บรรณารักษ์ควรจะทำอย่างไรต่อไปในอนาคต (ตอนที่ 2) หากหนังสือและสื่อสิ่งพิมพ์ยังไม่ถึงจุดอวสาน
16 กันยายน 2562
268
Photo : Dean Rutz / The Seattle Time
นักปราชญ์บางท่านเคยกล่าวไว้ว่า ข้อดีของอนาคตคือมันยังไม่เกิดขึ้น สิ่งที่เราได้อธิบายละเอียด ณ ที่นี้ไม่ได้เป็นสถานการณ์เพียงแบบเดียวที่อาจเกิดขึ้นกับหนังสือและห้องสมุดในอนาคต หนังสือที่ตีพิมพ์เป็นรูปเล่มอาจจะไม่ได้หายไปหรือจะไม่หายไปในเร็วๆ นี้ก็ได้
ขณะนี้มีหลักฐานเพิ่มขึ้นว่า ยอดขายหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเคยเพิ่มเป็นสองเท่าทุกปีในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาได้เริ่มลดลงอย่างมาก เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2555 (ค.ศ. 2012) เว็บไซต์พับลิชเชอร์ ลันช์ พีซ ไมเคิล คาร์เดอร์ (Publishers Lunch piece, Michael Carder) รายงานข้อมูลของสมาคมสำนักพิมพ์อเมริกัน (Association of American Publishers-AAP) แสดงให้เห็นว่า เดือนกันยายน พ.ศ. 2554 (ค.ศ. 2011) เป็นเดือนสุดท้ายที่ยอดขายหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้านั้น
ในรายงานล่าสุดเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2555 (ค.ศ. 2012) พบว่ายอดขายหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นเพียง 37% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี พ.ศ. 2554 (ค.ศ. 2011) คาร์เดอร์หยิบยกคำพูดของสำนักพิมพ์บางแห่งที่อ้างจำนวนที่ใกล้เคียงกัน โดยสำนักพิมพ์ไซม่อน แอนด์ ชูสเตอร์ (Simon & Schuster) และสำนักพิมพ์เพนกวิน (Penguin) ยืนยันว่า หนังสืออิเล็กทรอนิกส์มียอดขายเพิ่มขึ้นอยู่ที่ประมาณ 30% นิดๆ ในปี พ.ศ. 2555 (ค.ศ. 2012) ซึ่งถือว่าเป็นอัตราการเจริญเติบโตที่มากกว่าปีก่อนๆ นอกจากนี้ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดในตลาดการตีพิมพ์ที่มีการซื้อขายกันยังคงมีเปอร์เซ็นต์เท่ากับในช่วงปีที่แล้ว คือ ประมาณ 20%[1]
สมาคมซื้อขายหนังสือ (Book Industry Study Group) ได้ตีพิมพ์งานวิจัยที่มีข้อมูลอัตราการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่ลดลง พร้อมทั้งเสนองานวิจัยอีกฉบับ ซึ่งพบว่าผู้ที่ใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เป็นเวลามากกว่าหนึ่งปีเริ่มซื้อหนังสือที่เป็นรูปเล่มมากขึ้น และซื้อหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ลดลงหลังจากเป็นเจ้าของอุปกรณ์ที่ใช้อ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เป็นเวลา 12 เดือน[2]
ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ได้รุนแรงนัก กล่าวคือผู้อ่านที่มีอุปกรณ์ที่ใช้อ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เพียงหนึ่งปี ซื้อหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ 69% ของจำนวนหนังสือทั้งหมดที่พวกเขาซื้อ และซื้อหนังสือที่ตีพิมพ์เป็นรูปเล่มเพียง 24% แต่ผู้อ่านที่มีอุปกรณ์ที่ใช้อ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เป็นเวลาสองปีขึ้นไป ซื้อหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ลดลงเหลือ 62% ของจำนวนหนังสือที่ซื้อทั้งหมด ขณะที่ซื้อหนังสือที่ตีพิมพ์เป็นรูปเล่มเพิ่มขึ้นเป็น 30% ซึ่งชี้ให้เห็นว่า เมื่อผู้อ่านใช้อุปกรณ์อ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ได้ระยะหนึ่ง ความนิยมใช้อุปกรณ์ดังกล่าวกลับลดลง
หลักฐานที่น่าเชื่อที่สุดน่าจะมาจากเจฟฟ์ เบซอส (Jeff Bezos) แห่งบริษัทแอมะซอนที่ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีว่า “เราพบว่าเมื่อผู้คนซื้อเครื่องคินเดิล ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้อ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ พวกเขาจะอ่านหนังสือมากขึ้นกว่าเดิมสี่เท่า แต่พวกเขาจะยังคงซื้อหนังสือที่ตีพิมพ์ในรูปแบบกระดาษ เจ้าของเครื่องคินเดิลเหล่านี้ยังคงซื้อหนังสือทั้งที่เป็นรูปเล่มและหนังสืออิเล็กทรอนิกส์”[3]
อาจเป็นไปได้หรือไม่ว่า ผู้ที่เขียนประกาศไว้อาลัยการอวสานของหนังสือกระดาษ อาจออกตัวเร็วเกินไปสักหน่อย ผู้อ่านซึ่งคลุกคลีกับห้องสมุดและสิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์อาจจะกำลังทำงานในตลาดลูกผสม (Hybrid marketplace) โดยผสมผสานหนังสือที่ตีพิมพ์เป็นรูปเล่มและหนังสืออิเล็กทรอนิกส์มาก่อนหน้านี้และจะเป็นเช่นนี้ไปอีกนาน
แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นมีความหมายอย่างไรแก่ห้องสมุดต่างๆ และบรรณารักษ์ เราเพียงแค่ให้บริการห้องสมุดต่อไปตามปกติใช่หรือไม่ คำตอบคืออาจจะไม่ให้บริการเหมือนเดิมทั้งหมด เห็นชัดว่าสภาพแวดล้อมแบบลูกผสมซึ่งหนังสือที่ตีพิมพ์เป็นรูปเล่มยังคงมีบทบาทสำคัญ และมีข้อดีที่เด่นชัดบางประการแก่ห้องสมุด
ประการแรก เรายังคงรักษาอาคารห้องสมุดเอาไว้ใช้จัดเก็บและแสดงหนังสือของเราได้ การจัดกิจกรรมทั้งหมดและบทบาทหน้าที่ของพนักงานทุกคนจะยังคงมีต่อไป เด็กๆ จะยังมาห้อมล้อมบรรณารักษ์ที่คอยดูแลผู้ใช้บริการเด็กเมื่อถึงเวลาเล่านิทาน ผู้คนจะมาพบกันในห้องประชุมกันเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับหนังสือต่างๆ หรืออภิปรายประเด็นที่กำลังเป็นที่ถกเถียงกันในขณะนั้น
ประการที่สอง สภาพแวดล้อมแบบลูกผสมที่มีทั้งหนังสือที่ตีพิมพ์เป็นรูปเล่มและหนังสืออิเล็กทรอนิกส์จะสร้างโอกาสใหม่ๆ ที่สำคัญให้แก่ห้องสมุด เราทราบแน่แล้วว่ายอดขายหนังสือออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือที่ตีพิมพ์เป็นรูปเล่มหรือหนังสืออิเล็กทรอนิกส์มีผลเสียต่อร้านหนังสือแบบเดิมที่มีหน้าร้าน ในสหรัฐอเมริการ้านหนังสืออิสระมากกว่า 1,000 ร้านปิดตัวลงระหว่างช่วงปี พ.ศ. 2543-2550 (ค.ศ. 2000-2007) และนี่ยังไม่รวมร้านหนังสืออย่างบอร์เดอร์ส (Borders) ที่มีสาขาสาขากว่า 600 แห่ง นอกจากนี้ยังมีร้านหนังสือที่น่าเชื่อถือ เช่น ร้านหนังสือเดวิส-คิดด์ (Davis-Kidd) ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองแนชวิลล์และเมืองเมมฟิส ในรัฐเทนเนสซี และร้านหนังสือโคดีส์ (Cody’s) ที่เมืองเบิร์กลีย์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ส่วนร้านหนังสือหลายร้านที่ยังดำเนินกิจการอยู่ เช่นร้านหนังสือบาร์นสแอนด์โนเบิล (Barnes & Noble) ได้ลดพื้นที่วางหนังสือลงและเพิ่มพื้นที่ให้เกมส์ ของเล่น ไพ่ และสินค้าเสริมอื่นๆ ที่ไม่ใช่หนังสือ
ร้านหนังสือไม่ว่าจะเป็นร้านที่มีสาขาหรือร้านอิสระ ต่างดำเนินธุรกิจโดยมีกำไรเพียงน้อยนิด การที่ร้านค้าเหล่านี้ต้องแบ่งเปอร์เซ็นต์แม้เพียงเล็กน้อย เป็นค่าขนส่งหนังสือให้แก่บริษัทแอมะซอน กูเกิล หรือร้านค้าปลีกออนไลน์อื่นๆ ก็อาจทำให้ธุรกิจของพวกเขาเสี่ยงที่จะขาดทุนหรือเลิกกิจการได้
เมื่อเร็วๆ นี้งานวิจัยของกลุ่มโคเด็กซ์ (Codex) ระบุว่า การเดินหาหนังสือในร้านหนังสือเป็นวิธีที่คนทั่วไปนิยมใช้กันมากกว่าวิธีอื่นๆ (คิดเป็น 28%) เมื่อเปรียบเทียบกับการค้นหาหนังสือขายดีทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งคิดเป็น 6% และการค้นหาหนังสือโดยใช้สื่อดิจิทัลที่คนเชื่อว่ามีสมรรถนะสูงของบริษัทยักษ์ใหญ่ (ได้แก่ เครื่องมือในการสืบค้น (search engine) เครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social networks) ทวิตเตอร์ และตัวอย่างหนังสือที่ทำเป็นคลิปภาพยนตร์สั้นๆ มีจำนวนน้อยเพียง 1.9%[4]
กลุ่มโคเด็กซ์ยังรายงานอีกว่า ผู้คนมากมายที่ค้นเจอหนังสือที่ต้องการในร้าน จะซื้อหนังสือนั้นทางออนไลน์ในเวลาต่อมา ซึ่งทำให้ผู้ค้าปลีกทางออนไลน์คิดว่าร้านหนังสือใกล้บ้านไม่ต่างอะไรกับห้องแสดงสินค้าแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย (ฟรีโชว์รูม) มากนัก และยอดขายประเภทนี้อาจทำให้ร้านหนังสือเลิกกิจการไปอย่างรวดเร็ว มันช่างกลับตาลปัตรที่ร้านหนังสือกำลังจะหายไป ในขณะที่ผู้คนกำลังเริ่มตระหนักถึงคุณค่าของมันที่ช่วยให้พวกเขาพบหนังสือที่กำลังค้นหาอยู่
แน่นอนว่าผู้คนสามารถเห็นหนังสือวางบนชั้นในห้องสมุดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ห้องสมุดไม่เหมือนกับร้านหนังสือ เราได้รับเงินภาษีหรืองบประมาณจากรัฐบาลที่ค่อนข้างแน่นอน ดังนั้นเราจึงไม่ต้องปิดตัวลงเพราะผู้ใช้บริการตัดสินใจซื้อหนังสืออิเล็กทรอนิกส์และอ่านหนังสือดังกล่าวบนเครื่องคินเดิล แต่หากร้านหนังสือไม่มีหน้าร้านอีกต่อไปและถึงจุดอวสาน ห้องสมุดสามารถเข้าไปเกี่ยวข้องกับการขายและให้ยืมหนังสือ โดยอาจร่วมมือกับเจ้าของร้านหนังสือที่ “เกษียณ” แล้วและกำลังมองหาอะไรทำ ในที่สุดพวกเราอาจจะได้ดำเนินธุรกิจร้านหนังสือใช้แล้วและทำยอดขายได้อย่างประสบความสำเร็จ ทำให้ต้องเพิ่มหนังสือใหม่ๆ รวมทั้งหาวิธีส่งเสริมการขายและจัดการยอดขายหนังสือให้มีประสิทธิภาพในอาคารห้องสมุด
งานวิจัยค้นคว้าเกี่ยวกับห้องสมุดประชาชน (Public Library Inquiry) ในปี พ.ศ. 2493 (ค.ศ. 1950) ซึ่งเป็นงานวิจัยชิ้นใหญ่ที่ครบถ้วนสมบูรณ์และมีความสำคัญในการต่อยอดความรู้เกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของห้องสมุดประชาชนในสหรัฐอเมริกา ดำเนินการวิจัยโดยนักสังคมวิทยาและนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำที่ได้รับมอบหมายและได้รับเงินทุนจากสมาคมห้องสมุดอเมริกัน ได้ระบุข้อเสนอแนะไว้ดังนี้…
ในเมืองและหมู่บ้านเล็กๆ ที่ไม่มีร้านหนังสือ ห้องสมุดประชาชนอาจทำหน้าที่เป็นศูนย์หนังสือชุมชนทั่วไปหรือร่วมกับตัวแทนจำหน่ายหนังสือเพื่อหาสถานที่จัดตั้งศูนย์หนังสือทั่วไป ในศูนย์ฯ ดังกล่าว ผู้คนสามารถซื้อหนังสือใหม่หรือหนังสือมือสองได้จากสต็อกหนังสือที่เก็บไว้ในศูนย์ ซื้อ เช่า หรือยืมได้ฟรีในระยะเวลาที่กำหนด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้า ปริมาณความต้องการหนังสือแต่ละเรื่อง ลักษณะและคุณภาพของหนังสือ
การดำเนินการเช่นนี้จะส่งผลต่อการขยายขอบเขตหน้าที่ของห้องสมุดให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์หลักในการสร้างห้องสมุด นั่นก็คือเพื่อให้ผู้คนได้มีหนังสืออ่าน ข้อเสนอดังกล่าวอาจช่วยให้ผู้คนในชุมชนเล็กๆ มีหนทางเพิ่มขึ้นในการเข้าถึงหนังสือจำนวนมากกว่าแต่ก่อนได้ และได้รับบริการให้เข้าถึงหนังสือโดยมีผู้ที่เชี่ยวชาญเรื่องหนังสือคอยให้คำแนะนำ[5]
วิธีการทั่วไปที่ทำให้ผู้คนค้นหาหนังสือพบ[6]
ในอนาคตห้องสมุดอาจเป็นเหมือนชุมชนเล็กๆ ที่มีหนังสือจำหน่าย เราควรใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากการรับบทบาทเป็น “ห้องแสดงสินค้า” ที่มีเจ้าของร้านหนังสือทำงานให้ หากผู้คนพบหนังสือที่พวกเขาชอบบนชั้นวางของเรา เราก็น่าจะสามารถอำนวยความสะดวกให้พวกเขาพบหนังสือเรื่องนั้นในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ง่ายๆ เช่นกัน แน่นอนว่าพวกเขาสามารถยืมหนังสือจากเราได้ แต่หากพวกเขาต้องการเก็บหนังสืออิเล็กทรอนิกส์นั้นไว้ ก็สามารถสแกนบาร์โค้ดเพื่อเรียกดูไฟล์ซึ่งพร้อมจะสั่งพิมพ์ได้ หากสื่อดังกล่าวเปิดให้สาธารณะใช้ฟรี (หรือใช้ฟรีด้วยเหตุผลอื่น) พวกเขาก็สามารถดาวน์โหลดสื่อนั้นได้ทันที หากหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เรื่องนั้นมีค่าบริการ ผู้ใช้บริการก็เพียงแค่สแกนบาร์โค้ด สั่งซื้อ และชำระเงินโดยไม่ต้องนำหนังสือออกจากชั้นในห้องสมุด บางทีห้องสมุดอาจไม่ได้ผลประโชน์จากยอดขาย แต่ก็นับว่าธุรกรรมเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญของภารกิจของเราในการนำหนังสือมาให้ถึงมือผู้ใช้บริการ
ดังนั้น ตลาดลูกผสมระหว่างหนังสือที่ตีพิมพ์เป็นรูปเล่มและหนังสืออิเล็กทรอนิกส์อาจเป็นโอกาสสำคัญที่ผลักดันให้ห้องสมุดรับบทบาทที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม ถ้าเราทำได้ ห้องสมุดทุกแห่งน่าจะมีศักยภาพที่จะเป็นศูนย์หนังสือ ในฐานะสถานที่ที่ผู้คนสามารถเข้ามาและเลือกหาหนังสือที่คัดสรรไว้อย่างพิถีพิถัน ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับหนังสือและผู้แต่งหนังสือที่พวกเขาอาจไม่รู้ว่ามีอยู่หรือไม่ และเจาะลึกสาขาวิชาที่พวกเขาต้องการรู้เพิ่มเติม เมื่อพวกเขาพบสิ่งที่ต้องการ ก็มีทางเลือกหลากหลายที่จะรับบริการ ได้แก่ การยืมหนังสือ การซื้อหนังสือที่พิมพ์เป็นรูปเล่ม หรือการดาวน์โหลดหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ไปยังอุปกรณ์ที่ใช้อ่าน
ห้องสมุดมีองค์ประกอบหลายอย่างที่พร้อมรับบทบาทหน้าที่นั้น เรามีอาคารมากกว่า 20,000 อาคารที่ออกแบบมาเพื่อแสดงหนังสือ ชุมชนและสถาบันอุดมศึกษาเกือบทุกแห่งต้องการห้องสมุดอย่างน้อยหนึ่งแห่ง เรามีหนังสือมากมายอยู่แล้ว ซึ่งหากระบุจำนวนก็คงมากกว่าสองพันล้านเล่ม และไม่ใช่เป็นหนังสือทั่วไป แต่เป็นหนังสือที่บรรณารักษ์ได้คัดสรรและเก็บรักษาไว้
องค์ประกอบสุดท้ายคือ เรามีผู้คนมากกว่า 1.6 พันล้านคนที่เข้ามาใช้บริการห้องสมุดในแต่ละปี ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่ย่อมหวังว่าจะหาหนังสือสักเล่มหนึ่ง แน่นอนเราเป็นที่รักของหลายๆ คน และชุมชนก็สนับสนุนเรา สิ่งเหล่านี้เป็นเสมือนสินทรัพย์ที่มิอาจประเมินมูลค่าได้ หากเทียบกับบรรดาธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ อาจก่อร่างสร้างตัวด้วยต้นทุนที่น้อยกว่าเราเสียด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตามเรายังมีความท้าทายสำคัญที่ต้องเอาชนะ ความท้าทายประการแรกคือเราจะต้องทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับระบบกระจายข้อมูลที่ไม่มีประสิทธิภาพเอาเสียเลย ขอย้อนกลับไปเรื่องงบประมาณหนังสือจำนวน 12 เซนต์ของห้องสมุดประชาชน และจำนวน 34 เซนต์ห้องสมุดสถาบันอุดมศึกษา บรรณารักษ์ทุกคนต้องตรวจสอบงบประมาณของตนเองอย่างถี่ถ้วนและหาวิธีลดต้นทุนในการดำเนินงาน
ตัวอย่างแนวคิดการประหยัดต้นทุน เช่น การให้บริการอ้างอิงแบบเสมือนที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพสูง ซึ่งสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการจ้างให้บรรณารักษ์ที่นั่งประจำเคาน์เตอร์ได้ 1-2 คน ในทำนองเดียวกันอาจมีระบบพัฒนาทรัพยากรบางอย่างจากส่วนกลาง ที่ห้องสมุดต่างๆ สามารถใช้ร่วมกันได้ ในขณะที่ห้องสมุดแต่ละแห่งยังสามารถควบคุมทรัพยากรของตนเองได้
ความสามารถในการคัดสรรทรัพยากรให้เหมาะสมกับชุมชน การสร้างความแปลกใหม่และคุณสมบัติเฉพาะแก่ทรัพยากรของเรา เป็นสิ่งที่มีคุณค่าและสำคัญยิ่ง ซึ่งทำให้เราแตกต่างจากร้านขายหนังสือวอลมาร์ทในละแวกนั้นหรือร้านหนังสือแบบมีสาขา อย่างไรก็ตามห้องสมุดต่างๆ มักซื้อสื่อซ้ำกันเป็นจำนวนมากและการตัดสินใจเลือกซื้อสื่อเหล่านี้อาจจะมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้นหากได้รับความช่วยเหลือจากส่วนกลาง
เราต้องใช้ประโยชน์จากเว็บไซต์ให้เต็มที่ เพราะเหตุใดเราจึงยังคงจ่ายเงินซื้อระบบบันทึกรายการทรัพยากรต่างๆ ให้เครื่องคอมพิวเตอร์อ่านได้ (MARC records) ที่เล็กและไม่เพียงพอต่อการใช้งาน และซื้อภาพปกหนังสือจากผู้จำหน่ายทรัพยากรให้แก่ห้องสมุด ในขณะที่สำนักพิมพ์ต่างๆ แลกเปลี่ยนข้อมูลที่หลากหลายและอิสระกับแอมะซอนและผู้ค้าปลีกรายอื่นๆ เพราะเหตุใดเราจึงยอมจ่ายค่าดำเนินการให้ผู้ขายหนังสือรายอื่นโดยเฉลี่ยเล่มละ 3-5 ดอลลาร์ ส่วนร้านหนังสือสามารถวางหนังสือเรื่องเดียวกันไว้บนชั้นในร้านโดยจ่ายเพียงไม่กี่เพนนี และเพราะเหตุใดเราจึงยอมจ่ายค่าบริการยืมระหว่างห้องสมุดระหว่าง 30-100 ดอลลาร์ขึ้นไปต่อครั้ง เมื่อหนังสือหลายเรื่องที่ร้องขอมีบนเว็บไซต์ในราคาไม่กี่เหรียญและสามารถส่งให้ลูกค้าได้โดยตรง
ถึงแม้ว่าเรามิได้เลือกที่จะเป็นร้านหนังสือที่เน้นยอดขาย อย่างน้อยเราควรจะได้ค่าแนะนำส่งต่อลูกค้าตามมาตรฐานจากแอมะซอน เนื่องจากเราได้แนะนำผู้ใช้บริการให้ซื้อหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ นี่เป็นเพียงความคิดบางอย่างที่นำไปใช้เริ่มต้นได้ ประเด็นคือหากเราต้องการใช้ประโยชน์จากโอกาสใหม่ๆ ที่ตลาดมอบให้เรา เราต้องตรวจสอบองค์ประกอบทุกอย่างของต้นทุนการดำเนินงานห้องสมุดอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ความท้าทายประการสุดท้าย ซึ่งอาจสำคัญที่สุด หากห้องสมุดกำลังจะให้ความสำคัญกับหนังสือเป็นอันดับแรก พวกเราต้องทุ่มเทเวลา ความใส่ใจ และทรัพยากรไปที่วัตถุประสงค์หลักนั้นอย่างจริงจังและพยายามเลิกให้ความสนใจกับสิ่งอื่นๆ แทบจะทุกเรื่อง เนื่องจากห้องสมุดพยายามสานสัมพันธ์และอยากเป็นที่รักใคร่ของทุกคน ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้ห้องสมุดจึงได้ดำเนินโครงการทุกประเภทที่แปลกประหลาดและไม่เกี่ยวข้องหรือมีส่วนเกี่ยวข้องเพียงเล็กน้อยกับหนังสือและการอ่าน
เท่าที่พอจะนึกได้ ความพยายามในลักษณะดังกล่าวมีมากมาย ได้แก่ การสร้างเมกเกอร์สเปซและแฮกเกอร์สเปซ การแข่งขันวิดีโอเกม การจัดที่พักอาศัยให้คนไร้บ้านในช่วงเวลากลางวัน การเป็นตัวแทนพัฒนาสังคม ศูนย์จ้างงาน ฯลฯ ซึ่งดูเหมือนจะพยายามพิสูจน์ว่าสถาบันห้องสมุดสามารถให้บริการมากกว่าเรื่องหนังสือ
เราเชื่อว่าเราดีพอหรือยังในการช่วยจัดการ รักษา และให้การเข้าถึงสิ่งตีพิมพ์ทุกชนิด ถึงแม้ว่าเรามีพร้อมทั้งเวลา งบประมาณ และบุคลากร สิ่งที่เราทำนอกเหนือจากวัตถุประสงค์หลักจะทำให้องค์กรเสื่อมเสีย เพราะทำให้ภาพลักษณ์ของห้องสมุดของเราไม่ชัดเจนและทำให้ผู้ใช้บริการสับสนว่าเรามีวัตถุประสงค์อย่างไร
ความจริงก็คือการมุ่งวัตถุประสงค์ใดๆ โดยเฉพาะนั้นเป็นเรื่องยาก หากคุณยังคงพยายามจะทำทุกอย่างให้กับทุกคน ดังนั้นเพื่อให้ประสบความสำเร็จในสภาพแวดล้อมที่กำลังแข่งขันกันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เราต้องมุ่งใช้ทรัพยากรอันจำกัดของเรา เพื่อให้เราเป็นห้องสมุดที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
แล้วที่กล่าวมาข้างต้นหมายความว่าเราต้องทำอย่างไร
อันดับแรก จงเลิกวิ่งไล่แฟชั่นสมัยนิยมเทคโนโลยีที่เข้ามา เช่น เมกเกอร์สเปซ หรือให้บริการโดยเว็บไซต์ฮูปลา (Hoopla) และจงมุ่งให้บริการผู้คนที่มาหาเราเพราะต้องการหนังสือ นั่นหมายความว่าให้ใช้งบประมาณมากขึ้นในการซื้อหนังสือและใส่ใจสื่อที่ผู้ใช้บริการต้องการและมองว่าจำเป็น
ในขณะเดียวกันก็ต้องพิจารณาไตร่ตรองก่อนใช้งบประมาณอันจำกัดไปซื้อฐานข้อมูลและทรัพยากรอื่นที่ไม่ใช่หนังสือ ซึ่งมีการใช้งานไม่มากนัก นอกจากนี้ยังรวมทั้งการจัดหาหนังสือที่คัดสรรอย่างพิถีพิถันให้แก่ผู้อ่าน จงให้เกียรติผู้ที่ขอให้หาหนังสือที่เขาต้องการ หากใครมาหาเราเพื่อค้นหาหนังสือที่พวกเขาไม่รู้จัก พวกเขาต้องเห็นหนังสืออื่นๆ มากไปกว่าหนังสือขายดีที่วางอยู่บนชั้น พวกเขาต้องไว้ใจให้เราเลือกสรรหนังสือเรื่องที่ดีที่สุดจากหนังสือหลายแสนชื่อเรื่องที่หลั่งไหลออกมาจากสำนักพิมพ์ทุกๆ ปี
ประการที่สอง จงจ้างนักอ่าน กล่าวคือให้สรรหาพนักงานห้องสมุดที่มีความรู้เกี่ยวกับหนังสือและรักหนังสือ และฝึกฝนพวกเขาในการให้บริการผู้อ่านที่ยอดเยี่ยม อาทิ การแนะนำหนังสือรายชื่อใหม่ๆ ที่ผู้อ่านอาจไม่คุ้นเคยอย่างเป็นกันเอง การเสาะหาหนังสือที่ห้องสมุดไม่มีให้บริการ และความพร้อมให้คำแนะนำหนังสือใหม่และผู้เขียนมือใหม่ตามความสนใจของผู้อ่าน นักอ่านที่ให้คำแนะนำภายในห้องสมุดควรจะมีความสามารถพอๆ กันหรืออาจจะสูงกว่าพนักงานที่ให้คำแนะนำหนังสือในร้านหนังสือดีๆ
ประการที่สาม จงใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งสามารถช่วยพัฒนาประสบการณ์ของนักอ่าน เพราะเหตุใดเราจึงนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้บริการ เช่น ระบบจองคิวแบบเน็ตฟลิกซ์ และอนุญาตให้ผู้อ่านเข้าถึงหนังสือหลายร้อยชื่อเรื่องที่พวกเขาอยากจะอ่านและสามารถจัดลำดับความสำคัญของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เหล่านั้นใหม่ได้ด้วยตนเอง เพราะเหตุใดเราจึงไม่สามารถเปลี่ยนรายการทรัพยากรห้องสมุด (Catalog) เป็นแหล่งข้อมูลอันหลากหลายเกี่ยวกับหนังสือและผู้แต่ง แทนที่จะต้องให้ผู้อ่านไปพึ่งเว็บไซต์แอมะซอนหรือเว็บไซต์กู๊ดรีดส์ (GoodReads) เพราะเหตุใดเราจึงไม่สามารถใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลหนังสือดิจิทัลขนาดใหญ่และเทคโนโลยีการพิมพ์ตามจำนวนที่ต้องการ (print on demand) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแบบใหม่และมีราคาไม่แพงเพื่อให้ผู้ใช้บริการมีหนังสือที่พิมพ์ออกมาเป็นรูปเล่ม โดยรอรับได้
นี่เป็นเพียงความคิดบางอย่าง และผู้เขียนมั่นใจว่าเราสามารถคิดต่อได้อีกมากมาย ประเด็นคือการเป็นห้องสมุดและมุ่งเน้นให้บริการเข้าถึงหนังสือและข้อมูลไม่ได้หมายความว่าให้ละทิ้งเทคโนโลยีหรือกลับเข้าสู่ยุคมืด แต่หมายความว่าให้มุ่งความสนใจไปที่ความเป็นห้องสมุดและการช่วยให้ผู้อ่านได้เข้าถึงข้อมูลที่ตีพิมพ์ทั้งที่เป็นรูปเล่มและแบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งการได้เข้าถึงข้อมูลดังกล่าวคุ้มค่าแก่การรอคอย ในการปฏิบัติหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพ เราต้องคัดสรรเทคโนโลยี พนักงาน หนังสือ กิจกรรม และบริการต่างๆ ที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ดังกล่าวและละความสนใจสิ่งอื่นทั้งหมดที่ไม่ช่วยให้บรรลุวัตถุประสงค์นั้น
แล้วควรจะทำอย่างไรต่อไป
ในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมา ห้องสมุดและบรรณารักษ์ได้เติมเต็มบทบาทหน้าที่อันมั่นคงในโลกแห่งหนังสือและการพิมพ์ เรารวบรวมหนังสือและวารสารตามที่ตีพิมพ์ เพื่อให้ผู้คนสามารถค้นหาทรัพยากรดังกล่าวทั้งหมดได้ในสถานที่เดียว เราคัดสรรหนังสือเหล่านั้นและเลือกหนังสือที่เราคิดว่ามีคุณค่าและไม่สนใจหนังสือที่ไร้คุณค่า เราจัดระเบียบหนังสือ สร้างรายการทรัพยากรห้องสมุดและให้บริการอ้างอิงเพื่อช่วยให้ผู้คนพบสิ่งที่พวกเขาค้นหา เราเก็บรักษาหนังสือและข้อมูลที่เรารวบรวมไว้ เพื่อให้ผู้อ่านสามารถหาหนังสือเหล่านั้นได้แม้ส่วนใหญ่ไม่ถูกพิมพ์เพิ่มแล้ว
หนังสือมีราคาแพงเกินไปสำหรับนักเรียนนักศึกษา นักวิชาการ หรือผู้อ่าน ที่จะซื้อหนังสือทุกเล่มที่พวกเขาต้องการ ห้องสมุดทำให้พวกเขาได้อ่านหนังสือ โดยซื้อหนังสือนั้นแล้วแบ่งให้ทุกคนที่ต้องการอ่าน ทั้งหมดนี้เป็นหน้าที่ที่สำคัญ และไม่ต้องสงสัยเลยว่าเราคงจะไม่ได้เห็นการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหรือความเจริญรุ่งเรืองของศิลปะ ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงสังคมในช่วงสหัสวรรษที่ผ่านมา หากห้องสมุดและบรรณารักษ์ไม่คอยช่วยสนับสนุนการพัฒนาดังกล่าว ห้องสมุดและบรรณารักษ์สามารถน้อมรับสิ่งที่ผู้คนชื่นชมนั้นได้ เพราะในช่วงพันปีที่ผ่านมาเราเป็นผู้ที่เติมเต็มบทบาทเหล่านั้น
ตอนนี้การปฏิวัติดิจิทัลกำลังสั่นสะเทือนทำลายโลกของหนังสือและการพิมพ์ที่มีความมั่นคงมายาวนานอย่างน่าตกใจ ละอองฝุ่นยังไม่ทันหายคลุ้ง เราจึงไม่สามารถแน่ใจได้ว่าสิ่งต่างๆ จะเปลี่ยนไปอย่างไร เราไม่ทราบว่าผู้คนจะมีความสุขอย่างแท้จริงในการอ่านทุกสิ่งทุกอย่างในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์หรือไม่ หรือสื่อที่ตีพิมพ์เป็นรูปเล่มจะทนแบกรับชะตากรรมบางอย่างได้หรือไม่ อย่างไร และทนได้นานเพียงใด
สิ่งที่เราทราบก็คือหน้าที่พื้นฐานที่ห้องสมุดทำ ได้แก่ การรวบรวมและรักษาเนื้อหา การคัดสรรหนังสือ และการช่วยให้ผู้คนพบสิ่งที่พวกเขาต้องการในหนังสือ หน้าที่ทั้งหมดนี้ยังคงสำคัญยิ่ง ไม่ว่าเนื้อหานั้นจะปรากฏในรูปแบบสื่อที่ตีพิมพ์เป็นรูปเล่มหรือในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์
ตราบใดที่สื่อตีพิมพ์เป็นรูปเล่มยังคงมีความสำคัญ ห้องสมุดน่าจะยังคงเป็นสถาบันเดียวที่สามารถซื้อ เก็บรวบรวม และบำรุงรักษาหนังสือและสื่อมากมายไว้ให้ผู้คนได้ใช้งาน โลกแบบลูกผสมที่ผู้คนอ่านทั้งหนังสือที่ตีพิมพ์เป็นรูปเล่มและหนังสืออิเล็กทรอนิกส์อาจเปิดโอกาสให้ห้องสมุดได้ขยายบทบาทนอกเหนือหน้าที่เดิม และทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างสื่อทั้งสองรูปแบบ
เมื่อร้านหนังสือมีจำนวนลดลง ห้องสมุดอาจกลายเป็นสถานที่เพียงไม่กี่แห่งที่ผู้คนสามารถมาดูหนังสือที่แสดงบนชั้นวางหนังสือ เมื่อผู้อ่านพบหนังสือบนชั้นวางของเราและต้องการมัน พวกเขาสามารถเลือกว่าจะยืมหนังสือ ดาวน์โหลดหนังสือได้ฟรีหากหนังสือเรื่องนั้นไม่มีลิขสิทธิ์หรือมีให้ยืมในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือซื้อหนังสือที่ตีพิมพ์เป็นรูปเล่มหรือหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ไปใส่ไว้ในในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของตน
จุดที่น่าสนใจอย่างยิ่งของสถานการณ์นี้คือ มันช่วยให้เราและผู้ใช้บริการยังคงใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอันมีค่าที่เราได้สร้างขึ้นมาเป็นเวลาหลายปี ไม่ว่าจะเป็นหนังสือจำนวนหลายพันล้านเล่ม อาคารหลายพันแห่ง ผู้คนหลายล้านคนที่เดินเข้ามาที่ห้องสมุดในแต่ละปี และเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้และประสบการณ์เป็นอย่างดี
เมื่อเข้าสู่ระบบดิจิทัล ผู้อื่นเช่นบริษัทกูเกิล แอมะซอน และแอปเปิล เข้ามามีบทบาทเหมือนห้องสมุด โดยสร้างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์จำนวนมากกว่าหนังสือที่ห้องสมุดแห่งใดมี ทั้งยังมีการคัดสรรทรัพยากรดิจิทัลผ่านการติชมของลูกค้าและสำนักพิมพ์ จำนวนการกดถูกใจ (การกดไลค์) ระบบการจัดอันดับ และการบอกต่อบนเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ มันเป็นรายการทรัพยากรที่ซับซ้อน (ซึ่งดีกว่าเครื่องมือใดๆ ที่เรามีในตอนนี้) เครื่องมือในการสืบค้น (search engine) ช่วยให้ผู้คนพบสิ่งต่างๆ ในห้องสมุดขนาดใหญ่ที่มุ่งหวังผลกำไรเหล่านี้
การแข่งขันในตลาดผลักดันให้ราคาเฉลี่ยของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ต่ำกว่าราคาเบียร์แพ็คละหกกระป๋องเสียอีก และยังสามารถลดราคาลงอีกถ้าจำเป็น การบริการให้ยืมเชิงพาณิชย์ เช่น ห้องสมุดคินเดิล และเน็ตฟลิกซ์ เตรียมพร้อมที่จะเข้าสู่การต่อสู้ทางธุรกิจ ในส่วนของการรักษาทรัพยากร มูลค่าในเชิงพาณิชย์ จะรับประกันได้ว่าหนังสืออิเล็กทรอนิกส์จะไม่มีวันเลิกตีพิมพ์
ในตลาดวิชาการ สำนักพิมพ์ด้านวิทยาศาสตร์และด้านเทคนิค และสมาคมวิชาชีพต่างๆ ได้รวบรวมและให้บริการงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารจำนวนมาก หากหนังสือที่มีเนื้อหาเฉพาะทางกลายเป็นรูปแบบดิจิทัล ก็คงจะไม่มีขั้นตอนให้บริการใดที่ต้องทำเพิ่ม เราสามารถทำหน้าที่ช่วยค้นหาข้อมูล หนังสือ และทรัพยากรอื่นๆ ราคาของบทความวิชาการน่าจะยังคงสูง ดังนั้นบทบาทดั้งเดิมของห้องสมุดในการให้บริการเพื่อเข้าถึงทรัพยากรจึงยังคงสำคัญ
ทั้งนี้ ห้องสมุดควรมีงบประมาณมากพอที่จะจ่ายค่าเข้าถึงทรัพยากรนั้น การเลิกห้องสมุดวิชาการแบบเดิมจะลดค่าใช้จ่ายได้ราว 65% ซึ่งใช้เพื่อจ้างพนักงานและดำเนินงานอาคารปฏิบัติการห้องสมุด แล้วนำงบประมาณดังกล่าวมาใช้สนับสนุนโลกที่เปิดให้เข้าถึงข้อมูลได้เสรี เพื่อให้ผู้ใช้บริการเข้าถึงข้อมูลเชิงวิชาการได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์
บริการที่ครั้งหนึ่งเราเคยผูกขาด กลายเป็นบริการที่มีการแข่งขันในเชิงพาณิชย์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าถึงเวลาต้องละทิ้งหนังสือและเริ่มครุ่นคิดทำสิ่งใหม่ๆ ความคิดเช่นนั้นไม่ถูกต้อง เราเป็นบรรณารักษ์ เราเลือกแล้ว! ทักษะต่างๆ การฝึกอบรม ความรู้ และประสบการณ์ของเรานั้นมีความเกี่ยวข้องกับหนังสือและผลงานที่ตีพิมพ์อย่างแยกไม่ออก
บริการที่เราดำเนินการนั้นยังคงเป็นที่ต้องการในยุคดิจิทัล ไม่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเปลี่ยนเป็นรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์หรือเป็นสภาพแวดล้อมแบบลูกผสม ขณะนี้เรากำลังทำสิ่งที่เราทำมานานกว่าพันปีแล้ว เรามีข้อเสนอมากมาย และเราไม่ควรปล่อยให้การแข่งขันเล็กๆ น้อยๆ มาขวางทางเรา
ทว่าเราจำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากเครื่องมือและเทคโนโลยีที่เรามีในขณะนี้ เพื่อค้นหาวิธีที่ดีกว่าและมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการเชื่อมโยงผู้คนกับหนังสือและข้อมูล หากเราพัฒนาความสามารถในการให้บริการ บรรณารักษ์และวิชาชีพบรรณารักษ์จะมีอนาคตที่สดใสและยืนยาว ถ้าไม่เช่นนั้น ผู้อื่นก็พร้อมที่จะรับช่วงบทบาทหน้าที่นี้จากเราทันที
[1] Charting the Slowdown in eBook Growth, Michael Carder, Publishers Lunch, Aug. 9, 2012; http://lunch.publishersmarketplace.com/2012/08/charting-the-slowdown-in-ebook-growth
[2] Len Vlahos, The Changing Face of eBook Reading, presentation at BookExpo America, June 5, 2012; www.slideshare.net/bisg/len-vlahos-the-changing-face-of-ebook-reading
[3] Jeff Bezos interview by the BBC: Kindle Fire HD and Paperwhite Sales Make Amazon No Profit, Oct. 11, 2012; www.bbc.co.uk/news/technology-19907546
[4] Fill the Showroom, Sales Will Follow: The Bookstore as Filter, Chris Morrow, Publishers Weekly, May 9, 2011; http://www.publishersweekly.com/pw/by-topic/columns-and-blogs/soapbox/article/47115-fill-the-showroom-sales-will-follow-the-bookstore-as-filter.html
[5] Robert Leigh, The Public Library in the United States, Columbia University Press, 1950, p. 165
[6] Fill the Showroom, Sales Will Follow: The Bookstore as Filter, Chris Morrow, Publishers Weekly, May 9, 2011; http://www.publishersweekly.com/pw/by-topic/columns-and-blogs/soapbox/article/47115-fill-the-showroom-sales-will-follow-the-bookstore-as-filter.html
ที่มาเนื้อหา So Now What?: The Future for Librarians โดย สตีฟ คอฟแมน (Steve Coffman)