ท่ามกลางโลกที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยี โซเชียลมีเดีย และความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างก้าวกระโดด การเตรียมทักษะให้พร้อมสำหรับอนาคตทั้งด้านการเรียนและการทำงานจึงเป็นสิ่งสำคัญ เราเลยอยากชวนมาฟังเรื่องราวจากสองรุ่นพี่ ‘ฮาย-พิชญ์พิสิฐฎ์เสฎ โชคชัย’ จาก Haiseoul Channel : ฮายโซล แชนแนล และ ‘เฟริสท์-ฉลองรัฐ นอบสำโรง’ นักแสดงจาก Tharn Type The Series 2 ที่จะมาแบ่งปันประสบการณ์และแนะแนวทักษะที่ต้องมีก่อนก้าวเข้าสู่วัยทำงาน
How to ค้นหาตัวเอง
สิ่งที่เฟริสท์และฮายมีเหมือนกันในช่วงวัยเรียน คือความรู้สึกที่ ‘ยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร’ เฟริสท์เคยอยากเป็นนักบิน ก่อนจะเบนเข็มไปสายกีฬา แล้วลงเอยที่การเป็นนักแสดงอย่างในปัจจุบัน ส่วนฮายเคยทำยูทูบเป็นงานอดิเรก ก่อนจะเริ่มเข้ามาทำอย่างเต็มตัวในช่วงวัยทำงาน ซึ่งฮายเล่าถึงวิธีค้นหาตัวเองตามแบบฉบับของเธอว่า
“เราจะไม่มีทางรู้หรอกว่าเราชอบอะไร ในเมื่อเราทำในสิ่งที่เราไม่ชอบ เราอยากเป็นคุณครูนะ อยากเป็นพนักงานเสิร์ฟนะ อยากใส่ชุดผ้ากันเปื้อนนะ แต่เราลองทำแล้วไม่ใช่ทาง ก็รู้แล้วว่าไม่ชอบ กลับมาที่ตัดต่อ ก็สงสัยว่าเราชอบตัดต่อจริง ๆ หรือเปล่า เลยไปหาอย่างอื่นทำ แต่รู้สึกว่าไม่มีความสุข พอกลับมาตัดต่อแล้วมีความสุข ก็เลยรู้ว่าชอบตัดต่อ เพราะฉะนั้นเราต้องเรียนรู้แล้วก็ลองค่ะ ไม่มีใครที่จะทำอันนี้แล้วก็ชอบเลย อาจจะไปทำปั๊บ แล้วมีสิ่งที่ชอบกว่าก็เป็นได้”
นอกจากการลองทำสิ่งต่างๆ แล้วเฟริสท์ยังเสริมว่า ‘การเปิดใจ’ เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ แล้วลองทำให้เต็มที่ก็ช่วยให้เขาค้นหาตัวเองได้เช่นเดียวกัน
“ตอนมาเล่นซีรีส์ ยังไม่ได้รู้สึกชอบ เรายังรู้สึกงง ๆ รู้แค่ว่าผมอยากมีความรู้เยอะ ๆ ในด้านนี้ ผมก็เปิดสมอง แล้วเขาสอน เราก็ฟัง ๆ ๆ แล้วก็แค่กล้าแสดงออกอะไรอย่างนี้ จริง ๆ แล้วอย่างที่เขาบอกครับ อย่าทำน้ำให้เต็มแก้ว เราลองเปิดสมองดู แล้วปล่อยให้ความรู้เข้ามาในหัว แล้วเราก็กลั่นกรองเอาเองว่าอะไรดีไม่ดี อะไรเหมาะกับเราหรือเปล่า”
การก้าวผ่านอุปสรรคไปสู่สิ่งที่รัก
แม้ที่สุดแล้วทั้งคู่จะค้นพบและได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก แต่แน่นอนว่าหนทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป เฟริสท์เล่าถึงความยากระหว่างทางฝันว่า
“ช่วงที่เล่นกีฬา เราเริ่มเข้าสู่ระบบการแข่งขัน เรารู้สึกว่ามันเริ่มยากขึ้นเพราะอยากทำมันเป็นอาชีพ อยากเป็นทีมชาติเพื่อหาเงินเยอะๆ แล้วอุปสรรคมันอยู่ตรงที่ว่าการแข่งขันมันสูง ถ้าเราหยุดซ้อม แต่คนอื่นยังซ้อมอยู่ เขาก็จะโตขึ้นเรื่อย ๆ และเก่งกว่าเรา พูดง่าย ๆ คือเค้าซ้อมมาก ก็เก่งมาก แล้วอุปสรรคมันก็อยู่ที่ใจเราด้วยเวลาเราไปแข่งแล้วแพ้ เราจะรู้สึกว่า เราก็พยายามมาเต็มที่แล้ว ทำไมถึงยังทำไม่ได้ ช่วงนั้นก็จะรู้สึกดาวน์มาก อยากจะเลิก อยากจะพอ”
“ส่วนตอนที่เฟริสท์จะเริ่มเข้ามาเป็นนักแสดง เฟริสท์ยังเล่นกีฬาอยู่ ยังซ้อมยังแข่งอยู่ เหมือนเรามีอยู่ 3 ทางเลยคือ เป็นนักเรียนด้วย เป็นนักกีฬาแล้วก็นักแสดง ตอนที่เราเป็นนักกีฬากับเป็นนักเรียนก็แบ่งเวลายากแล้ว เพราะเราอยากเอามันมาเป็นอาชีพ แบบตื่นมาตี 5 ซ้อมถึง 7-8 โมง ซ้อมเสร็จก็ไปเรียนเลยไม่เข้าแถว เรียนเสร็จก็ไปซ้อมต่อ เวลามันเบียดกันไปหมด พอเริ่มมีการแสดงเข้ามาเราก็ต้องเจียดเวลาเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งมันจะเหนื่อยมาก ผมมองว่าตอนนั้นมันเหนื่อยไปหมดเลย ตอนนั้นนั่งท้อ เราเองก็เป็นเด็กมัธยม ไม่มีเวลาไปเล่นกับคนอื่น ไปดูหนังตามประสาวัยรุ่น ถามว่าน้อยใจไหม เราก็น้อยใจนะ มันเหมือนว่าเรามีเป้าหมาย และพอมันมีมาเพิ่ม แล้วเราชอบ เราอยากทำมันให้เต็มที่”
เฟริสท์เล่าถึงวิธีก้าวข้ามผ่านในวันที่ท้อหรือหมดกำลังใจว่า ต้องมีช่วงที่พักไปทำกิจกรรมอย่างอื่น หรือแม้กระทั่งการนอนหลับ เพื่อชาร์จพลังของตัวเอง เช่นเดียวกับฮายที่มองว่า ‘การพักผ่อนและจัดการกับอารมณ์ทางลบ’ เป็นทักษะอย่างหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้ความสามารถด้านการทำงาน เพราะสิ่งที่ยากกว่าการแก้ปัญหา คือการมีแรงใจเพื่อลุกขึ้นมาแก้ปัญหาเหล่านั้น
ส่วนอุปสรรคของฮายเจอและแตกต่างไปจากเฟริสท์ คือคนบางกลุ่มในสังคมยังไม่ได้เปิดรับ LGBTQ+ หรือคาดหวังให้เธอเป็นไปตามรูปแบบที่สังคมตีกรอบไว้
“อย่างเช่นถ้าในสมัยฮายก็จะมีความกดดันว่า เป็นกระเทย เป็นตุ๊ด คือมันต้องมีความพยายามให้มากกว่าคนอื่น เราก็ไม่เข้าใจนะ ในยุคนั้นจะเป็นอย่างนี้ตลอดเลย ซึ่งแบบ ทำไม ตอนนี้ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ ตอนนั้นก็คือต้องพยายาม ก็จะโดนด่า ยิ่งช่วงทำคลิปก็ยังโดนเลยว่า ‘โอ้โห เกิดมาได้ยังไงเพศแบบนี้’ โดนบ่อยมาก ”
“เอาจริงๆ ถ้าโดนหนักๆ ก็ร้องไห้ก่อนเลย แต่ตอนนี้ก็คือคิดว่าตัวเองเก่งขึ้นมาแล้ว คือถ้าเราไม่ใช่อย่างนั้นก็ปล่อยผ่านไป แล้วก็ทำในสิ่งที่เรามีความสุขดีกว่า อย่าไปโฟกัสเรื่องนั้น เพราะบางคนก็พูดถึงเราแบบไม่ได้รู้จักเราดีจริง เราใส่ใจกับคนที่รักเราดีกว่า และทำในสิ่งที่เรารักอันนี้ดีที่สุดเลย”
เมื่อสิ่งที่ชอบ กลายเป็นอาชีพ
หลายคราวที่เรามักได้ยินประโยคทำนองว่า หากนำสิ่งที่ชอบมาเป็นอาชีพ อาจจะทำให้ความหลงใหลหรือความสนุกจากการทำงานลดน้อยถอยลง เพราะช่วงวัยทำงานนอกจากความสนุกจากสิ่งที่ทำแล้ว ภาระรับผิดชอบและรายได้ก็เป็นสิ่งจำเป็นเช่นเดียวกัน ซึ่งเฟริสท์ตอบประเด็นนี้ว่า
“ต้องบาลานซ์ครับ จริง ๆ เงินมันก็ช่วยสร้างความสุขให้เร็วขึ้น สะดวกขึ้น ง่ายขึ้น บางทีเรามีความสุขอย่างเดียวแต่ไม่มีเงิน ถ้าสมมุติเราไม่มีเงินเราจะกินข้าวยังไง (หัวเราะ) เฟริสท์เลยคิดว่าถ้าบาลานซ์ดี ๆ มันจะโอเค บางทีงานที่เรารักมันอาจจะไม่ได้สร้างเงินให้เราได้ เราก็เอางานที่รักที่ชอบไปเป็นงานอดิเรกแทนไหม เอางานที่สร้างเงินได้มาเป็นหัว แล้วเอางานที่เรามีความสุขมาเป็นงานอดิเรกแทน ซึ่งผมว่ามันไปควบคู่กันได้”
ส่วนฮายที่มีเงื่อนไขอีกแบบหนึ่ง คือครอบครัวของเธอค่อนข้างสนับสนุน และงานที่เธอรักก็สามารถสร้างรายได้ให้กับเธอเช่นกัน ทำให้ฮายมองว่า สิ่งที่ชอบและอาชีพที่ทำสามารถไปควบคู่กันได้
“ฮายก็ยังมองว่า อยากทำในสิ่งที่ตัวเองชอบอยู่ ถามว่าเงินจำเป็นไหมก็จำเป็น แต่คิดว่าการที่ทำในสิ่งที่ชอบมันทำให้หัวใจเราฟูมากกว่า อย่างที่เฟริสท์บอกแหละว่าสุดท้ายแล้วก็ต้องบาลานซ์ อาจจะเป็นความโชคดีของฮายที่เงินมันมักจะมากับงานที่ฮายชอบ เพราะว่าถ้ามีงานเข้ามาแล้วเม็ดเงินมันเยอะมาก แต่ถ้าทำไปคือไม่ใช่แนว ถามว่าอยากทำไหม ก็อยากทำเพราะอยากได้เงินนะคะเอาจริง ๆ แต่คิดว่าถ้าเกิดทำแล้วมันไม่เวิร์กแน่ ๆ ก็คงจะไม่ทำ แต่อย่างที่บอกไปว่าโชคดีที่งานอดิเรกของเรา ความชอบของเรา ทำให้เรามีเงินได้”
ทักษะที่ต้องเตรียมพร้อมก่อนก้าวสู่โลกการทำงาน
เมื่อผ่านช่วงลองผิดลองถูกตั้งแต่วัยเรียน มาจนถึงวัยทำงานในยุคที่เต็มไปด้วยเทคโลยีและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เฟริสท์และฮายจึงแนะนำว่าทักษะสำคัญที่ควรเตรียมพร้อมคือ ‘การรู้เท่าทันสื่อ’ หรือ ‘Media Literacy’ ไม่ว่าโลกจะอยู่ในยุคหนังสือพิมพ์ กระทั่งการเสพข่าวจากในทวิตเตอร์ เพราะข้อมูลข่าวสารส่งผลกระทบต่อความคิด ความเชื่อ ไปจนถึงการใช้ชีวิตประจำวันของเรา การเสพสื่ออย่างมีวิจารณญาณจะช่วยให้ได้รับข้อมูลที่รอบด้านและไม่ตกเป็นเหยื่อของข้อมูลที่บิดเบือน
นอกจากนี้อีกทักษะที่ฮายและเฟริสท์เห็นตรงกันคือ ทักษะการนำเสนองาน หรือการพูดต่อหน้าสาธารณะ (public speaking) แม้วัยเรียนทักษะนี้มักจะได้ใช้เพื่อการนำเสนอหน้าห้อง แต่เมื่อเข้าสู่วัยทำงาน ทักษะดังกล่าวจำเป็นมากกว่าอาชีพพิธีกรหรืออาชีพด้านการสื่อสาร เพราะบางครั้งเราอาจจะต้องนำเสนองานกับลูกค้า ไปจนถึงเสนอความคิดเห็นในที่ประชุม ซึ่งฮายแนะนำวิธีสร้างความมั่นใจว่า
“หนึ่งเลย พูดกับตัวเองในกระจก ซ้อมเยอะ ๆ จะช่วยลดความตื่นเต้นไปเยอะมาก ไม่ว่าจะไปไหนก็ตาม ซ้อมและส่งกำลังใจให้ตัวเองเยอะ ๆ”
อย่างไรก็ตามทั้งคู่มองว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบันอาจไม่ได้ส่งผลกระทบกับเด็กรุ่นใหม่มากนัก เพราะเด็กยุคใหม่เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยี ทำให้สามารถปรับตัวและเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นสิ่งสำคัญอาจเป็นการโฟกัสและทำในสิ่งที่ตั้งใจอย่างเต็มที่
“อดทน โฟกัสในสิ่งที่ทำแล้วมีความสุขที่สุด แล้วก็ คือสบายใจเราด้วย แล้วก็สบายใจกับทางครอบครัวเราด้วยอะไรอย่างนี้ค่ะ น่าจะโอเค แล้วก็เด็กสมัยนี้ อันนี้ฮายมองจากมุมคนอายุเท่าฮายนะ 26 นะ ฮายมองว่าเด็กสมัยนี้เก่งมาก สมัยฮาย 15-16 ฮายยังเล่นหมากเก็บอยู่เลย (หัวเราะ) ฮายว่าถ้ามองถึงอนาคต ต้องมีเด็ก ๆ ที่เก่งเยอะมาก ๆ ดังนั้น แค่โฟกัสเป้าหมายของตัวเอง แค่นั้นเลย”
ก่อนจากกันเฟริสท์และฮายทิ้งท้ายไว้ว่า ทั้งหมดนี้เป็นเพียงประสบการณ์และคำแนะนำจากรุ่นพี่ ซึ่งแต่ละคนอาจจะมีเงื่อนไขชีวิตที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นการเตรียมพร้อมและพัฒนาตัวเองสำหรับวันข้างหน้าก็อาจจะต้องเลือกรับ และนำข้อมูลบางอย่างไปปรับใช้ตามเงื่อนไขและวิธีการในแบบของตัวเอง