไม่ค่อยได้ใช้
พี่ลีแนะนำทริคคือ เมื่อเรียนเบื้องต้นไปจนจำได้ 500 ตัวแล้ว ให้ลองดูซีรี่ส์จะเริ่มฟังออกนิดหนึ่ง คุณจะดีใจมากและมีกำลังใจ
นอกจากนี้ พี่ลียังกล่าวอีกว่า ถ้ารู้ภาษาจีนแล้ว เรียนแล้วจะเอามาทำอะไร อยากทำงานอะไร ขึ้นอยู่กับงานมากกว่า อย่าลืมว่าคนจีนเรียนภาษาไทยก็มีเยอะ ถ้าบริษัทจีนมาเปิดเขาจะเลือกใคร ระหว่างคนไทยเรียนจีนกับคนจีนเรียนไทย เว้นแต่มาแปลภาษาจีนก็ยังได้อยู่ ตอนนี้นิยายแปลจีนบูมมาก หรือหากอยากจะเป็นอาจารย์ก็ต้องมีใบวุฒิอาจารย์อีก ถ้าไปเรียนจีนก็ได้แต่ภาษาจีน หรือไม่ก็เปนล่าม ดังนั้นต้องดูด้วยว่าอยากเรียนมาทำอะไร
ส่วนผู้ที่อยากเป็นนักแปลนวนิยายจีน เมื่อเรียนภาษาจีนไปแล้วให้อ่านด้วยแปลด้วยก็ช่วยให้เราแปลได้ดีขึ้น นักแปลก็เหมือนอาจารย์ที่ช่วยให้เราเก็บเกี่ยวความรู้ อ่านนิยายแปลฝรั่งด้วยก็ได้ พยายามอ่านงานแปลแบบกว้างๆ
คำแนะนำสำหรับนัก (อยาก) แปล
พี่ลีมีคำแนะนำสำหรับนัก (อยาก) แปล ดังนี้
1. มีวินัย ไม่เอ้อระเหยเพราะสำนักพิมพ์มีเวลากำหนด คุณจะทำงานที่บ้านกี่โมงก็ได้แต่ต้องกำหนดไว้แล้ว
2. นอกจากใจรักต้องมี “ใจเหล็ก” เพราะยุคโซเชียลกระแสวิจารณ์เยอะ ต้องใจรัก
3. ขยันหาความรู้เพิ่มเติม อ่านหนังสือให้มากที่สุดเท่าที่คุณจะอ่านได้ ลองฝึกแปลออนไลน์ก็ได้ เพราะสามสี่ปีแล้วที่คนจีนฮิตอ่านนวนิยายออนไลน์มากกว่า
นอกจากนี้นักแปลเป็นอาชีพที่โดดเดี่ยว อยู่คนเดียวหลังคอมพ์เป็นสิบๆ ปี ต้องไม่ใช่แค่เก่งอย่างเดียว ส่วนนักแปลบางคนที่ทำงานประจำแล้วมาแปลนวนิยายต่อน่านับถือมากเพราะเหนื่อยมาก และต้องมีใจรักจริงๆ
อย่างไรก็ตามพี่ลีก็ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่สนับสนุนให้ได้ทำงานที่รักและมีเพื่อนเพิ่มมากขึ้น โดยปัจจุบันนี้พี่ลีได้เปิดเพจเฟซบุ๊กไว้พูดคุยกับบรรดานักอ่านอีกด้วย
Chestina Inkgirl