ในแต่ละประเทศ ศาสตร์ของการเล่านิทานมีเทคนิคแตกต่างกันตามวัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งในประเทศญี่ปุ่นมีกลวิธีการเล่านิทานที่เก่าแก่อย่างหนึ่ง เรียกว่า คามิชิไบ (Kamishibai) คามิ แปลว่า กระดาษ ชิไบ แปลว่า การเล่นละคร จึงแปลเป็นภาษาไทยว่า ละครกระดาษ
คามิชิไบได้รับนิยมเป็นอย่างมากในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1-2 แม้ในปัจจุบันจะมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยส่งเสริมการเล่านิทานให้น่าตื่นตาตื่นใจ แต่คามิชิไบก็ยังได้รับความสนใจจากเด็กๆ ญี่ปุ่นไม่เสื่อมคลาย พวกเขามักนิยมแสดงคามิชิไบที่โรงเรียนอนุบาล ห้องสมุด สถานรับเลี้ยงเด็ก และที่บ้าน นั่นเพราะผู้ที่สนใจสามารถซื้อกล่องบุไต (Butai) หรือกล่องไม้ที่มีบานพับของคามิชิไบได้ตามร้านหนังสือ ทำให้ผู้ปกครองและเด็กๆ สามารถสนุกกับการสร้างสรรค์คามิชิไบได้ภายในครอบครัว
หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญการเล่านิทานคามิชิไบ คือ Ritsuko Nagamuta (永牟田律子) และ Etsuko Nozaka (野坂悦子) บรรณาธิการผู้มากประสบการณ์กว่า 20 ปี ด้านการผลิตและการสร้างสรรค์คามิชิไบสำหรับเด็กเล็ก จากสำนักพิมพ์ Doshinsha สำนักพิมพ์ที่ผลิตนิทานภาพคามิชิไบ และวรรณกรรมเยาวชนโดยเฉพาะ ในโอกาสนี้สถาบันอุทยานการเรียนรู้ TK Park และ The Japan Foundation, Bangkok จึงเชิญวิทยากรทั้ง 2 ท่าน มาร่วมถ่ายทอดเทคนิคการสร้างคามิชิไบที่เหมาะกับเด็กเล็ก ผ่านกิจกรรมออนไลน์ ‘The Art of Kamishibai เล่าศิลป์ คามิชิไบ’ ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 23-24 มกราคม 2564 โดยมีคุณคุณปิยะวรรณ ทรัยพ์สำรวม นักแปลอิสระ รับหน้าที่ดำเนินรายการและแปลภาษาญี่ปุ่น
เสน่ห์ของคามิชิไบอยู่ตรงไหน?
Etsuko Nozaka ได้อธิบายถึงเอกลักษณ์ของคามิชิไบไว้ 3 ข้อ คือ
1. การเล่านิทานของผู้แสดงคามิชิไบทำให้โลกนิทานโผล่ออกมา และขยายกว้างขึ้นสู่กลุ่มคนฟัง นั่นเพราะ บุไต หรือกล่องไม้ที่เปรียบเสมือนโรงละครเล็กๆ ของคามิชิไบ ได้ช่วยแยกโลกความจริงกับโลกนิทานออกจากกัน เมื่อเปิดกล่องไม้ ก็เหมือนเปิดม่านการแสดง ได้เห็นผู้แสดงค่อยๆ ดึงแผ่นกระดาษคามิชิไบออกมา เป็นการนำพาโลกนิทานเข้าสู่โลกความจริง เข้าไปสู่การรับรู้ของกลุ่มผู้ฟัง
2. ทำให้เด็กๆ จดจ่อและมีสมาธิ นั่นเพราะเมื่อผู้แสดงดึงแผ่นแรกของคามิชิไบออกมา ผู้ฟังจะจดจ่อต่อว่า จะมีภาพอะไรโผล่มาในแผ่นต่อไป ไม่ใช่แค่นั้น ทั้งจังหวะการดึงแผ่นภาพ จังหวะการใช้น้ำเสียง จังหวะการกลั้นหายใจ ยังมีผลต่อกลุ่มผู้ฟังมีความจดจ่อและมีสมาธิในการฟังนิทานมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ในจังหวะที่ผู้เล่าดำเนินเรื่องด้วยการ ‘ดึงหน้าเก่าออก’ และ ‘สอดหน้าเก่าเก็บเข้าไป’ ผู้ฟังก็จะสนใจแผ่นภาพถัดไปโดยอัตโนมัติ เป็นการกระตุ้นให้เกิดความตื่นเต้นอยากรู้เรื่องราวต่อและสร้างให้เกิดสมาธิ
3. สร้างการสื่อสารระหว่างผู้เล่ากับผู้ฟัง เมื่อผู้ฟังเกิดความรู้สึกร่วมไปกับนิทาน ความรู้สึกนั้นจะมาประสานกับความรู้สึกของผู้เล่า เกิดเป็นความรู้สึกร่วมกัน จึงเป็นการรับรู้เรื่องราวที่แตกต่างจากการอ่านนิทานภาพโดยเปิดอ่านเองทีละหน้า เพราะจะมีการสื่อสารกันระหว่างผู้เล่าและผู้ฟังผ่านโลกนิทานเกิดขึ้น
ดังนั้น การสร้างสรรค์คามิชิไบหนึ่งเรื่อง จึงต้องมีคีย์เวิร์คสำคัญอยู่ 5 ข้อ เป็นส่วนประกอบ คือ 1. โลกนิทานค่อยๆ ออกมาแล้วขยายกว้างขึ้น 2. จังหวะการดึงกระดาษ 3. การจดจ่อหรือสมาธิ 4. การสื่อสาร และ 5. ความรู้สึกร่วม เมื่อมีทั้ง 5 ข้อนี้ จึงถือเป็นคามิชิไบที่สมบูรณ์
เคล็ดลับการแสดงคามิชิไบ
- เตรียมตัวด้วยการทำความเข้าใจเนื้อหาของนิทานมาก่อนล่วงหน้า อย่าลืมอ่านชื่อผู้เขียน ผู้อ่าน และชื่อนิทานก่อนเริ่มทุกครั้ง
- ตำแหน่งการยืนที่เหมาะสมคือยืนข้างเวทีหรือแท่นวางตู้ไม้ ไม่ควรยืนหลบด้านหลังหรือยืนห่างเกินไป และขณะเล่าไม่ควรเดินออกห่างจากเวที เพราะจะทำให้ผู้ฟังจดจ่อกับนิทานน้อยลง
- สบตาผู้ฟังเสมอและเล่าด้วยเสียงของตัวเอง อย่าดัดเสียงจนผิดธรรมชาติหรือโอเว่อร์แอคติ้ง เพราะหากผู้เล่าเด่นเกินไป เด็กๆ อาจจะมองแต่ตัวผู้เล่าจนไม่สนใจเนื้อเรื่องที่อยู่ในกรอบเวที อีกทั้งยังทำให้สูญเสียความลึกซึ้งของโลกนิทาน
- เมื่อจบเรื่องให้กล่าวคำที่สื่อความหมายชัดเจน เช่น “จบแล้วจ๊ะ” เพื่อดึงเด็กๆ ออกมาจากโลกนิทาน
มาสร้างคามิชิไบกันเถอะ!
สำหรับใครที่อยากสร้างสรรค์คามิชิไบด้วยตนเอง คุณ Ritsuko Nagamuta ก็ได้แนะนำเทคนิคการออกแบบคามิชิไบ ทั้ง การสังเกต การออกแบบภาพ การออกแบบภาษา การเล่นคำ การดึงภาพ ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถนำคำแนะนำต่อไปนี้ไปปรับใช้ สร้างสรรค์คามิชิไบเพื่อสร้างความสนุกสนานให้เด็กๆ
1. ถ้าต้องการสร้างคามิชิไบเรื่องใหม่ขึ้นมา ต้องคิดก่อนว่า อยากสร้างเรื่องแบบไหน ถ้าเป็นเรื่องที่ผู้สร้างสนใจ มีข้อมูล มีการค้นพบด้วยตนเอง หรือเป็นสิ่งที่อินมากๆ ก็ทำให้ผู้สร้างมีอารมณ์ร่วมและสร้างสรรค์คามิชิไบได้ง่ายขึ้น
2. การเริ่มต้นสร้างเรื่องใหม่อาจยากเกินไป ก็สามารถเอานิทานพื้นบ้าน นิทานเก่าแก่ นิทานปรับปรามาปรับใช้ได้ เพราะ นิทานพื้นบ้านโครงเรื่องจะไม่ซับซ้อน มีประเด็นที่ต้องการจะสื่อชัดเจน และสามารถจับใจคนฟังได้ อย่างเช่น นิทานคามิชิไบเรื่อง Otousan หรือ คุณพ่อ ซึ่งตีพิมพ์ตั้งแต่ปี 1968 ก็เป็นนิทานที่ได้รับแรงบันดาลใจจากนิทานพื้นบ้านเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย ตัวเรื่องเล่าเรื่องราวของสัตว์ประหลาดที่ชื่อ มังกะรัน กรีน เบกู ที่อยู่อย่างลำพัง เหงาหงอยโดดเดี่ยว อยู่มาวันหนึ่งมังกะรัน กรีน เบกู ได้เห็นคุณพ่อกับลูกเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน จึงเกิดอยากมีลูกเป็นของตัวเองบ้าง สัตว์ประหลาดจึงได้ร่ายเวทมนตร์ปลอมตัวเป็นคุณพ่อ และชิงลูกไป นิทานเรื่องนี้ จึงเห็นความรัก ความพยายามของผู้เป็นพ่อ ที่จะพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นคุณพ่อตัวจริง แล้วพาลูกกลับมา
3. จังหวะการดึงกระดาษเป็นอีกหนึ่งคีย์เวิร์คสำคัญของคามิชิไบ ดังนั้นเมื่อต้องเปลี่ยนฉาก ต้องคิดให้ละเอียดว่า ภาพต่อไปจะเป็นอะไร ประโยคจบของฉากนี้คือตรงไหน ดังนั้นการคิดเนื้อเรื่อง ทั้งภาพและประโยคจึงสำคัญมาก แต่การคิดในหัวอย่างเดียวอาจจะยาก จึงควรเขียนสตอรี่บอร์ด ตีช่องตามจำนวนแผ่นกระดาษขึ้นมาก่อน อย่างนิทานคามิชิไบสำหรับเด็กเล็ก จะมีความยาวของเรื่องประมาณ 8 แผ่น ส่วนเด็กโตขึ้นมาหน่อย เนื้อเรื่องจะมีความซับซ้อนมากขึ้น มักยาว 12 แผ่น หรือ 16 แผ่น จากนั้นก็เขียนโครงเรื่องคร่าวๆ ลงรายละเอียดทั้งภาพและประโยคสนทนา
4. คามิชิไบไม่ได้เย็บเล่มจึงไม่มีหน้าปก แต่แผ่นแรกมักเขียนชื่อเรื่องเอาไว้ เวลาเริ่มเปิดม่านโรงละครจะเริ่มจากบอกชื่อเรื่องก่อน ยกตัวอย่างคามิชิไบเรื่อง Otousan ได้เปิดเรื่องไว้ว่า
“ณ เกาะทางใต้ที่ไกลแสนไกล มีสัตว์ประหลาดชื่อ มังกะรัน กรีน เบกู อาศัยอยู่
ลองพูดดูสิคะ มังกะรัน กรีน เบกู
ฟังดูตลกดีนะ มังกะรัน กรีน เบกู
แต่ มังกะรัน กรีน เบกู อยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยว”
ส่วนใหญ่ประโยคเปิดเรื่องจะเป็นการบอกรายละเอียดที่ชัดเจนว่า ตัวละครคือใคร อยู่ที่ไหน เพื่อให้เด็กๆ จินตนาการ แล้วพาตัวเองไปจดจ่อกับตัวละครให้เร็วที่สุด (ตรงคำว่า “ณ เกาะทางใต้ที่ไกลแสนไกล มีสัตว์ประหลาดชื่อ มังกะรัน กรีน เบกู อาศัยอยู่”)
แถมยังชวนให้เด็กๆ พูดออกเสียงชื่อตัวละคร ‘มังกะรัน กรีน เบกู’ แม้ทุกคนจะรู้สึกว่าเป็นชื่อที่พูดยากมาก แต่
เมื่อพูดซ้ำๆ หลายครั้ง คนฟังกลับรู้สึกประทับใจ เพราะแม้จะเป็นชื่อที่ยาว แต่ก็มีจังหวะทำนองที่ติดหู เมื่อเจอชื่อที่ไม่คุ้นเคย ผู้ฟังได้ออกเสียงร่วมกัน (ตรงคำว่า “ลองพูดดูสิคะ มังกะรัน กรีน เบกู”) นิทานเรื่องนี้ก็เกิดการสื่อสารระหว่างผู้แสดงกับผู้ฟัง ทำให้คามิชิไบสนุกยิ่งขึ้น
5. ถ้าใช้เทคนิคการสร้างประโยคสนทนาให้ตัวละคร จะทำให้คามิชิไบมีเสน่ห์ยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการใช้คำเลียนเสียงธรรมชาติ เช่น ในนิทานเรื่อง Otousan ใช้เสียงตอนคุณพ่อแบกกลองขึ้นภูเขาว่า ‘ฮึบ ฮึบ ฮึบ’
“คราวนี้เป็นตาของคุณพ่อตัวจริง
ฮึบ ฮึบ ฮึบ
เราจะแพ้พ่อสัตว์ประหลาดได้ยังไง เราต้องไม่แพ้เด็ดขาด
ฮึบ ฮึบ ฮึบ”
การพูดคำว่า ‘ฮึบ ฮึบ ฮึบ’ หลายครั้ง เด็กๆ จะรู้สึกเหมือนเขากำลังปีนขึ้นภูเขาอยู่ ยิ่งทำให้เด็กๆ อินมากขึ้น พร้อมเอาใจช่วยคุณพ่อ ดังนั้นเวลาเขียนคามิชิไบ ควรเน้นบทพูดมากกว่าบทบรรยาย เพื่อให้คนฟังรู้สึกถึงสถานการณ์จริงมากขึ้น
6. ด้านการวาดภาพประกอบคามิชิไบ ต้องคำนึงว่า แม้จะคนดูจะอยู่ไกล (มาตรฐานจะจำกัดคนดูอยู่ที่ 30 - 50 คน) ก็ต้องเห็นภาพชัดเจน ดังนั้น ภาพประกอบของคามิชิไบ เมื่อมองเพียงแว็บเดียว ต้องรู้เลยว่า จุดไหนเป็นจุดสำคัญของเรื่อง จึงไม่ควรใส่รายละเอียดมากเกินไป เช่น ต้นไม้ หรือสัตว์อื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับเรื่อง ส่วนการใช้เส้นตัดภาพ บางครั้งศิลปินก็ใช้เส้นสีดำตัดขอบ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น หรือศิลปินบางท่าน ก็ใช้สีขาวตัดขอบ แต่ใช้สีภาพพื้นหลังเป็นสีที่ตัดกับภาพตัวละครชัดเจน
7. การแสดงระยะของภาพคามิชิไบก็มีส่วนสำคัญ บางภาพแสดงระยะใกล้ ซูมให้เห็นสีหน้าตัวละครชัดเจน แล้วให้ภาพถัดไป เป็นภาพมุมกว้าง ที่เห็นตัวละครเต็มตัว ก็จะให้ความรู้สึกแตกต่าง ภาพแต่ละภาพมีระยะไม่ซ้ำกัน
8. จำไว้เสมอว่า เมื่อมองจากมุมคนดู คามิชิไบจะเคลื่อนที่จากขวามาซ้าย ดังนั้น การออกแบบภาพจะต้องคำนึงถึงทิศทางการเคลื่อนที่เป็นสำคัญ อีกทั้งจังหวะการดึงก็สำคัญมาก อย่างในคามิชิไบเรื่อง Otousan มีการใช้เทคนิคการดึงภาพที่หลากหลาย เช่น บางแผ่นจะค่อยๆ ดึงช้าๆ เพื่อให้รู้ว่าพื้นที่เปลี่ยนไป บางแผ่นจะดึงครึ่งแผ่นค้างไว้สักครู่ แล้วค่อยดึงเร็วๆ หรือบางแผ่นจะดึงเร็วๆ อย่างไรก็ตาม การออกแบบวิธีการดึงทุกแผ่น ผู้แสดงอาจจะเหนื่อยเกินไป แนะนำให้เปลี่ยนวิธีการดึงเป็นบางฉาก จะทำให้เรื่องน่าสนใจขึ้น
9. สิ่งสำคัญที่ต้องระวัง คือลำดับภาพ และลำดับประโยค นั่นเพราะ ประโยคด้านหลังของภาพแผ่นที่ 1 จะเป็นของภาพที่ 2 ทำให้บทที่เขียนไว้เหลื่อมกัน 1 แผ่น เมื่อเริ่มทำการแสดง ผู้แสดงพูดประโยคของภาพที่ 1 จนจบ ค่อยดึงภาพที่ 1 ออก เมื่อภาพที่ 2 ขึ้นเต็ม แล้วเก็บภาพที่ 1 เรียบร้อย ค่อยเริ่มพูดประโยคของแผ่นที่ 2
10. เมื่อเริ่มทำคามิชิไบ เราควรเริ่มทำขนาดจิ๋วก่อน ผ่านการเขียนด้วยลายมือ ทั้งภาพและประโยคด้านหลัง จากนั้นลองเล่าหลายๆ รอบ ค่อยร่างภาพขนาดจริง แล้วนำไปใส่ในกล่องบุไต อาจจะมองเห็นว่า ภาพเรายังไม่ชัดเจน หรือยังไม่เต็มที่มากนัก ก็ปรับปรุงแก้ไข เมื่อผ่านการทดลองหลายๆ รอบ ก็จะได้คามิชิไบฉบับจริง อย่างไรก็ตาม เมื่อลองไปแสดง อาจจะมีการปรับแก้ไขอีกครั้งก็ได้ เพราะเวลาที่นำไปแสดงให้ผู้ฟังดู จะมองเห็นอากัปกิริยา และจุดบกพร่องที่ชิ้นงานควรปรับปรุง
คามิชิไบ เป็นอีกหนึ่งกลวิธีเล่านิทาน ที่ช่วยสร้างปฎิสัมพันธ์ให้ผู้แสดงและผู้ฟัง แถมสิ่งที่สำคัญที่สุด ยังช่วยสร้างสรรค์การเรียนรู้ให้เด็กๆ ซึ่งผู้ปกครอง คุณครู นักการศึกษา ผู้ดูแลเด็กๆ ก็สามารถออกแบบคามิชิไบของตัวเอง ให้เหมาะกับที่บ้านและที่โรงเรียนได้
ใครสนใจอยากเริ่มทำแล้ว ก็ลองเอานิทานพื้นบ้านของไทย มาปรับเป็นคามิชิไบกันดู ก็ได้นะ!
ภาพประกอบจาก The International Kamishibai Association of Japan