หวาดกลัวหรือปรับตัว? เจ้าตัวเล็กจะอยู่อย่างไรกับโลกยุคใหม่ในหน้าจอ
21 กรกฎาคม 2564
336
ในโลกสมัยใหม่ พวกเราต่างคุ้นเคยกับโลกอีกใบในหน้าจอเล็กๆ เช่นเดียวกับการคุ้นเคยกับคำเตือนว่า “อย่าอยู่กับหน้าจอมากเกินไป ออกไปเจอโลกข้างนอกเสียบ้าง” เพราะมีงานวิจัยมากมายที่บอกกับเราว่าหากเด็กๆ ขลุกอยู่กับหน้าจอเป็นระยะเวลานานๆ ทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี แม้แต่องค์การอนามัยโลกก็เคยประกาศว่า เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบไม่ควรใช้เวลาเกินหนึ่งชั่วโมงต่อวันในการอยู่กับหน้าจอ ไม่เช่นนั้นอาจต้องเผชิญกับโรคภัยมากมาย เช่น พิษจากแสงสีฟ้า โรคสมาธิสั้น หรือแม้แต่โรคซึมเศร้า
แต่ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2019 ก็เปลี่ยนชีวิตของคนทั้งโลกไปโดยสิ้นเชิง
นานนับสองปีแล้วที่มนุษย์อยู่ในภัยพิบัติโรคระบาด “วิธีการใช้ชีวิต” แบบใหม่ๆ ถูกนำมาใช้จนกลายเป็น “วิถีการใช้ชีวิต” ในปัจจุบันไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการทำงานจากที่บ้าน การเรียนออนไลน์ การติดต่อสื่อสารผ่านแอปพลิเคชันต่าง ๆ แทนการพบปะเข้าสังคมกัน ดังที่ผลสำรวจในสหรัฐอเมริกาจากผู้ปกครองเด็กๆ กว่าสองล้านคนพบว่า เด็กอเมริกันนับล้านคนใช้เวลาอยู่ในโลกออนไลน์มากกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่พุ่งขึ้นสูงกว่า 500% เมื่อเทียบกับตอนก่อนเกิดโรคระบาด ทำให้ผู้ปกครองต่างก็วิตกกังวลว่า โลกยุคใหม่จะส่งผลร้ายหรือผลดีต่อเจ้าตัวเล็กกันแน่
จิตใจ ร่างกาย สายตา และพัฒนาการที่ถดถอย
จากงานวิจัยหลายชิ้นและคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก ต่างก็ระบุตรงกันว่าการใช้เวลากับหน้าจอมากเกินไปมักส่งผลเสียต่อร่างกายและพัฒนาการของเด็กๆ ข้อมูลนี้สอดคล้องกับการวิจัยจากสถาบันวิจัยเด็กและเยาวชน มหาวิทยาลัยวอเตอร์ลู ที่ได้เก็บข้อมูลการใช้เวลากับหน้าจอของเด็ก ๆ อายุ 2-5 ขวบ มากกว่า 2,400 คนพบว่า ยิ่งเด็กใช้เวลาอยู่หน้าจอมากเท่าไร การเคลื่อนไหวทางร่างกาย การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นด้วยการพูด การมองตา หรือการสัมผัสกันก็จะลดลง เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สัญชาตญาณ แต่ต้องอาศัยฝึกฝนไม่ต่างจากโจทย์ทางคณิตศาสตร์หรือทักษะทางกีฬา ส่งผลให้คะแนนทดสอบพัฒนาการในด้านต่างๆ ของเด็กๆ ลดลงตามลำดับ
“เมื่อเด็กเล็กหมกมุ่นอยู่กับหน้าจอ พวกเขาอาจพลาดโอกาสในการฝึกฝนทักษะด้านมนุษย์สัมพันธ์ การเคลื่อนไหว และการสื่อสาร” ผู้วิจัยสรุปผลไว้ท้ายบทความดังกล่าว
ผลกระทบจากแสงสีฟ้า (Blue Light Affects) เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้หากจ้องมองหน้าจอเป็นเวลานาน ผลกระทบของแสงสีฟ้าที่มีต่อร่างกายโดยตรงคือการลดลงของเมลาโทนินในร่างกาย ทำให้เราง่วงนอนน้อยลง หรือพักผ่อนได้น้อยลง ปริมาณเมลาโทนินที่ไม่สม่ำเสมอจะรบกวนวงจรการนอนหลับตามธรรมชาติของเรา ยิ่งเมื่อเทียบผลกระทบระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่พบว่า เด็ก ๆ จะได้รับผลกระทบจากแสงสีฟ้ามากกว่า เนื่องจากรูม่านตาของเด็กมีขนาดใหญ่กว่า จึงรับแสงสีฟ้าเข้าไปในปริมาณมากเมื่อเทียบกับระยะเวลาที่เท่ากันกับผู้ใหญ่ นอกจากนี้ สมองของเด็กจะจดจำปริมาณแสงสีฟ้าที่รับเข้ามาในร่างกายและกระตุ้นให้หลั่งเมลาโทนินในปริมาณน้อยตั้งแต่เด็ก ปัญหาการนอนไม่หลับและขนาดรูม่านตาที่ถูกกระตุ้นตลอดเวลาจึงเป็นปัญหาสำคัญของเด็กในยุคแห่งเทคโนโลยีนี้
ความสุขทางใจที่ลดลงจากการอยู่กับหน้าจอเป็นเวลานานก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่น่ากังวล ดังที่ จีน ทเวนจ์ และคีธ แคมป์เบล ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาชาวอเมริกันได้ตรวจสอบกลุ่มตัวอย่างของเด็กและวัยรุ่นอายุ 2-17 ปีในสหรัฐอเมริกาในปี 2559 พบว่า ยิ่งวัยรุ่นใช้เวลาอยู่กับหน้าจอมากเท่าไร ความสุขทางจิตใจก็ลดลงตามไปด้วย โดยเกิดผลด้านจิตใจต่างๆ ได้แก่ การควบคุมตนเองทำได้น้อยลง ความฟุ้งซ่านมากขึ้น ความมั่นคงทางอารมณ์น้อยลง และสมาธิสั้นหรือขาดช่วงจนไม่สามารถทำงานที่ต้องใช้ความอดทนเป็นระยะเวลานานให้สำเร็จลุล่วงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มอายุ 14-17 ปี กลุ่มที่หมกมุ่นอยู่กับหน้าจอวันละ 7 ชม. ขึ้นไป มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่าวัยรุ่นทั่วไปเป็นสองเท่า อย่างไรก็ตาม โชคดีที่ผลกระทบทางจิตใจของโลกใบใหม่ในหน้าจอนั้นสัมพันธ์กับช่วงวัยรุ่นมากกว่าวัยเด็ก ซึ่งเป็นวัยที่สามารถพูดคุยด้วยเหตุผลและสร้างข้อตกลงเรื่องการจำกัดเวลาใช้งานหรือควบคุมการใช้เครื่องมือสื่อสารได้ง่ายกว่า
ร่องรอยดิจิทัล (Digital Footprint) ความลับราคาแพงที่เด็กๆ (เผลอ) ยอมจ่าย
ร่องรอยดิจิทัล (Digital Footprint) หมายถึงข้อมูลต่างๆ ที่ผู้ใช้งานเก็บไว้บนอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลส่วนตัวในสื่อสังคมออนไลน์ การโพสต์ข้อความ การส่งอีเมลหรือข้อความผ่านเว็บไซต์ต่างๆ หรือแม้แต่การเปิดดูและขยายขนาดรูปภาพ การกดข้ามหรือดูวิดีโอบน Youtube หรือ TikTok ซ้ำมากกว่า 1 ครั้ง แทบทุกการกระทำของเราจะถูกเก็บไว้เป็นข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานทั้งสิ้น เพื่อที่บริษัทจะค้นหาว่าเรากำลังค้นหาอะไร เราชอบอะไร สนใจอะไร พร้อมกับนำเสนอเนื้อหา รูปภาพ หรือสินค้าต่างๆ ที่สอดคล้องกับรสนิยมของเรามากที่สุด
เจนนี่ อาเฟีย ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย หนึ่งในกรรมาธิการด้านดิจิทัลในเด็กและเยาวชนแห่งสหราชอาณาจักรแสดงความเป็นห่วงว่า บริษัทเทคโนโลยีต่างๆ ใช้ช่องทางของโลกยุคใหม่ในหน้าจอเพื่อควบคุมและติดตามเก็บร่องรอยดิจิทัลของทุกคนตั้งแต่ยังอยู่ในวัยที่ขาดความระวังตัว บริษัทเหล่านี้ล้วนอำนวยความสะดวกให้เด็กๆ ได้สร้างโปรไฟล์ดิจิทัลอย่างง่ายดาย เขียนข้อมูลทุกอย่างลงไปให้บริษัทได้เก็บไว้ทั้งหมด ก่อนที่พวกเขาจะโตพอเข้าใจว่าร่องรอยดิจิทัลสำคัญมากแค่ไหน
เช่นเดียวกับ ดร. เบอร์นัดกา ดูบิคกา หัวหน้าภาควิชาจิตเวชเด็กและวัยรุ่น ราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งสหราชอาณาจักรที่ตั้งข้อสังเกตว่าเว็บไซต์และแอพพลิเคชันยอดนิยมล้วนได้รับการออกแบบมาให้ “ขาดความระมัดระวังต่อความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว” เช่น ขาดการตรวจสอบอายุที่แท้จริงของผู้ใช้งาน ปรับให้ข้อควรระวังต่าง ๆ ตัวเล็กหรืออยู่ในจุดที่สังเกตได้ยากที่สุด หรือตั้งค่าเริ่มต้น (default) ของความเป็นส่วนตัวไว้ในระดับต่ำที่สุด หากเด็ก ๆ กดยอมรับเงื่อนไขต่าง ๆ โดยยังขาดความเข้าใจ ก็เท่ากับว่าบริษัทสามารถเข้าถึงข้อมูลและร่องรอยดิจิทัลทั้งหมดได้ตั้งแต่นั้น
ในเดือนกันยายน ปี 2020 อาเฟียและทีมงานด้านกฎหมายของเธอได้พยายามร่างและผลักดันกฎหมายเพื่อคุ้มครองร่องรอยดิจิทัลของเด็กและเยาวชนในสหราชอาณาจักร โดยเน้นให้บริษัทต่างๆ ระมัดระวังเรื่องปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของเด็กและเยาวชนเป็นอันดับต้นๆ ในการพัฒนาเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน ทว่าเธอก็ยังคงกังวลว่า สื่อสังคมออนไลน์ที่ถูกออกแบบมาโดยใช้จิตวิทยาเชิงพฤติกรรม ตอบโจทย์ความต้องการในจิตใจมนุษย์ที่ยังต้องการความชื่นชมหรือได้รับการยอมรับผ่านการกดไลก์ กดแชร์ โต้ตอบคอมเมนต์ต่างๆ ย่อมเป็นแม่เหล็กดึงดูดใจให้เรายอมจ่ายข้อมูลดิจิทัล โดยเฉพาะเด็กๆ หรือเยาวชนที่ต้องการสร้างตัวตน หรือค้นหาสังคมที่ตนเองชื่นชอบในสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งสุดท้ายข้อมูลเหล่านี้ก็จะกลายเป็นร่องรอยดิจิทัลที่ไม่มีวันถูกลบเลือน
โลกออนไลน์ สังคมแบบใหม่ที่ไม่ควรหลีกหนี
แม้จะมีผลด้านลบจากงานวิจัยต่างๆ ปรากฏออกมามากมาย แต่สำหรับจอร์แดน ชาพิโร่ นักการศึกษาชาวอเมริกัน เจ้าของผลงานเขียนชื่อ The New Childhood: Raising Kids to Thrive in a Connected World (วัยรุ่นยุคใหม่: เลี้ยงลูกให้เติบโตอย่างไรในโลกออนไลน์) กล่าวว่า แทนที่จะหวาดกลัวหรือต่อต้านโลกยุคใหม่ด้วยเหตุผลต่างๆ อาจถึงเวลาต้องยอมรับว่าโลกออนไลน์คืออีกก้าวหนึ่งของพัฒนาการสังคมมนุษย์ ความสัมพันธ์ผ่านเทคโนโลยีไม่ใช่สิ่งแปลกปลอมหรือด้อยค่ากว่าความสัมพันธ์แบบพบปะพูดคุยกัน แต่เป็นเงื่อนไขของสังคมสมัยใหม่ต่างหาก การพยายามห้ามเด็กๆ ไม่ให้ใช้งาน หรือต่อต้านรูปแบบความสัมพันธ์นี้อาจทำให้เด็ก ๆ สูญเสียความสามารถในการเข้าสู่สังคมแบบใหม่นี้ก็เป็นได้
ในสายตาของผู้ใหญ่ การเล่นเกมออนไลน์ การโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก การโพสต์วิดีโอในแอปพลิเคชัน TikTok นั้นดูเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ชาพิโร่ก็ชวนให้ทุกคนนึกย้อนกลับไปในสมัยเด็กว่าตนเองเคยไปอยู่กับเพื่อนที่สนามเด็กเล่น และเล่นเกมโง่ๆ อะไรสักอย่างด้วยกันเพื่อเข้าสังคมกับเพื่อนหรือเปล่า? เกมออนไลน์ก็ทำหน้าที่นั้นไม่แตกต่างกัน เพราะในเกมก็มีกฎกติกา การสื่อสาร การพยายามแก้ไขปัญหาของเกม แก้ไขความขัดแย้งของทีมเพื่อผ่านอุปสรรคของเกมเช่นเดียวกับการเล่นในสนามเด็กเล่น เพียงแค่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นบนสนามเด็กเล่นดิจิทัล ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ผู้ใหญ่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่สำหรับเด็กแล้วมันมีอยู่จริงเสมอ
หากมองในภาพกว้างขึ้น ต้องยอมรับว่าในตอนนี้โลกออนไลน์มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนให้โลกเดินไปข้างหน้า ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีโรคระบาดมากระตุ้นก็ตาม การติดต่อสื่อสารหรือธุรกรรมทางการเงินต่างๆ ล้วนแต่แปรสภาพอยู่ในรูปแบบดิจิทัลไปแล้วแทบทั้งสิ้น โลกที่เปลี่ยนไปมาพร้อมกับกฎกติกาแบบใหม่ ตัวตนของทุกคนถูกแปรสภาพเป็นโปรไฟล์ดิจิทัล มารยาททางสังคมของโลกออนไลน์กลายเป็นกติกาพื้นฐานแบบใหม่ในการอยู่ร่วมกัน ชาพิโรเสนอว่า แทนที่จะหวาดกลัวหรือต่อต้าน ผู้ปกครองควรใช้โอกาสนี้ในการฝึกฝนทักษะการเข้าสังคมสมัยใหม่ตั้งแต่เขายังอายุน้อย เพื่อให้เขาเป็นพลเมืองในโลกดิจิทัลที่มีคุณภาพ
จูงมือเด็กเดินไปในทางที่ถูกต้อง อย่าปล่อยให้เด็กหลงทางในโลกใบใหม่
ในอดีตเทคโนโลยีเคยเป็นสิ่งที่หรูหราและฟุ่มเฟือย แต่โลกยุคปัจจุบันทุกคนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้เพียงแค่มีอุปกรณ์ที่ซื้อหาได้ทั่วไป ภายหลังวิกฤตการณ์โรคระบาด Covid-19 ที่มีกติกาการป้องกันการระบาดว่า “ต้องเว้นระยะห่าง” ยิ่งทำให้มนุษย์ต้องก้าวกระโดดมาสู่การเชื่อมต่อกันในโลกออนไลน์มากขึ้น แอนดรูว์ ไพรส์บิลสกี้ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของสถาบันวิจัยอินเทอร์เน็ตแห่งออกซ์ฟอร์ดกล่าวว่า เว็บไซต์และแอปพลิเคชันต่างๆ มักถูกมองเป็นผู้ร้ายในการทำให้คนหมกมุ่นหรือเสพติดการออนไลน์ แต่หากไม่มีบริษัทเหล่านั้น สังคมมนุษย์ก็คงหยุดชะงักลงไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การพบปะสังสรรค์ การออกเดต หรือกิจกรรมทางสังคมอื่นๆ ที่ต้องยุติลงอย่างสิ้นเชิง หากไม่มีเทคโนโลยีเข้ามาประคองไว้ มนุษยชาติก็คงเดินหน้าต่อไปไม่ได้ท่ามกลางโรคระบาดที่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม การล็อกดาวน์ครั้งล่าสุดของอังกฤษที่ทำให้การเรียนการสอนปรับเปลี่ยนเป็นรูปแบบออนไลน์ทั้งหมด เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบหลายพันคนได้สัมผัสโลกใบใหม่ในหน้าจอด้วยระยะเวลานานๆ เป็นครั้งแรก ก็ทำให้เกิดข้อสังเกตว่าเด็กๆ ล้วนตื่นตาตื่นใจกับรูปแบบการเรียนแบบใหม่ ภาพเคลื่อนไหวบนหน้าจอ เด็กๆ ใช้การปัด (Swiping) เพื่อค้นหาสิ่งที่ตนสนใจและปัดสิ่งที่ตนไม่สนใจออกไปอย่างง่ายดายตามสัญชาตญาณ ซาพิโรเปรียบปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ว่าเหมือนพาเด็กไปเดินเตาะแตะที่สนามเด็กเล่นครั้งแรกและปล่อยให้เขาเล่นไปตามยถากรรม เขาเชื่อว่าเด็กๆ มีความสามารถในการเรียนรู้ เพียงแต่ผู้ใหญ่นั่นเองที่จะเป็นผู้สอนให้เขาได้ฝึกใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุด
แทนที่จะเลือกวิธีการเข้มงวดเกินไป เช่น ห้ามไม่ให้เด็กจับเครื่องมือสมัยใหม่เลย หรือวิธีการแบบปล่อยวางเกินไป คือปล่อยเด็กไว้กับเครื่องมือโดยลำพัง ซาพิโรเสนอว่าสิ่งที่ผู้ใหญ่ควรทำคือนั่งลงข้างๆ และใช้เครื่องมือนั้นไปพร้อมกับพวกเขา พร้อมกับคำถามง่ายๆ อย่างการขอให้พวกเขาอธิบายสิ่งที่กำลังทำอยู่ เช่น เกมนั้นคืออะไร? ทำไมหนูถึงเลือกทำแบบนั้น? ซาพิโรอธิบายว่าเป็นการฝึกให้พวกเขาได้พัฒนาอัตลักษณ์ของตนเองผ่านการเล่นออนไลน์
“เมื่อคุณบอกกับเด็กๆ ว่า ฉันต้องการรู้จักคุณในรูปแบบนี้ ฉันต้องการเข้าใจโลกของคุณ ย่อมหมายถึง ฉันสนับสนุนตัวตนของคุณ ฉันรับรู้ถึงคุณค่าของคุณในโลกใบนั้น”
เช่นเดียวกับไพรส์บิลสกี้ที่เสนอว่า การทำให้ภาพเทคโนโลยีเป็นผู้ร้ายไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่ามนุษย์อาจต้องยอมรับโลกใบใหม่เข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน ดังนั้นสิ่งที่เราจะทำให้เด็กๆ ได้คือการทำให้เด็กๆ พร้อมรับโลกใบใหม่ต่างหาก
“หาเวลาในการกำกับติดตามเทคโนโลยีที่ลูกคุณใช้” เป็นหนึ่งในคำแนะนำที่เขามักจะบอกกับผู้ปกครองเสมอ ๆ “เราควรปฏิบัติต่อปัญหาเรื่องเทคโนโลยีเหมือนกับความท้าทายอื่นๆ นับล้านที่เราต้องเผชิญหน้าในฐานะพ่อแม่ เมื่อโลกเปลี่ยนไปแล้ว เราก็ไม่ควรแสร้งว่าโลกดิจิทัลกับโลกอนาล็อกอยู่คนละส่วนกัน แต่ต้องสอนเขาให้พร้อมที่จะเข้าสู่โลกทั้งสองใบไปพร้อมกัน”
ดร.ดูบิคกา เสนอเพิ่มเติมว่า ไม่ใช่เพียงแต่เด็กเท่านั้นที่ต้องเรียนรู้ ผู้ใหญ่เองอย่าลืมว่าตนเองก็คือเด็กคนหนึ่งในโลกสมัยใหม่ การเรียนรู้เท่าทันเทคโนโลยีเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้เรื่องอื่นที่เคยเรียนรู้มา และหากต้องการให้เด็ก ๆ เชื่อฟังคำเตือนของเรา ก็อย่าปล่อยให้เด็กเห็นว่าผู้ปกครองควบคุมการใช้เทคโนโลยีของเด็ก ๆ อย่างเข้มงวด แต่กลับปล่อยปละละเลยไม่ควบคุมการออนไลน์ของตนเอง
“การคาดหวังให้ลูกปิดหน้าจอในเวลานอนหรือตอนรับประทานอาหารนั้นไม่มีประโยชน์ หากลูกยังเห็นว่าแสงบนหน้าจอของคุณยังสว่างอยู่ตลอดเวลา”
ไม่ว่าจะในแง่ดีหรือแง่ร้าย แต่เราก็ต้องยอมรับว่าวิกฤตการณ์โรคระบาดโควิด-19 ได้เปลี่ยนโลกของเราไปแล้วอย่างก้าวกระโดด มนุษย์ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีและใช้เวลาอยู่ในโลกออนไลน์มากขึ้นอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง แน่นอนว่าผลกระทบแง่ลบจากเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง เต็มไปด้วยหลักฐานจากงานวิจัยต่าง ๆ มากมาย แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่เราจะกีดกันเด็กๆ ออกจากสิ่งที่จะกลายเป็นวิถีชีวิตของเขาในอนาคต สิ่งที่ผู้ใหญ่ควรทำก็คือสอนให้เขายืนได้ด้วยตนเองบนโลกออนไลน์ ซึ่งเป็นโลกที่เขาเกิด เติบโตและคุ้นเคยมากกว่าเราเสียอีก สิ่งสำคัญที่สุดอาจไม่ใช่ประเด็นว่าเทคโนโลยีมีผลดีหรือผลเสียมากกว่ากัน แต่คือความเชื่อมั่นว่าเด็กๆ จะสามารถเรียนรู้และรับเอาผลดีของเทคโนโลยีมาใช้มากกว่าผลเสีย เพื่อสร้างอนาคตของตนเองในโลกยุคใหม่ได้ต่างหาก
รายการอ้างอิง
Alexa Fry. (2021). How Blue Light Affects Kids’ Sleep. Retrieved June 29, 2021, from https://www.sleepfoundation.org/children-and-sleep/how-blue-light-affects-kids-sleep
Andrew Przybylski. (2019). Moderate use of screen time can be good for your health, new study finds. Retrieved June 29, 2021, from https://www.oii.ox.ac.uk/news/releases/moderate-use-of-screen-time-can-be-good-for-your-health-new-study-finds/
Eleanor Peake. (2021). TikTok and self-loathing: why you probably don’t want to be a teenage girl in 2021. Retrieved June 29, 2021, from https://www.newstatesman.com/science-tech/social-media/2021/02/tiktok-and-self-loathing-why-you-probably-don-t-want-be-teenage
Rachel Cunliffe. (2021). Is growing up immersed in screens damaging our children?. Retrieved June 29, 2021, from https://www.newstatesman.com/science-tech/internet/2021/03/growing-immersed-screens-damaging-our-children-0