“ดอกไม้แต่ละชนิดผลิบานในฤดูกาลของมันเอง
ตอนนี้อาจยังไม่ถึงช่วงเวลาของคุณ
อาจสายไปหน่อยเมื่อเทียบกับคนอื่น
แต่ถ้าฤดูนั้นมาถึง คุณจะงดงามไม่แพ้ดอกไม้ชนิดอื่น
ดังนั้นในช่วงเวลาที่รอคอย จงเตรียมตัวให้พร้อม”
- เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด : คิมรันโด -
โวหารการเปรียบเทียบชีวิตคนประหนึ่งดอกไม้ในธรรมชาติ ที่ต่างรอคอยเวลาอันเหมาะสมของตนเอง ได้กลายเป็นหนึ่งในประโยคในดวงใจของใครหลายต่อหลายคนไปทั่วโลก คือเนื้อหาที่ปรากฏในหนังสือ “เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด” โดย คิมรันโด อาจารย์ประจำภาควิชาการบริโภค คณะคหศาสตร์ มหาวิทยาลัยโซล ได้ออกสู่สายตานักอ่านชาวเกาหลีใต้เป็นครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2554 สร้างปรากฏการณ์ขายได้กว่า 1 ล้านเล่มภายในระยะเวลาเพียง 8 เดือน ก่อนจะได้รับการแปลเป็นอีกแปดภาษาไปทั่วโลก และได้รับการตีพิมพ์ในประเทศไทยกว่า 35 ครั้ง
จากจุดเริ่มต้นของความตั้งใจในฐานะพ่อ ผู้ต้องการเขียนหนังสือให้ลูกชายซึ่งอยู่ในช่วงวัยเปลี่ยนผ่านได้อ่านเพื่อเรียนรู้ถึงธรรมชาติความเปลี่ยนแปลงของชีวิต รวมเข้ากับเรื่องราวจากบรรดาลูกศิษย์ที่มักจะมาปรึกษาตนถึงความกังวลในวันที่พวกเขาใกล้จะจบการศึกษา จนออกมาเป็นเรื่องราว 4 บทที่ชวนให้นักอ่านทุกคนได้ตั้งคำถามสะท้อนตัวตน สร้างมุมมองใหม่ รวมถึงเรียนรู้ที่จะยอมรับธรรมชาติของความเปลี่ยนแปลงในชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับวัยรุ่น ในวันที่ชีวิตของพวกเขายังเต็มไปด้วยคำถาม ท่ามกลางแรงกดดันจากสังคมที่คอยผลักดันให้ต้องเติบโตกลายเป็นผู้ใหญ่ในเร็ววัน
วรรคทองนี้มาจาก “ฤดูกาลที่ตัวคุณผลิบาน” หนึ่งใน 4 บทสำคัญของหนังสือเล่มนี้ โดยคิมรันโดเล่าถึงดอกไม้แต่ละชนิดในธรรมชาติที่ล้วนแตกต่างกัน ซึ่งจะผลิบานในฤดูกาลของมันเอง เปรียบเทียบกับชีวิตคนเราที่ล้วนแตกต่าง ที่วันนี้อาจจะยังไม่ใช่วันของเรา เพราะแท้จริงแล้วมันเป็นเรื่องของฤดูกาลชีวิตที่ยังมาไม่ถึงมากกว่า หากมันยังมาไม่ถึงในวันนี้ก็ไม่เป็นไร หน้าที่ของเราคือใช้ชีวิตต่อไปให้ดีที่สุด และจงเตรียมพร้อมเสมอในวันที่ฤดูกาลของเรามาถึง
ในสังคมปัจจุบันที่เต็มไปด้วยแรงกดดันและการแข่งขัน รวมทั้งบรรทัดฐานต่าง ๆ ที่สังคมคาดหวังให้เราทุกคนต้องเป็นไปอย่างนั้นอย่างนี้ เพื่อที่จะได้รับการยอมรับว่าประสบความสำเร็จแล้ว ไม่ว่าจะเป็นต้องเรียนให้เก่ง ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ยังไม่รวมถึงค่านิยมเรื่องความก้าวหน้าทางอาชีพการงาน ที่นับวันอายุความสำเร็จจะยิ่งสั้นลงทุกที สิ่งที่ “ฤดูกาลที่ตัวคุณผลิบาน” บอกทุกคนคือ เราจำเป็นต้องเร่งรีบขนาดนั้นไปเพื่ออะไร ในเมื่อชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกันอยู่แล้ว มาตรวัดความสำเร็จแต่ละคนก็ยิ่งไม่เท่ากัน เรายังไม่ถึงฝั่งฝันในวันนี้ก็ไม่เป็นไร อนาคตเรายังมีวันต่อ ๆ ไปให้ไขว่คว้าฝันนั้นอยู่ ความสำเร็จของชีวิตควรเป็นสิ่งที่เรานิยามได้ด้วยตนเอง ไม่ใช่มาจากสิ่งที่คนอื่นบอกให้เราเป็น
"เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด" เปรียบเสมือนคู่มือชีวิตของเหล่าวัยรุ่นที่ได้ชื่อว่าเป็นวัยแห่งการค้นหาตัวเอง คอยพูดคุยกับคุณในวันที่ท้อแท้ สับสน สิ้นหวัง และเจ็บปวด ซึ่งสิ่งที่คุณเจอในแต่ละหน้าจะไม่ใช่คำตอบแบบสูตรสำเร็จชีวิตในพริบตา แต่ทุกประโยคที่ผ่านสายตาเรียกได้ว่าล้วนเป็นบทเรียนสำคัญให้กับการเติบโตของชีวิตทุกช่วงวัยได้อย่างแน่นอน
“คนที่รู้จักชัยชนะและความพ่ายแพ้
รู้จักการถอยหนีและการหลั่งน้ำตา
จะเติบโตเป็นคนได้โดยสมบูรณ์
ถึงแม้ร้องไห้ก็ไม่เป็นไร แต่นายต้องก้าวต่อไปให้ได้”
- ONE PIECE : เออิจิโระ โอดะ -
คำพูดในใจของ ‘แชงคูส’ โจรสลัดผมแดงที่มีต่อลูฟี่ ด้วยความปรารถนาดีว่าเขาจะได้เรียนรู้สัจธรรมชีวิตจากการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของ ‘เอส’ โจรสลัดผู้เปรียบเสมือนพี่ชายแท้ ๆ ของตนเอง ที่นับว่าเป็นการสูญเสียคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งในชีวิตของโจรสลัดหมวกฟางคนนี้เลยก็ว่าได้
ในงานศพของโจรสลัดหนวดขาวและเอส ระหว่างเดินทางกลับแชงคูสได้นึกถึงโจรสลัดหนุ่มหมวกฟางที่เขาเดิมพัน “อนาคต” ของโลกโจรสลัดเอาไว้ เขารู้ดีว่าเหตุการณ์ครั้งนี้คงเป็นเรื่องยากที่สุดเรื่องหนึ่งที่ลูฟี่ต้องเผชิญ เพราะว่าการสูญเสียคนใกล้ชิดประหนึ่งคนในครอบครัวตั้งแต่ยังวัยหนุ่มแบบนี้ คงเป็นบทเรียนบทหนักยากเกินจะรับไหวเป็นแน่ แต่แชงคูสก็เชื่อมั่นเช่นกันว่า บทเรียนแห่งความโศกเศร้าครั้งนี้ จะเป็นประสบการณ์สำคัญที่จะสอนให้ลูฟี่ได้เรียนรู้ธรรมชาติของชีวิต ว่าทุกอย่างนั้นมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ มีพบมีจาก มีสุขมีทุกข์ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นก้าวสำคัญแห่งการเติบโตทั้งสิ้น
สิ่งที่แชงคูสกล่าวไว้นั้นไม่ได้เป็นสิ่งเกินจริงในโลกแห่งโจรสลัดหรือโลกแห่งความจริงนัก เพราะบ่อยครั้งความสูญเสียหรือพ่ายแพ้มักถูกมองเป็นพลังลบที่รังแต่จะคอยฉุดรั้งพลังใจเราให้หมดกำลัง หลายคนพยายามปกปิดหรือป้องกันมันเอาไว้ไม่ให้เกิดขึ้นกับตนเองเพียงเพราะคิดว่ามันคือสัญลักษณ์ของความล้มเหลว แต่แท้จริงแล้วความรู้สึกล้มเหลวหรือสิ้นหวังนี้คือบทเรียนสำคัญที่จะเติมเต็มการเรียนรู้ที่จะมีชีวิตอย่างสมบูรณ์ต่างหาก
ภายใต้เรื่องเศร้าและความพ่ายแพ้ในชีวิตที่ทำให้วันของเราเต็มไปด้วยความหมองหม่นนั้น คือบทเรียนที่สอนทุกคนให้รู้จักสัจธรรมว่าทุกข์สุขนั้นเป็นของคู่กัน เป็นสองสิ่งที่สร้างสมดุลให้ชีวิตมนุษย์ว่าแท้จริงแล้วในความสุขเศร้านั้นล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งธรรมดาสามัญที่ทุกคนต้องเผชิญไม่วันใดก็วันหนึ่ง และเราต่างมีชีวิตอยู่เพื่อเรียนรู้ธรรมชาติของทุกข์สุขอันแสนจะธรรมดานี้ เพื่อให้แต่ละก้าวของอายุขัยที่เหลือเต็มไปด้วยความเข้าใจ ไม่ยึดตึด และปล่อยวาง
วันพีซ (One Piece) มังงะที่เขียนขึ้นโดย เออิจิโระ โอดะ คือเรื่องราวการตามหา "วันพีซ" ของโจรสลัดหนุ่ม ‘ลูฟี่’ และผองเพื่อน โดยเชื่อกันว่าผู้ที่ได้ครอบครองนั้นจะได้เป็นเจ้าแห่งโจรสลัด เริ่มตีพิมพ์ลงในนิตยสาร โชเน็นจัมป์ ของสำนักพิมพ์ ชูเอฉะ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 และเนื่องจากความโด่งดัง วันพีซ จึงได้รับการดัดแปลงเป็นอนิเมะ นวนิยาย รวมไปถึงวิดีโอเกมอีกหลายภาคด้วยกัน
ความโดดเด่นของวันพีซที่ครองใจผู้อ่านมาอย่างยาวนานกว่า 24 ปี นอกจากความสนุกตื่นเต้นที่ทำให้ทุกคนลุ้นไปกับการผจญภัยของกลุ่มโจรสลัดหมวกฟางนั้น ด้วยระยะเวลาของเรื่องราวที่ยาวนานเทียบเท่าหนึ่งในสี่ของอายุขัย แฟนวันพีซทุกคนจึงเรียกได้ว่าเติบโตไปพร้อมกับตัวละครเหล่านี้ จากความไร้เดียงสาในวัยเด็ก ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงกลายเป็นผู้ใหญ่ร่วมกัน จนกลายเป็นความผูกพันระหว่างมังงะและนักอ่าน ราวกับว่าวันพีซเป็นเพื่อนคนหนึ่งที่เรารู้จักมานาน เป็นมิตรภาพที่แน่นแฟ้นเฉกเช่นเหล่าโจรสลัดหมวกฟางเชิดชูความรักแห่งความเป็นเพื่อนไว้เหนือสิ่งอื่นใด
การเติบโตระหว่างเราในฐานะนักอ่านกับกลุ่มโจรสลัดหมวกฟางนับว่าเป็นหัวใจสำคัญอีกประการหนึ่งที่สำคัญของมังงะเรื่องนี้ เพราะแม้ว่าในแต่ละหน้ากระดาษที่เราเปิดอ่าน ลูฟี่และผองเพื่อนจะดูเหมือนยังคงอายุเท่าเดิม ในขณะที่เราค่อย ๆ เติบโตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่ แต่สิ่งที่พวกเขาเติบโตขึ้นไปพร้อมกับเรานั้นคือประสบการณ์ชีวิตต่าง ๆ ที่ถาโถมเข้ามาผ่านการต่อสู้ที่ชาวคณะโจรสลัดได้พบเจอครั้งแล้วครั้งเล่า แปรเปลี่ยนกลายเป็นบทเรียนแห่งการเติบโต ที่สะท้อนสู่บทเรียนชีวิตจริงให้กับผู้อ่านได้อย่างดี
วันพีซคือตัวอย่างของมังงะที่ไม่ได้เป็นแค่เพียงหนังสือการ์ตูนที่อ่านเอาเพียงสนุก แต่ทุกช่องของตัวการ์ตูนลายเส้นที่เราได้เห็น ทุกข้อความที่เราได้อ่าน คือการสะท้อนโลกแห่งความเป็นจริง กลับเข้ามาเป็นบทเรียนแห่งการเติบโตของมนุษย์ไม่ว่าจะเรื่องไหนก็ตาม มังงะจึงกลายเป็นวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่ประสบความสำเร็จในการสอดแทรกใจความสำคัญแห่งความเป็นมนุษย์ที่เคลือบไว้ด้วยความบันเทิงอย่างแยบคาย และยังแพร่หลายออกไปนอกดินแดนอาทิตย์อุทัยมาอย่างยาวนานร่วมศตวรรษ
“ผมเอาชีวิตไปหั่นในเหมืองแร่เสียสี่ปีเต็ม ๆ เป็นสี่ปีที่คนธรรมดาจะเรียนจบมหาวิทยาลัยได้สบายๆ
แต่ที่เหมืองแร่ สำหรับผมแล้ว มันไม่มีใบคู่มือรับรองใด นอกจากแผลคู่มือที่คนอื่นไม่มีวันรู้เลยว่า มันเกิดจากอะไร”
- มหา’ลัย เหมืองแร่ : ภาพยนตร์โดย จิระ มะลิกุล -
คำพูดในใจที่เปรียบเสมือนบทสรุป 4 ปี ของชีวิตกรรมกรเหมืองแร่ ที่ฝากรอยแผลเตือนใจไว้บนมือซ้ายของ ‘อาจินต์ ปัญจพรรค์’ ซึ่งเจ้าตัวยกขึ้นมาดูเพื่อระลึกถึงความหลังเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนเครื่องบินลอยลำผ่าน ‘เหมือง กระโสม ทิน เดรดยิง’ อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา มุ่งหน้าสู่กรุงเทพมหานคร สู่เส้นทางการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่รอคอยเขาอยู่เบื้องหน้า คือฉากสุดท้ายของภาพยนตร์ ‘มหา’ลัยเหมืองแร่ (The Tin Mine)’ ผลงานการกำกับและเขียนบทของ ‘เก้ง-จิระ มะลิกุล’ ที่ดัดแปลงมาจากวรรณกรรมรวมเรื่องสั้นในชื่อ ‘เหมืองแร่’ ของ ‘อาจินต์ ปัญจพรรค์’ และเป็นภาพยนตร์ไทยที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ว่าด้วยเรื่องเปลี่ยนผ่านช่วงชีวิต (Coming of Age) ที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งของประเทศไทย
‘ดัดสันดาน, เอาตัวรอด, หาตัวตน, ขุดเกียรติยศ’ คือเรื่องราวที่ถูกแบ่งออกเป็นสี่บท ประหนึ่งสี่ปีของรั้วมหาวิทยาลัย เส้นทางที่แปรเปลี่ยนชีวิตอาจินต์จากคนเมืองที่สิ้นหวังในชีวิตจากการถูกรีไทร์ ท้อแท้หัวใจเมื่อคนรักไปแต่งงานกับชายอื่น สู่บทเรียนสำคัญแห่งการค้นหาตัวตน ที่ขุดค้นผ่านทุกหยาดเหงื่อที่ลงแรง การทะเลาะเบาะแว้งกับคนงาน และผ่านทุกการสั่งสอนจากหัวหน้าฝรั่ง ที่เปรียบเสมือนการลงทะเบียนเรียนวิชาชีวิตจนถึงวันจบปริญญา ก่อนที่ปริญญาใบนั้นจะหล่อหลอมให้เขากลายเป็นคนใหม่ที่เปี่ยมด้วยศรัทธาและความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
อาจินต์เองก็เหมือนกับหนุ่มสาวทั่วไปคนหนึ่งที่คาดหวังในชีวิตมหาวิทยาลัยว่าจะกลายเป็นใบเบิกทางสู่การเติบใหญ่และประสบความสำเร็จในอนาคต กระทั่งโชคชะตาเล่นตลกให้เขาต้องสูญเสียสี่ปีในรั้วมหาวิทยาลัยอันล้ำค่านี้ไปแบบไม่มีวันกลับ เหลือไว้แต่เพียงความเคว้งคว้างสิ้นหวังในชีวิต เพราะสิ่งนี้คือเดิมพันที่เขาหวังไว้สูงมากเลยทีเดียว
แต่ชีวิตในเหมืองแร่ก็ค่อย ๆ กอบกู้เศษซากความสิ้นหวังของเขาให้ค่อย ๆ กลับคืนมา อาจินต์ได้เรียนรู้ว่าเส้นทางอันล้ำค่าแห่งการเติบโตเป็นผู้ใหญ่นั้นหาได้เก็บเกี่ยวได้จากโลกแห่งอุดมศึกษาเพียงอย่างเดียว การเติบใหญ่ที่เขาเฝ้าหวังมาตลอดชีวิตเป็นเพียงส่วนเสี้ยวทั้งหมดของโอกาสที่คน ๆ หนึ่งเช่นเขาจะได้เติบโตเท่านั้น หากเราจะเปรียบมหาวิทยาลัยคือบ้านแห่งการเรียนรู้หลังสุดท้ายก่อนจะเข้าสู่โลกของการเป็นผู้ใหญ่แล้ว บ้านหลังนี้ของอาจินต์ก็ได้สอนสิ่งที่เรียกว่า ‘วิชาชีวิต’ ให้แก่เขาได้อย่างเต็มเปี่ยม เป็นวิชาที่ไม่มีใบปริญญาการันตี เป็นวิชาที่เขาใช้เวลาศึกษาเทียบเท่ากับโลกมหาวิทยาลัยที่เขาจากมา เป็นวิชาที่ทิ้งไว้เพียงรอยแผลเป็นที่เกิดจากการลงแรงทำงานเคียงข้างเหล่าเพื่อนชาวเหมืองมาตลอดสี่ปีไว้ดูต่างหน้า ให้เป็นเครื่องเตือนใจถึงบทเรียนแห่งการเติบโตที่หาจากที่ไหนไม่ได้อีก
การได้ติดตามดูชีวิตของอาจินต์และเพื่อน ๆ ค่อย ๆ เปลี่ยนไปในแต่ละปี เปรียบเสมือนการเรียนรู้จักชีวิตผ่านการเติบโต ช่วงเวลาที่หลายคนอาจโชคดีได้มีทุกอย่างดั่งใจนึก ในขณะที่อีกหลายคนโชคชะตาอาจไม่เข้าข้าง จนรู้สึกสิ้นหวังหรือหลงทาง คือแก่นของ ‘มหา’ลัยเหมืองแร่’ ที่กุมหัวใจผู้ชมทุกคนได้อย่างไม่ยากเย็น และยังกลายเป็นกระจกบานใหญ่ที่สะท้อนกลับไปหาเราทุกคน พร้อมตั้งคำถามสำคัญของการมีชีวิตอยู่ ว่าแท้จริงแล้วคุณค่าในชีวิตของเรานั้นคืออะไร บทเรียนแห่งการเติบโตของเราคืออะไร และมันได้สั่งสอนอะไรเอาไว้บ้าง
‘มหา’ลัยเหมืองแร่’ คือภาพยนตร์แห่งการก้าวผ่านช่วงวัย ที่สอนให้เราเรียนรู้และเข้าใจถึงความไม่จีรังยั่งยืนของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขหรือทุกข์ก็ตาม เป็นบทเรียนล้ำค่าแห่งการเติบโตของชีวิตทุกช่วงวัยที่จะติดตัวอยู่กับเราไปตลอด เพราะไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ความไม่แน่นอนของชีวิตนั่นคือความแน่นอนที่สุดแล้ว