อบและนวดด้วย Feeling & Rhythm : สูตรลับห้องเรียนขนมปังสองวันของ ‘ครูแป้น’ พัชรบูรณ์ ด่านโพธิวัฒน์
25 เมษายน 2565
210
หากว่านี่คือขนมปังก้อนแรกในชีวิต
ลองจินตนาการถึงขนมปังที่ออกมาจากเตาอบร้อนๆ มีควันบางๆ ส่งกลิ่นหอมไปทั่วบ้าน พอกัดชิมคำแรกก็รับรู้ได้ถึงความสุขที่ไม่รู้ว่าจะสรรหาคำไหนมาอธิบาย ทั้งหมดนี่คือ ขนมปังก้อนแรกในชีวิตที่คุณทำเองกับมือ โดยเริ่มต้นด้วยความสนุก เก็บเกี่ยวความรู้จากผู้รู้คนอื่นๆ ผ่านหนังสือหลายร้อยเล่ม พร้อมๆ กับการเดินทางเรียนรู้ด้วยตัวเอง
‘ครูแป้น’ พัชรบูรณ์ ด่านโพธิวัฒน์ เจ้าของห้องเรียนขนมปังทำเอง เล่าถึงการเรียนรู้การทำขนมปังของตัวเองว่าเริ่มต้นด้วยการอยากลองแล้วเกิดเป็นความสนุก นำไปสู่การต่อยอดความรู้ให้กับตัวเองด้วยการอ่านหนังสือที่เรียกว่าครู เพื่อหาข้อบกพร่องแล้วปิดข้อผิดพลาด ก่อนจะลองมือทำ… ซ้ำแล้วซ้ำเล่า อ่านแล้วอ่านอีกอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ครูแป้นบอกว่าอบขนมปังก็เหมือนแต่งเพลง เพลงจะเพราะ ดนตรีต้องดี คนร้องเข้าจังหวะ ขนมปังก็เช่นกัน โดยเฉพาะห้องเรียนขนมปังสองวัน (ก็เป็น) ของครูแป้น ต่างจากที่อื่นซึ่งสอนนานกว่านั้น
เพราะเคล็ดวิชาของครูแป้นคือ Feeling กับ Rhythm
“ความรู้สึกกับจังหวะที่เราเอามาใช้ได้อย่างแม่นยำ” ขออนุญาตเฉลยสูตรแค่นี้ แต่มีคำตอบแน่ๆ ตั้งแต่บรรทัดล่างเป็นต้นไป
ก่อนสร้างห้องเรียนขนมปังทำมือ ครูแป้นทำอะไรมาก่อน
เราเรียนเป็นนักออกแบบผลิตภัณฑ์ Industrial Design แต่พอทำงานจะไปหนักที่งานขาย ขายงานออกแบบ ซึ่งก็ทำอยู่ที่เดียวไม่ได้ไปทำที่ไหน แต่ตัวเองวางแผนชีวิตว่าเราคงไม่ทำงานจนเกษียณ เพราะเราจะไม่มีแรงทำสิ่งที่เหลือ สิ่งที่เราชอบทำคืออยากไปอยู่ชนบท ฝันเลยว่าเราอยากไปอยู่แบบเรียบๆ ง่ายๆ ได้ใช้ชีวิตทำเกษตรอินทรีย์ แต่พอในความเป็นจริงมันไม่ได้ง่ายอย่างฝันเรา
โชคดีที่พื้นที่หมู่บ้านทำแปลน community เดิมบ้านหลังนี้มีที่แค่ 30-40 ตารางวา แต่พอปี 2540 เพื่อนเกิดวิกฤติ เขาเลยขาย เราก็ได้มา 30 แปลง กลายเป็น 150 ตารางวา (หัวเราะ) ซึ่งเราเอาตรงนี้เป็นพื้นที่ทดลองตัวเองว่าไอ้ฝันเพ้อเจ้อของเราเนี่ยมันใช่เราหรือเปล่า เราฝันว่าอยากทำเกษตร เรารู้จักมันหรือเปล่า เราอ่านหนังสือแล้วเราเข้าใจการเติบโตของเมล็ดพันธุ์ไหม รู้จักดินไหม รู้จักระบบนิเวศไหม
เราทดลองทำอยู่ใต้ถุนบ้าน 7 ปี เด็กโรงเรียนรุ่งอรุณก็เดินมาเรียนกัน ทำให้เรากลายเป็นครูแบบไม่ได้ตั้งใจในช่วงนั้น พาเด็กเรียนรู้เรื่องไส้ดงไส้เดือน ปุ๋ยต่างๆ นานา เรารู้สึกว่าการอยู่กับเด็กมีความสุขมาก คือแววตาของเขา เรารู้ว่ารักการเรียนรู้ บอกตรงนั้นมีงูยังจะไปหางู (หัวเราะ) ชอบมาก
เรารู้สึกว่าการสอนแต่ละวัยก็ไม่เหมือนกัน วัยป.2 น่ารักสุด ทุกคนมีคำถามหมด แววตาแบบโลกนี้มันโอ้โห น่าเรียนรู้ไปหมดทุกอย่าง ให้ทำอะไรทำหมด ขยันขันแข็ง แต่พอวัยรุ่นอีกแบบเลย จะมาเป็นชมรม มาเม้าท์กันอย่างเดียว ไม่ได้สนใจที่เราสอนหรอก เราก็บอก เธอเลือกมาชมรมปลูกผักปลูกหญ้ากันทำไม เขาก็บอกว่าจะได้ออกนอกโรงเรียน จะได้คุยกับเพื่อนต่างห้อง เราก็ อ๋อ เหรอจ๊ะ (ยิ้ม)
แล้วเราถามว่าอยากทำอะไร อ๋อ อยากทำกับข้าว เราก็เลยรู้สึกว่าการเรียนมันเริ่มต้นที่เราไม่ได้หรอก เราต้องดูลูกศิษย์ของเรา (หัวเราะ) เขามีใจพร้อมจะเรียนกับเราหรือเปล่า การปลูกผักมันไม่ใช่ง่ายๆ เขาก็วัยรุ่นที่อยากเม้าท์ไม่ได้อยากปลูกผัก พอเราจับจุดได้ว่าเขาอยากทำกับข้าว เราบอกถ้าอย่างนั้นเราก็มาทำกับข้าวกัน แต่ต้องปลูกผักก่อนนะ
วิธีการสอนของครูแป้นเน้นเรื่องอะไรเป็นสำคัญ
เราใช้นักเรียนเป็นตัวตั้งในการสอน ใครอยากทำอะไรเสนอคนละเมนูเลย แล้วทุกอาทิตย์ก็จะเวียนเอากับข้าวมาทำ ซึ่งการสอนวัยรุ่นสนุกมาก เราได้คิดอะไรที่มันออกไปนอกกรอบ พอเขาปลูกผักเสร็จมีผลผลิต งั้นเราจะต้องแพ็กผักไปขายที่โรงเรียน พาเขาออกแบบโลโก้แล้วตั้งชื่อผักแต่ละกลุ่ม ทำให้มันสนุก ให้เขาทำหลายๆ อย่าง สารพัดสารเมนู ฝรั่ง ญี่ปุ่น เกาหลี
แล้วไม่มีเมนูไทยเลยเหรอจ๊ะ เราถาม งั้นครูรักษาสิทธิ์ (หัวเราะ) เราขอไทย 1 เมนูทำห่อหมกปลา โอ้โห สนุกกันใหญ่ ได้นึ่งปลา ได้ก่อไฟ (หัวเราะ) บางคนไม่อยากทำกับข้าวก็ไปก่อไฟ เฝ้าถ่าน
วิธีที่เราสอน เรารู้สึกว่าจะเอาใจเขามาเรียนได้ต้องสร้างอะไรขึ้นมาให้เขารู้สึกน่าสนใจ อันนี้คือสิ่งที่ได้ฝึกการเป็นครูในระยะเวลา 7 ปี อยู่กับเด็กวัยต่างๆ ม.ปลายก็อีกแบบหนึ่ง ทุกช่วงวัยเนี่ยมันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จนมาถึงห้องเรียนขนมปังก็เป็นผู้ปกครองมาผลักดันให้เราเปิดสอน
ห้องเรียนขนมปังทำมือเกิดขึ้นได้อย่างไร
ขายขนมปังที่ร้าน Green Smile หน้าหมู่บ้านอยู่ 1 ปี พอเข้าปีที่ 2 เรารู้แล้วว่าการขายเป็นยังไง มันเหนื่อย เอาแค่สนุกๆ รู้สึกเมามันพอแล้ว
พอเราเลิกขาย ผู้ปกครองรุ่งอรุณที่เราเป็นคนสอนลูกเขาปลูกผัก จะชอบมาอุดหนุนขนมปังเราเพราะเขากินแล้วติดใจ เขาบอกว่า พี่ต้องสอนแล้วแหละ หนูจะได้ไปทำกินเอง พอได้ยินคำว่าสอน ดิฉันก็เครียดเลย ดิฉันจะสอนเฉพาะพวกเธอเหรอ แล้วจะสอนก็ต้องเป็นเรื่องเป็นราว มันก็จะต้องทำหลักสูตร ทำสถานที่ สองเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราไม่มีประสบการณ์
ถ้าจะสอนก็มานั่งคิดว่า เอ๊ะ สอนวันเดียวสงสัยจะยาก เลยไปดูหลักสูตรคนอื่น โอ้โห เขาเรียนกันยาวนานมาก ยาวนานแบบนี้ฉันไม่ใช่โรงเรียน เอาแค่นี้สอน 2 วันก็แล้วกันเป็นห้องเรียน เลยได้ใช้ชื่อว่าห้องเรียน สอนทีไม่น่าจะเกิน 5 คน
ให้เพื่อนเรียนออกแบบช่วยออกแบบโต๊ะว่า โต๊ะไม่ต้องใหญ่ เวลาเลิกทำมันจะได้ขนกลับบ้านง่ายๆ ทำเป็นโต๊ะตัวหนึ่งเรียน 6 คน เรียนได้อย่างมาก 5 บางคนมาขอ 6 บอกไม่ได้ค่ะ ดิฉันได้แค่ 5 เพราะดิฉันต้องยืนด้วย รวมเป็น 6
พอสถานที่แคบ เราก็ดีไซน์ เอาตรงกลางทำร่องแล้วกั้นจะได้ไม่ล้ำกัน อันนี้เพื่อนช่วยคิด ที่วางขวดน้ำ วางตาชั่ง ลิ้นชักไว้เก็บของหน่อยเพราะห้องมันแคบอันนี้ก็เพื่อนช่วยคิด เพราะเขารู้ว่าทำเบเกอรี่มันจะต้องมีอะไรบ้าง โต๊ะนวดที่เป็นพื้นหินมีที่วางเตา ค่อยๆ คิดไปเพราะว่าเราเคยทำขายที่บ้านอยู่ปีหนึ่ง เรารู้ว่ามันต้องมีอะไรบ้าง
2 วันที่เรียนทำขนมปังกับครูแป้นต้องเรียนอะไรบ้าง
เราแบ่งการสอนเป็น 2 วัน วันแรก 1 เมนู วันที่ 2 ทำ 2 เมนู วันแรกให้เลือกโหมด Basic วันที่ 2 Advance ได้ 2 เมนูเพื่อจะให้เขาได้ทบทวน วันที่ 2 เราก็จะได้ดูด้วยว่าเขาเข้าใจจากวันแรกไหม
เราเอาประสบการณ์ที่สอนเด็กมา 7 ปีมาปรับใช้ ยิงคำถามไป ดิฉันรู้เลยคนนี้ทำกับข้าวกินเองไหม งานฝีมือทำบ้างไหม เป็นคำถามที่เราจะรู้ว่าเขามีทัศนคติยังไง และเรียนเพื่ออะไร มาเรียนเพื่ออยากจะไปทำกินเองในครอบครัว หรือเรียนเพื่ออยากขาย ถ้าบอกอยากขายเนี่ยคุณต้องทำการบ้านเยอะแล้ว พอรู้ว่าคนไหนอยากขาย เราก็บอกคนนั้นว่าพูดกับคนเยอะๆ คุณต้องกลับไปทำเยอะๆ ถี่กว่าคนอื่น อยากเรียนอะไรก็บอกมา
จุดเริ่มต้นการขนมปังกินเองเริ่มจากอะไร
จริงๆ ไม่คิดจะทำหรอก ไม่ชอบกินด้วย แต่ลูกชายบ้าพลังต้องกินแป้งก่อนออกกำลังกาย เขาก็ซื้อขนมปังใส่เต็มตู้เย็นเลย (หัวเราะ) เรารู้ว่าขนมปังพวกนี้มันปนเปื้อนเยอะมาก ทั้งขั้นตอนการทำ การเร่งขนมปังให้ขึ้น รู้สึกเป็นห่วงถ้าลูกกินอย่างนี้แย่แน่ ด้วยความหวังดี เราก็เริ่มหัดทำขนมปัง อย่างน้อยก็ให้ลูกกิน นี่คือจุดเริ่มต้นเลย
ทำอยู่ได้เดือนหนึ่ง อาจารย์รัศมีเพื่อนบ้านบอก โหย พี่แป้นขนมปังไม่ต้องไปใช้เครื่อง แกก็บอกให้ใช้มือไปเลย แต่แกไม่ได้สอนนะ มือไปเลยแล้วยังไงล่ะ ดิฉันก็ต้องไปร้านหนังสือสิคะ ไปซื้อหนังสือฝรั่งมาดู bread ที่มันทำด้วยมือ ก็ใช้หนังสือเป็นครู คือไม่ได้คิดจะทำให้มันดีเด่ก็ทำให้ลูกกิน ลูกกินง่ายอยู่แล้ว ไม่บ่น ทำยังไงเขาก็กิน
จะทำขนมปังหนึ่งก้อนได้ต้องเข้าใจพื้นฐานอะไรก่อนลงมือทำ
พอเริ่มเรียนขนมปังเราก็ไม่คิดว่ามันยากหรอก แค่ไม่อยากไปเรียน ไม่อยากเจอรถติด แล้วก็ไม่ได้คิดว่าจะเอาดีอะไรกับมันมาก แค่อยากให้ลูกทานของที่ปลอดภัยเท่านั้นเอง
แต่พอทำแล้วสนุก มีคนเชิญชวนให้ไปวางขายหน้าหมู่บ้านรู้สึกสนุกดี พอสนุกปุ๊บก็อยากลองทำขนมอบอื่นๆ แต่ก็ไม่ชอบเพราะว่ามันไม่เหมือนทำขนมปัง มันพลิกแพลงไม่ได้ เล่นมากกับมันไม่ได้ เช่น คุณทำคุกกี้ คุณจะใส่ของเหลวให้เยอะขึ้นเนี่ย ไม่ได้นะ มันจะเละเทะบีบไม่ได้ แต่ขนมปังเนี่ยสบาย มันจะ error บ้างนิดหน่อย แต่กลับมาได้ถ้าเราเข้าใจ ทำแรกๆ ก็ผิดๆ ถูกๆ ทำออกมาขนมปังแข็งโป๊ก
บางทีออกมาก็ โอ้โห ทำขนมปังอะไรวะ เราก็มาอ่านทบทวนหาข้อผิดพลาดต่างๆ แล้วก็พัฒนาปรับไปเรื่อยๆ จนเข้าใจว่าหัวใจมันอยู่ตรงไหน หัวใจมันคือการเทน้ำ น้ำคุณต้องแม่นยำตั้งแต่แรก เหมือนเราหุงข้าวเลย หัวใจคือข้าวเก่า ข้าวใหม่ คุณต้องรู้ ข้าวสายพันธุ์นิ่มหรือแข็ง คุณต้องรู้ ปริมาณน้ำจะทำให้ข้าวคุณดี
ขนมปังก็เหมือนกันเลย น้ำเป็นตัวที่จะทำให้ขนมปังนุ่มหรือไม่นุ่ม เพราะเราอ่านประวัติขนมปังฝรั่งเศสแล้วก็ทึ่ง basic มี 4 อย่าง แป้ง เกลือ ยีสต์ น้ำ ขนมปังอื่นๆ โชคุปัง ที่มันแตกแขนงไปญี่ปุ่น เกาหลีนั่นเป็นจริตที่เราไปปรุงแต่งมันให้อร่อยขึ้น ใส่เนย ใส่นม เติมน้ำตาล
ก็ศึกษามันว่า แป้งเป็นยังไง เกลือเป็นยังไง น้ำเป็นยังไง ยีสต์มันก็จะแบ่งเป็นยีสต์สด ยีสต์แห้ง ยีสต์แบบหมัก พอเข้าใจมันแต่ละอย่างเราก็ arrange ให้มันเหมือนเพลง มันจะสวย มันก็เป็นดนตรีดี บทเพลงเพราะ คนร้องเข้าจังหวะ
แล้วจังหวะการทำขนมปังของครูแป้นเป็นอย่างไร
การทำขนมปังเอามาใช้แค่ 2 ตัวคือ Feeling กับ Rhythm ความรู้สึกกับจังหวะที่เราเอามาใช้ได้อย่างแม่นยำแล้วก็ฝึกฝนบ่อยๆ ฝึกฝน ฝึกฝน จนปิดข้อบกพร่อง ทุกอย่างมันก็เหมือนกัน คือเราเอาใจลงไปเรียนรู้กับมัน อย่างจับขนมปัง น้ำขนาดนี้ คุณต้องอย่างนี้ คุณจะเข้าใจจังหวะเองว่าจะช้าจะเร็วตรงไหน
เหมือนเราทำกับข้าวแล้วเข้าใจว่า ถ้าผักแข็งคุณจะเลือกลวกก่อนแล้วค่อยมาผัด หรืออยากจะทำให้ผักมันกรอบ เราก็ต้องน็อกน้ำเย็น อันนี้เป็นรายละเอียดที่เราเรียนรู้แล้วเอามาจัดการทุกอย่าง ก็เป็นอย่างนี้เหมือนกันหมด
ถ้าเราตั้งใจกับมันมากพอเราก็จะหาข้อบกพร่องมันเจอ เช่น เรารู้สึกว่ามันไม่ดี มันไม่ดีอะไร มันไม่ดีที่เราเติมน้ำผิด หรือมันไม่ดีที่เราอบไฟแรงไป มันต้องหาข้อบกพร่อง
เราบอกนักเรียนทุกคนเลยว่าเรียนแค่วันเดียวคุณทำขนมปังได้ แต่คุณต้องกลับไปฝึก Practice to the perfect ถ้าคุณไม่ practice and practice คุณจะ perfect ไม่ได้ คนอื่นเรียนกันเป็นปี แต่ดิฉันเรียนวันสองวันอย่างนี้เป็นไปได้ไง ดังนั้นเวลาที่คุณต้องลุกขึ้นมาจัดการอะไรด้วยตัวเองจึงสำคัญที่สุด
ปลุก Feeling กับ Rhythm ในตัวคุณขึ้นมา ปลุกด้วยการทำบ่อยๆ อย่างน้อยต้องอาทิตย์ละครั้ง มันจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าคุณไม่จัด schedule การเรียนรู้ให้ตัวเอง ถ้าคุณอยากจะเรียนรู้อะไรก็แล้วแต่ คุณต้องมีเวลาเรียน มีชั่วโมง practice จาก beginning intermediate advance มันจะไปเรื่อยๆ ขนมปังก็เหมือนกัน
เวลาครูแป้นมองเห็นความผิดพลาดในการทำขนมปัง ครูแป้นมีวิธีการจัดการมันอย่างไร
ตอนหัดทำขนมปังใหม่ๆ เวลาทำผิดมันทำให้เราบาดเจ็บมาก ไหล่ แขนเดี้ยงไปเลย เพราะเราเทน้ำผิดแล้วไปขยำไปนวด มันก็ยิ่งใช้แรงเยอะ พอใช้แรงเยอะมันก็จะบาดเจ็บสิคะ ฉะนั้นเราต้องทบทวนใหม่ว่าทำไมเราบาดเจ็บขนาดนี้ ถ้าเราไม่ทบทวนเราก็อาจจะท้อ ไม่เอาแล้ว ขี้เกียจทำ ไม่ดีก็ไม่ดีวะ ช่างหัวมัน แต่ถ้าเรารู้สึกว่าเราต้องผิดอะไรสักอย่าง เราหาไม่เจอก็ต้องหาให้มันเจอให้ได้
สิ่งที่เราทำคือกลับไปอ่านใหม่ โดยเฉพาะด้านหน้าของหนังสือทุกเล่ม ซึ่งคนไม่ค่อยอ่าน แต่ด้านหน้ามันคือหัวใจ ส่วนใหญ่คุณมักจะเข้าไปดูเลยว่าสูตรนี้มันทำยังไง เมื่อก่อนเราก็เป็นอย่างนั้นแต่พอเรากลับไปอ่านใหม่ เห้ย เขาพูดหมดเลยว่ะ ถ้ามันเป็น fresh yeast ถ้าไอ้ยีสต์ใช้ครึ่งหนึ่งของไอ้นี่นะ ไอ้นี่มันควรจะเป็นแบบนี้ เราก็ อ๋อ หนังสือฝรั่งเขียนบอกว่าพอใส่น้ำลงไปในแป้งแล้วคน แต่เราเสือกขยำ (หัวเราะ)
เขาไม่พูดคำว่าขยำ เราก็มา อ๋อ เราผิด พอเรารู้ เราเริ่มลงมือใหม่ ไม่ขยำ โอ้โห ดีเว้ย ไม่เจ็บเลย ขนมปังก็ออกมาดี งั้นแสดงว่าที่เราทำมาปีหนึ่งเนี่ยผิดหมด
หนังสือน่ะเราสนใจเล่มไหนก็หยิบขึ้นมาเล่มหนึ่งแล้วอ่าน อ่านบทที่เขา intro ทั้งหมด เราจะหาข้อบกพร่องเราเจอ เพราะแต่ละคนก็จะมีประสบการณ์ไม่เหมือนกัน คือหนังสืออ่านแล้วก็อ่านอีกได้ บางทีอ่านไอ้ตรงนี้ไม่เจอคำนี้ มาอ่านเจออีกทีว่าผิดอะไรในอีกเล่ม อ่านเล่มนู้นเล่มนี้ ด้านนี้นิดด้านนั้นหน่อย แล้วก็มาแก้ไขตัวเอง
แล้วเราก็ต้องเอาตัวเราเข้าไปเรียนรู้สิ่งที่เราอยากจะรู้ มันเป็นไปไม่ได้ที่อ่านอย่างเดียวแล้วไม่ลองทำ มันก็เพ้อๆ ไป อย่างเราอ่านปรัชญามันก็ต้องคิด แต่อันนี้คือความคิดจากประสบการณ์ที่เขาสรุปมาให้แล้วผ่านการปฏิบัติการมาแล้วทั้งหมด ทุกอย่างมันต้องปฏิบัติไม่ว่าจะการเมือง สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม มันผ่านมาให้เห็นหมดแล้ว ขนมปังก็ต้องเหมือนกัน มันต้องผ่านประสบการณ์จริง
ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองถึงจะเข้าใจ ใช้คำนี้ได้ไหม
เราไม่ถึงกับรู้ด้วยตัวเองนะ (นิ่งคิด) เพราะว่าประสบการณ์คนอื่นน่ะเยอะ ประสบการณ์ของเราเจอประสบการณ์ของเขาจะถอดมาให้ตัวเราเองได้หรือเปล่า เราไม่ใช่ผู้วิเศษที่เรียนอะไรก็ได้ จริงๆ เรามาต่อยอดทั้งนั้น พอเอามาต่อยอดมันไม่ได้มีอะไรใหม่ในโลกนี้เลย
เราหยิบหนังสือมา 20 เล่ม ก็ 20 ประสบการณ์ของผู้คน เพียงแต่เราได้หัวใจของคนนั้นตรงไหน คนนี้ตรงไหน แล้วเรายังอ่อนด้อยอะไรตรงไหนก็เสริมเข้าไป คือประสบการณ์เรียนรู้น่ะ รู้แค่ว่ามันไม่ใช่ของเรามันของคนอื่นเขา
แล้วหัวใจสำคัญที่ครูแป้นได้จากการทำขนมปังคืออะไร
เออ... รู้สึกว่าไม่น่าเชื่อว่ามันทำให้เรากลับมาดูแลตัวเอง เพราะก่อนจะสอน สุขภาพคุณต้องดีเพราะถ้าไม่ดีคุณจะยืนพูดไม่ได้นานขนาดนั้น ใช้ทั้งเสียง ใช้ทางร่างกาย รู้สึกว่าการทำอะไรที่รัก เราจะกลับมาดูแลตัวเอง
ทุกเช้าดิฉันต้องโยคะ หรือชี่กง ต้องยืดหยุ่นร่างกายก่อนสอน เพราะเรามีสอนทุกอาทิตย์ระหว่างอาทิตย์เนี่ยเราได้ดูแลร่างกายแล้ว พอดูแลร่างกายดีเรารู้สึกเราแจ่มใส เรายืดหยุ่นดี สมองเราฉับไว พอลุกขึ้นมาทำขนมปังมันทำให้อื่นๆ ดีขึ้นเพราะเราดูแลตัวเอง ถ้าจะเรียนรู้อะไรต่างๆ มันต้องใช้กายไปเรียน ใช้กายไปทำ เพราะฉะนั้นกลับมาดูแลตัวเอง เมตตาตัวเอง รักตัวเองเป็น
พอรักตัวเองเป็นมันจะรักคนอื่นเป็นด้วยนะ เรารู้สึกเขาอุตส่าห์เสียเวลามาเรียน เสียเงินมาเรียน เราก็อยากทุ่มเทให้เขาเต็มที่ เพราะเขาจะได้กลับไปทำต่อ ทำขนมปังให้ตัวเองมันก็เบิกบานนะ ทุกคนแฮปปี้ เวลาเราทำอะไรกินด้วยตัวเองมันชื่นมื่น ลูกกินสดใส คืออะไรที่มันเข้าปากโดยผ่านคนที่เรารักมันก็เบิกบานไปหมดน่ะ เรารู้ที่มาของมันว่า เออ เราใช้ของดีนะ ผ่านกระบวนการที่ดี กินแล้วแฮปปี้ล่ะ (หัวเราะ)
บทสัมภาษณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม Learning Designer โดยความร่วมมือระหว่างอุทยานการเรียนรู้ TK Park ร่วมกับ Deep Academy |