การสื่อสารอย่างสันติ หรือ Nonviolent Communication (NVC) ก็คือ รูปแบบหรือวิธีการสื่อสารที่นำไปสู่ความเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน เป็นรากฐานสำคัญของการเรียนรู้ซึ่งมีความสำคัญทั้งในระดับตัวตน ครอบครัว และสังคม ด้วยความตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องนี้ สถาบันอุทยานการเรียนรู้ TK Park จึงได้จัดกิจกรรม “TK Family Plus ตอน สื่อสารอย่างสร้างสรรค์” ขึ้น ณ ห้องคลังความรู้ สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ ในวันที่ 29-30 สิงหาคม 2563 เพื่อให้ผู้ปกครองและผู้ที่ทำงานในแวดวงการศึกษาได้เรียนรู้เรื่องนี้ผ่านกิจกรรมเชิงปฏิบัติการ โดยได้รับเกียรติจากคุณณัฐฬส วังวิญญู และคุณจิตติมา วังวิญญู เป็นกระบวนกรผู้เชี่ยวชาญด้าน NVC จากสถาบันขวัญแผ่นดิน
คุณณัฐฬส วังวิญญู และคุณจิตติมา วังวิญญู ผู้เชี่ยวชาญด้าน NVC จากสถาบันขวัญแผ่นดิน
กิจกรรมตลอดสองวันนี้ วิทยากรพาเราเรียนรู้องค์ประกอบสำคัญสองเรื่อง สิ่งแรกคือ การเรียนรู้เรื่อง “ความรู้สึก (Feeling)” และ “ความต้องการ (Need)” ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่ขับเคลื่อนมนุษย์ เมื่อมีความต้องการเกิดขึ้นจึงทำให้มนุษย์เกิดการกระทำบางอย่าง เพื่อให้ได้มาซึ่งการดูแลความต้องการเหล่านั้น และทำให้เกิดความรู้สึกทั้งสุขและทุกข์ภายในใจ ดังนั้นจุดเริ่มต้นของการเป็นผู้ให้ที่ดี เราจึงควรให้ความเมตตาต่อความรู้สึกและความต้องการของตนเองด้วยความรักก่อน เพื่อให้มีรากฐานที่มั่นคงเพียงพอต่อการเป็นผู้ให้ ให้การรับฟังที่มีประสิทธิภาพ โดยไม่ด่วนตัดสินหรือยึดถือในความเชื่อของตนเอง ดูแลความรู้สึกและความต้องการของผู้ที่กำลังร้องขอ หรืออยู่เคียงข้างด้วยความเข้าใจ
อีกเรื่องหนึ่งคือ คือ การเรียนรู้เรื่องการสื่อสาร ด้วย “การร้องขอ (Request)” เพื่อให้ความต้องการได้รับการตอบสนอง โดยไม่บังคับหรือกดทับความรู้สึกและความต้องการของผู้อื่น รวมถึง “การสื่อสารเพื่อตอบสนอง ความรู้สึกและความต้องการของผู้อื่นด้วยความรักและความเมตตา” ซึ่งทั้งสองส่วนนี้ต้องใช้ทักษะของการฟังที่มีประสิทธิภาพเป็นรากฐาน ทั้งนี้ตลอดกระบวนการเรียนรู้ทั้ง 2 วัน บรรยากาศเต็มไปด้วยความผ่อนคลาย มีแสงจากธรรมชาติ สาดส่องเข้ามา ช่วยเสริมความอบอุ่นให้แก่วันฝนพรำ ห้องเรียนแห่งนี้มีชีวิตชีวามากขึ้น เต็มไปด้วยพลังจากการเคลื่อนไหวของผู้คน การถ่ายทอด การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และการเติบโตไปด้วยกัน เกิดรอยยิ้ม คราบน้ำตาและการสวมกอด ห้องเรียนที่เป็นพื้นที่ปลอดภัย โอบอุ้มความรู้สึกและความต้องการให้แก่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 30 ชีวิต รวมไปถึงกระบวนกรและผู้จัดงาน เราต่างเชื่อว่าการสั่นสะเทือนจากภายในในครั้งนี้ จะทำให้เกิดการสื่อสารที่สันติมากยิ่งขึ้นภายในครอบครัวและสังคม
คุยกับกระบวนกร ณัฐฬส วังวิญญู
คุณณัฐฬส วังวิญญู ได้สะท้อนข้อคิดเกี่ยวกับเรื่องการสื่อสารอย่างสันติเอาไว้อย่างน่าสนใจ โดยเขา
นิยามว่า การสื่อสารอย่างสันติ เป็นวิธีการสื่อสารที่ช่วยทำให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้น ผ่านการทำความเข้าใจความรู้สึกและความต้องการที่อยู่ภายในแต่ละคน และระมัดระวังการรับฟังและการสื่อสารของตนเองไม่ให้ทำร้ายผู้อื่น
“การสื่อสารอย่างสันติจึงเป็นเครื่องมือคลี่คลายความขัดแย้งที่มีความเป็นรูปธรรม ทุกคนสามารถนำไปใช้ได้จริง เช่น ในระดับครอบครัว ถ้าพ่อแม่รับฟังอย่างมีประสิทธิภาพก็จะเข้าใจลูกมากขึ้น คนในครอบครัวเข้าใจกันมากขึ้น แทนที่จะต่างคนต่างอยู่ ยิ่งคุยยิ่งมีระยะห่าง นอกจากนั้นการใส่ใจถึงความรู้สึกและความต้องการของลูก จะทำให้พวกเขาได้รับการสนับสนุนในการเติบโตอย่างเหมาะสม เด็กที่ได้รับการใส่ใจความรู้สึกและความต้องการ จะเติบโตไปเป็นประชากรที่เข้าใจในตนเอง เข้าใจในศักยภาพของตน และค้นพบสิ่งที่ตนเองรัก"
สิ่งหนึ่งที่คุณณัฐฬสให้ความสำคัญเป็นอย่างมากตลอดการทำกิจกรรม 2 วัน คือ การรับฟังถึงความรู้สึกและความต้องการ ซึ่งไม่ใช่เพียงรับฟังผู้อื่น แต่เป็นการรับฟังเสียงจากภายในของตนเองด้วย
คุณณัฐฬสอธิบายถึงเรื่องนี้ว่า ชีวิตคนเราเป็นสิ่งลี้ลับ เพราะเราถูกสอน ถูกกล่อมเกลาให้เป็นไปตามความคาดหวังของสังคม เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่ควรเรียนรู้ คือ การทำความเข้าใจตนเองว่าเราเป็นอยู่อย่างนี้เพราะอะไร ให้คุณค่ากับเรื่องอะไร ปลุกให้สิ่งเหล่านั้นตื่นขึ้นจากการหลับใหลโดยธรรมชาติ และลองพิจารณาให้ทางเลือก (Choices) แก่ตัวเอง ในการเดินออกจากความคุ้นชินเดิมไปสู่ความเป็นไปได้ต่างๆ ในการตอบสนองความต้องการ เช่น ปรับเปลี่ยนรูปแบบการสื่อสาร การร้องขอ หรือการกระทำ
“เราให้ตัวเองได้เท่าไหร่ เราก็จะให้คนอื่นได้เท่านั้น ถ้าเราหวดตีตัวเองอยู่ เราก็จะหวดตีและรุนแรงกับคนอื่นด้วยเช่นเดียวกัน การที่ผู้คนสามารถเข้าใจในความหลากหลายและซับซ้อนของตนเองได้ ก็จะเรียนรู้และทำความเข้าใจผู้อื่นในสังคมได้ดีขึ้น”
การรับฟังและการสื่อสารที่มีคุณภาพไม่เพียงทำให้เกิดการสื่อสารอย่างสันติเท่านั้น สิ่งเหล่านี้ยังเป็นพื้นฐานสำคัญของ “นิเวศการเรียนรู้” อีกด้วย
คุณณัฐฬสสะท้อนว่า การสื่อสารอย่างสันติ เป็นเครื่องมือที่ทำให้ผู้คนเปิดใจ ไม่ด่วนตัดสิน ใช้สติในการทำงานกับการค้นหาความต้องการ (Need) ของตนเองและผู้อื่น ซึ่งอยู่เบื้องลึกของคำพูด การแสดงออก และการกระทำ “เพราะทุกความต้องการของทุกคนล้วนมีคุณค่าทั้งสิ้น” การสื่อสารกันอย่างสันติจะช่วยหล่อเลี้ยงให้เกิดนิเวศการเรียนรู้ที่มีลักษณะเปิด มีความเกื้อกูล ใส่ใจถึงความเป็นมนุษย์ เกิดเป็นพื้นที่ปลอดภัยในการเรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน ในทางกลับกันหากนิเวศในการเรียนรู้มีสภาพที่ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่ปลอดภัย อยู่ร่วมกันด้วยความหวาดระแวง การที่ผู้คนจะเปิดใจถ่ายทอดสิ่งที่นึกคิดก็อาจทำได้ไม่เต็มที่ แม้ความคิดเหล่านั้นจะดีเพียงใดก็ตาม
“การสื่อสารอย่างสันติเป็นเครื่องมือที่ทำให้ผู้คนเป็นอิสระจากการตัดสิน มันสร้าง Framework ว่า ไม่ว่าคุณหรือใครจะทำอะไรก็ตาม ทุกการกระทำเหล่าล้วนมีเจตนาที่บริสุทธิ์และดีซ่อนอยู่”
จากกระบวนการทั้งหมด คุณณัฐฬสสะท้อนว่า การที่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้ลงมือเรียนรู้และทำความใจการกระทำที่ผ่านมาของตน ว่าเป็นผลมาจากความต้องการเบื้องลึกอะไร รวมถึงได้ทบทวนรูปแบบการกระทำและผลลัพธ์ที่ผ่านมา จะช่วยให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมมีความเข้าอกเข้าใจในตนเองและคนในครอบครัวมากขึ้น อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมาก คือ จะต้องไม่โทษตัวเอง ให้ความเห็นใจตัวเอง และรักตัวเองให้มากขึ้น ให้ทางเลือกกับตัวเอง และให้การดูแลตัวเองด้วย เพราะจะเป็นจุดเริ่มต้นของการสามารถให้สิ่งเหล่านี้กับผู้อื่นได้เช่นกัน
“เครื่องมือการสื่อสารอย่างสันติ เป็นเครื่องมือที่ต้องฝึกฝนให้คุ้นชิน ความสำเร็จของการใช้เครื่องมือนี้ วัดจากตัวเราสามารถใช้งานได้ด้วยความเป็นธรรมชาติมากเพียงใด”
ในมุมของแม่และนักรณรงค์…ผู้ดูแลที่หวังดี
นอกจากการสนทนาต่อหลังจบกิจกรรมร่วมกับกระบวนกรแล้ว TK Park ยังได้รับโอกาสในการสนทนากับผู้เข้าร่วมอีก 2 ท่าน ที่มีบทบาทต่างกันคือการเป็นแม่และนักรณรงค์ แต่สิ่งที่พวกเขามีเหมือนกันคือผู้ดูแลที่หวังดี ท่านแรกที่เราได้พูดคุยด้วย คือ คุณแม่ลูกสองที่เผชิญความบอบช้ำเรื่องความสัมพันธ์กับลูก
คุณแม่เล่าว่า สิ่งที่ทำให้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมนี้ เพราะที่ผ่านมาในครอบครัวจะต้องเผชิญกับการสื่อสารที่ไม่เข้าใจกันมาโดยตลอด นี่จึงเป็นโอกาสให้ได้สำรวจความรู้สึกและความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง และได้ตระหนักว่าความต้องการที่แท้จริงที่เรากำลังร้องขอการตอบสนองคืออะไร
“คนภายนอกมักมองเข้ามาว่า การที่เราไม่พอใจลูกเป็นเพราะเราต้องการความมีระเบียบวินัยจากเขา แต่เมื่อเราค้นหาความต้องการภายในตัวเองซ้ำๆ ขุดลงไปให้ลึกในกิจกรรมที่ผ่านมา สิ่งที่ทำงานกับหัวใจเรา คือ “คุณค่าในตัวเอง” เพราะเราออกจากงานเพื่อมาเป็นแม่ แต่ผลลัพธ์ของการเลี้ยงลูกในวันนี้เรากลับถูกเชิญไปพบครูด้วยสาเหตุต่างๆ ลูกมีปัญหากับเพื่อน ครู และกฎกติกาของโรงเรียน เราโกรธ หงุดหงิด และด่าทอลูก ซึ่งสาเหตุของความรู้สึกโกรธเหล่านั้นที่เราพึ่งได้ตระหนักรู้ว่ามาจากการที่ เราคาดหวังในความสำเร็จของลูก เพราะคิดว่าสิ่งนั้นจะเป็นผลงานที่สะท้อนถึงคุณค่าของตัวเราเอง
ลูกชอบถามว่า ‘ผมเกิดมาทำไม ไม่มีใครรักผม’ เราทั้งโกรธและเสียใจ เพราะเราอยากให้ลูกเห็นถึงคุณค่าในตัวเอง แต่เราไม่ได้ตระหนักว่าภายใต้คำพูดและการแสดงออกของลูก เขากำลังร้องขอให้เราดูแลความต้องการบางอย่างของเขาเช่นกัน สิ่งที่ตั้งใจจะกลับไปทำหลังจบกิจกรรม คือ บอกขอโทษเขา ที่รับฟังเขาด้วยการตัดสินภายในใจ และสื่อสารออกไปด้วยคำพูดที่ขาดการใส่ใจความรู้สึกและความต้องการของเขา” คุณแม่เล่าเพิ่มเติม
อีกหนึ่งท่านที่ TK Park ได้มีโอกาสร่วมสนทนาด้วย คือ คุณวรพจน์ อินเหลา ซึ่งมีบทบาทเป็นทั้งนักศึกษาปริญญาโทด้านศิลปะร่วมสมัย ที่ Abo Akademi University ประเทศฟินแลนด์ อดีตอาจารย์สอนศาสตร์ทางด้านภาพยนตร์ ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ และนักรณรงค์ต่อสู้เรื่องสิทธิของสัตว์กลุ่มที่ไม่ค่อยได้รับการพูดถึง สัตว์ในอุตสาหกรรมปศุสัตว์และสัตว์ทะเลเพื่อการบริโภค
คุณวรพจน์เล่าว่า สาเหตุที่สมัครมาเข้าร่วมกิจกรรมนี้เพราะด้วยบทบาททั้งหมดที่เป็น ทำให้เกิดความตระหนักถึงความสำคัญของการสื่อสารอย่างสันติ ประสบการณ์ที่ได้จากการทำงานรณรงค์ที่ผ่านมา ทำให้เข้าใจว่า การสื่อสารแบบ Hard Core ไม่ได้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลง ถึงแม้การสื่อสารนั้นจะมีจุดประสงค์เพื่อร้องขอให้ผู้ฟังเกิดความตระหนัก และเรากำลังร้องขอความเมตตาจากเขาก็ตาม อีกส่วน คือ ความสนใจเรื่องความเข้าอกเข้าใจ (Empathy) ในตนเองและผู้อื่น เพราะมองว่าเรื่องนี้มีความสำคัญต่อการทำงานทั้งที่กำลังทำและตั้งใจจะทำในอนาคต ดังนั้นการได้มาเข้าร่วมเวทีนี้ก็คาดหวังว่าจะได้ฝึกปฏิบัติกับกลุ่มคนที่แตกต่างออกไปจากสังคมเดิม เพื่อทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้ลึกยิ่งขึ้น และสามารถนำไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“จากกิจกรรมทั้งหมด การเรียนรู้ที่ผมประทับใจสุด คือ การได้เห็นว่าลักษณะการรับฟังและสื่อสารของคนเราเปรียบเสมือน ‘ยีราฟ และหมาป่า’ หรือมีทั้งด้านบวกและลบ ขึ้นอยู่กับว่าในสถานการณ์นั้นๆ แต่ละคนจะรับมือด้วยรูปแบบวิธีการใด จะตั้งรับและส่งออกสารได้มีคุณภาพขนาดไหน การที่ตระหนักรู้ถึงความซับซ้อนภายในนี้ มันทำให้เกิดการยั้งความคิดและลดการตัดสินเพราะตระหนักรู้เท่าทันว่า “ทุกคนล้วนมีความสว่างในจิตใจ” ผมคิดว่าเรื่องนี้ควรนำไปใช้กับคนในสังคม ไม่ใช่แค่กับคนใกล้ชิดหรือคนในครอบครัว
อีกเรื่องหนึ่งที่ผมประทับใจ คือ การที่กระบวนกรทั้ง 2 ท่าน นำเอาประสบการณ์ส่วนบุคคลที่เป็นประเด็นร่วมกับผู้เข้าร่วมมาถ่ายทอด เกิดเป็นเรื่องราว (Storytelling) ประกอบการอธิบายทฤษฎี ทำให้ผู้เข้าร่วมรวมถึงผมสามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังเรียนรู้ได้ดีและรวดเร็วขึ้น เมื่อผสานรวมเข้ากับบรรยากาศการเรียนรู้ที่ปลอดภัยมากพอ จนทุกคนสามารถเปิดใจแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันได้ มันจึงเกิดเป็นนิเวศการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ หล่อหลอมให้เกิดบรรยากาศของการปลุกพลัง (Empower) ในการเรียนรู้และนำไปใช้งาน ผมประทับใจในกระบวนกรและทีมงาน TK Park ที่สามารถสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพเป็นอย่างมาก”
ทั้งหมดนี้ คือ ส่วนหนึ่งของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกับกระบวนกร และส่วนหนึ่งของเสียงสะท้อนจากผู้เข้าร่วมกิจกรรม “TK Family Plus ตอน สื่อสารอย่างสร้างสรรค์” ที่ร่วมเป็นส่วนสำคัญของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในครั้งนี้ ร่วมกันสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ที่มีบรรยากาศอบอุ่น โอบอุ้มด้วยความเป็นกัลยาณมิตร เป็นพื้นที่ที่ปลอดภัย และเป็นพลังในการเดินหน้าต่อไปให้แก่กันและกัน