ความคิดและความเชื่อเกี่ยวกับความรู้ ผู้สอน ผู้เรียน ห้องเรียน และวิธีการเรียนรู้ ล้วนมีทฤษฎีและแนวคิดทางการศึกษาซ่อนอยู่เบื้องหลัง การจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนนั้นคือรูปธรรมของความเชื่อหรือแนวความคิดเหล่านั้น หากต้องการแก้ไขปัญหาการศึกษาด้วยการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวิธีการเรียนการสอน จึงต้องขุดลึกลงไปเปลี่ยนกระบวนทัศน์เดิมอันผิดรูป ซึ่งเป็นเสมือนสิ่งที่อยู่ใต้ภูเขาน้ำแข็งอันเป็นฐานรากของปัญหาที่แท้จริง
สุชิน เพ็ชรักษ์ อดีตครูชำนาญการพิเศษ กศน. ภาคเหนือ จังหวัดลำปาง ผู้มีความเชี่ยวชาญด้านกระบวนการเรียนรู้แบบ Constructionism มีบทบาทสำคัญในการบุกเบิกเผยแพร่องค์ความรู้ดังกล่าวมาตั้งแต่ยุคแรกเริ่มจนกระทั่งถึงปัจจุบัน เป็นวิทยากรและผู้ให้คำปรึกษาแนะนำแก่องค์กรทั้งสถาบันการศึกษาและภาคเอกชน ภายหลังเกษียณอายุราชการยังคงทำงานเกี่ยวกับกระบวนการสร้างองค์ความรู้ในชุมชน ร่วมกับฝ่ายวิจัยเพื่อท้องถิ่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)
นี่คือผู้รู้เรื่องการศึกษาเรียนรู้ตามแนวทาง Constructionism ในระดับลึกซึ้งมากที่สุดคนหนึ่งของประเทศ... readWORLD ภูมิใจที่ได้สัมภาษณ์ ‘ครูสุชิน’ และขอนำเสนอบางเศษเสี้ยวของมหาสมุทรความรู้อันกว้างใหญ่ ซึ่งใครที่ได้รู้จักและนำแนวคิดนี้ไปปรับใช้ล้วนพูดตรงกันว่า “เรียนรู้ได้ไม่มีวันจบ”
จุดเริ่มต้น Constructionism ในประเทศไทย
เมื่อปี 2539 ซึ่งเป็นช่วงที่สังคมไทยเริ่มปรับตัวเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์และสารสนเทศ ได้เกิดวงเสวนาอย่างไม่เป็นทางการว่าด้วยปัญหาการศึกษา และทักษะการใช้เทคโนโลยีกับบุคลิกลักษณะนักเรียนไทยที่ไม่กล้าถาม ไม่กล้าคิด ไม่กล้าแสดงออก โดยมีนักวิชาการด้านการศึกษาและบุคลากรจากภาคเอกชนเข้าร่วมหลายท่าน อาทิ ดร.พารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา และ ดร.คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา สืบเนื่องจากงานเสวนาดังกล่าวได้มีการเชิญนักการศึกษาสายปัญญานิยม ซีมัวร์ แพเพิร์ต (Seymour Papert) จากมหาวิทยาลัย MIT ให้เดินทางมาเยี่ยมชมโรงเรียนที่มีชื่อเสียงหลายแห่งและร่วมวิเคราะห์ปัญหาการศึกษาของไทย นับจากนั้นเป็นต้นมาทฤษฎีการเรียนรู้เพื่อสร้างสรรค์ด้วยปัญญา (Constructionism) จึงได้เข้ามาเผยแพร่ทดลองใช้ในเมืองไทย
“สิ่งที่ ซีมัวร์ แพเพิร์ต มองเห็นก็คือโรงเรียนของเราเป็นโรงเรียนสำหรับสอน (School for teaching) ไม่ใช่โรงเรียนสำหรับการเรียนรู้ (School for learning) บางโรงเรียนมีอุปกรณ์และเทคโนโลยีการเรียนรู้ที่ทันสมัยครบครัน แต่มันถูกใช้เพื่อการเรียนการสอนตามหลักสูตร เด็กได้เรียนคอมพิวเตอร์แค่สัปดาห์ละ 2 ชั่วโมง เรียกว่าดื่มน้ำแก้วหนึ่งยังไม่ทันดับกระหายก็หมดเวลาแล้ว และการศึกษาของเราเน้นไปที่การทำตาม เน้นไปที่วิธีการแก้ปัญหาที่ครูกำหนด เด็กไม่มีโอกาสที่จะแก้ปัญหาด้วยตัวเอง
“เขาบอกว่าทาง MIT ไม่สามารถจะมาชี้ได้ว่าประเทศไทยควรทำอะไร คนไทยต้องคิดเอง สิ่งที่ควรจะทำเราก็ทำอยู่เยอะแยะแล้วและไม่สามารถละทิ้งได้ แต่เรื่องที่ไม่ควรทำคือทำไปแล้วไม่ได้ส่งเสริมให้เด็กกล้าคิดกล้าแสดงออกก็ต้องเลิกเสียบ้าง และต้องเปลี่ยนทัศนะความเชื่อ (mindset) ของนักการศึกษาไทยซึ่งมีความอนุรักษ์นิยมสูงพอสมควรในระดับปฏิบัติการ”
(ซ้ายไปขวา) ศาสตราจารย์ซีมัวร์ แพเพิร์ต ดร.คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ดร.พารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา
นักการศึกษากลุ่มแรกๆ ที่นำแนวคิด Constructionism เข้ามาทดลองใช้ในไทย
ประภาคารทางปัญญา
ในระยะแรกมีการเผยแพร่ทฤษฎี Constructionism ให้กับกลุ่มนักการศึกษากลุ่มเล็กๆ ชื่อ ‘โครงการประภาคาร’ (Lighthouse Project) ซึ่งดำเนินงานนำร่องโดยการจัดอบรมให้กับบุคลากรของ กศน. เนื่องจากมีการวิเคราะห์แล้วว่าโรงเรียนเป็นสถานที่ที่มุ่งเน้นเรื่องการเรียนการสอน อาจไม่สามารถบ่มเพาะแนวคิดดังกล่าวให้งอกงามได้เท่าที่ควร ในขณะที่ กศน. มุ่งเน้นกระบวนการเรียนรู้เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ ซึ่งผู้ที่พลาดโอกาสทางการศึกษาจำเป็นจะต้องเรียนรู้และลงมือปฏิบัติด้วยตนเองเป็นส่วนใหญ่
“ผมเป็นคนหนึ่งที่ได้เข้าร่วมการอบรมที่ กศน. เชียงรายในครั้งนั้น ซึ่ง ซีมัวร์ แพเพิร์ต มาเป็นวิทยากรเองร่วมกับลูกศิษย์ที่กำลังทำปริญญาเอก เครื่องมือที่ใช้ก็คือโปรแกรม Micro Lego ซึ่งเป็นการสร้างหุ่นยนต์โดยป้อนคำสั่งเข้าไปในชิ้นส่วนตัวต่อ และการทำนิตยสารอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Magazine)
“เขามาสาธิตการป้อนคำสั่งนิดๆ หน่อยๆ แล้วให้เราลองทำเองอยู่สองวัน ส่วนตัวเขาบินไปกรุงเทพฯ พอกลับมาก็ไถ่ถามความคืบหน้าและชวนให้สะท้อนผลการเรียนรู้ (Reflection) ตอนนั้นก็...งง! รู้สึกแย่มากเลย ไม่เคยเจออะไรอย่างนี้มาก่อน
“เพราะที่ผ่านมาเราเข้าใจว่าการอบรมก็คือต้องมีวิทยากรมาบรรยาย คอยตอบคำถาม แต่พอวิทยากรไม่อยู่ก็ไม่รู้จะถามใคร ก็ต้องทำเอง ดูคนอื่นบ้าง หารู้ไม่ว่านั่นแหละเป็นสิ่งแวดล้อมในการเรียนรู้ ถ้าคุณไม่ลงมือทำคุณจะรู้ได้อย่างไร ถ้าทำไม่ได้ก็ลองดูลองถามคนอื่นสิ อย่านั่งอยู่เฉยๆ จบด็อกเตอร์จะไปรู้อะไรนักหนา คนอื่นอาจจะรู้มากกว่าเราก็ได้ มันเป็นแค่เรื่องของอัตตา”
กระบวนการเรียนรู้ที่ต้องการ “พี่เลี้ยง” มากกว่า “ครู”
กระบวนการเรียนรู้ที่เน้นการลงมือทำและสร้างความรู้ด้วยตนเอง ไม่อาจเกิดขึ้นได้ในชั้นเรียนที่ครูเป็นผู้กุมความรู้เอาไว้ผู้เดียว และป้อนความรู้นั้นให้นักเรียนทุกคนพร้อมๆ กันในแบบเดียวกัน แต่จำเป็นจะต้องอาศัยผู้ที่ช่วยสร้างสิ่งแวดล้อมให้เหมาะแก่การเรียนรู้ ซึ่งเรียกว่าเป็นผู้อำนวยความสะดวกหรือพี่เลี้ยง (Facilitator)
“พี่เลี้ยงจะเป็นคนที่คอยจุดไฟเติมพลังให้คนเกิดความคิดว่าอยากจะทำอะไร ถ้าไม่มีความคิดโครงงานก็ไม่มีความหมาย Facilitator ที่ดีจะหยิบฉวยเครื่องมืออะไรมาใช้ก็ได้ ในโลกยุคไอซีทีเขาก็ควรจะใช้เครื่องมือที่ทันสมัย เขาจะต้องช่วยให้ผู้เรียนสามารถสร้างโลกการเรียนรู้ของตัวเอง คนที่จะสร้างอะไรขึ้นมาได้จะต้องมีโลกของตัวเอง เพื่อจะดื่มด่ำกับสิ่งที่คิดและสิ่งที่ทำ ในขณะเดียวกันก็เปิดตัวเองออกไปแลกเปลี่ยนกับคนอื่นอย่างเป็นกัลยาณมิตร”
บ่อยครั้งที่มีการจัดอบรมความรู้หรือจัดกิจกรรมดูงานกรณีศึกษาที่ประสบความสำเร็จจากกระบวนการเรียนรู้แบบ Constructionism แต่ผู้อบรมหลายคนกลับประสบความล้มเหลวในการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ สาเหตุสำคัญก็เนื่องมาจากวงการการศึกษาไทยยังขาด Facilitator ที่ดี ที่จะช่วยเป็นพี่เลี้ยงและให้คำแนะนำกับผู้ที่ทำงานในระดับปฏิบัติได้อย่างเพียงพอ เพราะการอบรมหรือดูงานนั้นเป็นเพียงกระบวนการขั้นแรกๆ เท่านั้น เมื่อจะเข้าสู่การลงมือปฏิบัติจริงยังจำเป็นต้องอาศัยพี่เลี้ยงคอยให้คำปรึกษาอย่างต่อเนื่อง
“เท่ากับว่าพวกเขาต้องเริ่มจากศูนย์ อบรมดูงานกลับไปก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อ เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีพี่เลี้ยงการเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นไม่ได้ แล้วถามว่ามีหน่วยงานราชการไหนบ้างที่จะรับเป็น Facilitator ...ไม่มี เพราะการพัฒนาพี่เลี้ยงขึ้นมานั้นยากมากๆ เขาต้องมาเป็นผู้ช่วยในการจัดอบรม ช่วยสาธิตงานและจัดกระบวนการ หลังจากจบงานในทุกๆ วันจะต้องมานั่งถกกันต่ออย่างจริงจังอีกอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง ว่าบรรยากาศการเรียนรู้เป็นอย่างไร สังเกตว่าผู้เรียนแต่ละคนเป็นอย่างไร มีอะไรบกพร่องบ้าง และในวันต่อไปควรจะต้องเติมเต็มตรงไหน จึงถือว่าเป็นการเคี่ยวกรำเพื่อพัฒนาตนเองที่เหนื่อยสาหัส”
จุดประกายจากจุดเล็กๆ
ภายหลังจากโครงการประภาคาร ต่อมาได้มีการก่อตั้งโรงเรียนแนว Constructionism ขึ้นมาโดยเฉพาะ คือโรงเรียนดรุณสิกขาลัย ซึ่งครูทุกคนในทุกชั้นเรียนใช้ทฤษฎีนี้ในการจัดการเรียนการสอน แม้จะดูเหมือนว่า Constructionism เป็นทฤษฎีที่ตอบโจทย์ความท้าทายของสังคมศตวรรษที่ 21 และเป็นที่รู้จักในเมืองไทยระดับหนึ่งมานานถึง 20 ปีแล้ว แต่การนำแนวคิดนี้ไปประยุกต์ใช้ก็ยังอยู่ในวงจำกัด แม้แต่องค์กรที่เคยนำแนวคิดดังกล่าวไปประยุกต์ใช้จนประสบผล ก็ยังจำเป็นต้องอาศัยปัจจัยหลายด้านเพื่อที่จะยังคงรักษากระบวนการเรียนรู้เช่นนั้นไว้ได้ เช่น การสนับสนุนของภาคเอกชน ความเข้าใจของผู้บริหารที่หมุนเวียนมาดำรงตำแหน่งตามวาระ รวมทั้งการทำงานอย่างต่อเนื่องของผู้นำและผู้ประสานงาน
“ตอนนี้วัฒนธรรมองค์กรมันไม่เปลี่ยน สิ่งแวดล้อมในการทำงานไม่เปลี่ยน ในระดับใหญ่ขึ้นมากระทรวงศึกษาธิการมีงบประมาณมากก็จริง แต่ว่ามีโรงเรียนถึง 30,000 กว่าแห่ง เหมือนคนมีลูกมากก็ได้เงินไปคนละเล็กละน้อย ถ้าจะทำพร้อมกันทุกแห่งก็เป็นไปได้ยาก และยิ่งหากมีการตีความไปอีกว่า โรงเรียนแบบ Constructionism จะต้องมีคอมพิวเตอร์มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยก็ยิ่งไม่รู้ว่าจะเอาเงินมาจากไหน มันจึงยังไม่สามารถเป็นการศึกษากระแสหลักของไทย คนที่ทำได้จึงเริ่มต้นทำในระดับที่ไม่ใหญ่โต ถ้าใหญ่ไปแล้วมันจาง เหมือนกาแฟจางไปก็ไม่อร่อย ไม่ได้เป็นเป้าหมายที่คนอยากจะไปถึง”