การรับมือกับความล้มเหลวและความเหงา ทักษะชีวิตที่วิชัย มาตกุล และไอติม พริษฐ์ แนะนำให้ฝึกฝน
12 July 2021
17
เพราะโลกใบนี้ยังมีทักษะอีกมากมายที่จำเป็นกับชีวิตจนเราคิดไม่ถึง ทั้งการนำเสนองาน การเข้าถึงข้อมูล หรือแม้แต่การรับมือกับความล้มเหลว และความเหงา ดังนั้นการเตรียมความพร้อมในการฝึกฝนทักษะจึงสำคัญ เราจึงชวนสองรุ่นพี่ วิชัย - วิชัย มาตกุล Co – Founder และ Creative Director จาก Salmon House ผู้ซึ่งผลิตหนังโฆษณาสนุกๆ ออกมามากมาย และไอติม – พริษฐ์ วัชรสินธุ CEO ของ StartDee สตาร์ทอัพเพื่อการศึกษา ผู้ผลิตแอปพลิเคชันที่ออกแบบการเรียนรู้สำหรับเด็กวัยประถมศึกษา - มัธยมศึกษา โดยมุ่งหวังให้การศึกษาที่ดีเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น มาแบ่งปันทักษะที่พวกเขาใช้ในการทำงาน และทักษะในการใช้ชีวิตประจำวันด้วยกัน
เรียนจบแล้วจะเจออะไร
ไอติม : ผมว่ามีอยู่ 3 ประเด็น หนึ่งคือ งานบนโลกจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ บางอย่างที่เคยมีอาจไม่มี เพราะเทคโนโลยีทำอะไรที่มนุษย์ทำได้ แล้วทำได้ดีกว่า เช่น มีหุ่นยนต์ที่สามารถเขียนหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์เล่มถัดไปได้แล้วโดยไม่ต้องพึ่ง เจ. เค. โรว์ลิง มีหุ่นยนต์ที่สามารถเป็นผู้พิพากษาได้ ซึ่งเราไม่รู้ว่างานไหนในอนาคตจะมีหุ่นยนต์ทำได้ดีกว่า ประเด็นที่สอง คนจะเปลี่ยนงานบ่อยขึ้น ถ้าสังเกตความต้องการของเด็ก Gen Z เขามีความต้องการเปลี่ยนงาน อยากลองอะไรใหม่ๆ ซึ่งในรุ่นพ่อรุ่นแม่ผม หลายคนทำอาชีพเดิมตลอดชีวิต ส่วนผมอายุยังไม่ถึง 30 ปี ทำอาชีพมาทั้งหมด 5 อาชีพ ทำบริษัทเอกชน เป็นทหาร ทำงานการเมือง ตอนนี้ทำธุรกิจสตาร์ทอัพ มันเป็นปกติของคนรุ่นผม และรุ่นน้องๆ ที่อยากลองอะไรใหม่ๆ ดังนั้นหลายคนอยากเป็นผู้ประกอบการตนเอง การทำสตาร์ทอัพมันเสี่ยง เพราะสิ่งที่ทำอาจล้มเหลวแล้วเริ่มทำใหม่ จึงเป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนสายงานไปเรื่อยๆ และประเด็นที่สาม คนในอาชีพหนึ่งถูกคาดหวังให้ทำอะไรหลากหลายมากขึ้น เพราะบริษัทเองก็ต้องอยู่รอดภายใต้การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว เพราะฉะนั้นบริษัทจะมีความยืดหยุ่นว่าจะใช้ทรัพยากรที่มีมุ่งเน้นด้านไหน บริษัทหนึ่งอาจผลิตสินค้าแบบหนึ่ง แล้วอาจเปลี่ยนไปแบบหนึ่ง อย่างช่วงโควิด -19 หลายบริษัทก็ปรับบริการที่ตัวเองเคยให้ เขาเลยคาดหวังว่าพนักงานจะมีความยืดหยุ่น มีความสามารถทำอะไรหลายๆ อย่างได้
วิชัย : หุ่นยนต์ทำงานแทนเรามานาน มันแค่ไม่ได้มาในรูปแบบหุ่นยนต์ อย่างทุกวันนี้ใครบวกเลขเองบ้างก็ใช้แต่เครื่องคิดเลข ผมเลยรู้สึกว่าอาชีพในอนาคตสำหรับเด็กๆ ทักษะที่เด็กต้องการไม่ใช่ Hard Skills แต่คือ Soft Skills การมองงานหรืออาชีพในรูปแบบลอจิกหรือ คอมมอนเซ็นส์ คิดเหมือนคุณไอติมอย่างหนึ่งคือ ในอนาคตหน้าที่ของคนคนหนึ่งคน ต้องทำอะไรได้หลายอย่าง พบว่า ถ้าเด็กคนไหนลอจิกดี เวลาเราสอนอะไรไป เขาจะไม่จำเป็นขั้นตอน เขาจะจำเป็นคอนเซ็ปต์ ของการทำงาน แม้อาชีพมันจะเปลี่ยนแปลงเร็ว แต่คอนเซ็ปต์ของการทำงาน การคิดงาน การควบคุมงาน จะเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ผมทำงานสายโปรดักชั่นเฮ้าส์ ผมเพิ่งรู้ว่ามันใช้คอมมอนเซ็นส์สูงมากนะ คุณแค่รู้ว่าจะเกิดสิ่งนี้ได้ ต้องเกิดสิ่งนี้ก่อน เช่น การถ่ายหนัง ต้องมีชุดนักแสดง จะมีชุดนักแสดงได้ต้องมีนักแสดง สมมติน้องคนหนึ่งเข้ามาฝึกงาน พอมีคนคอมมอนเซ็นส์ จะเดินไปถามนักแสดงว่าใส่เสื้อไซส์อะไร รองเท้าไซส์อะไร เพราะต้องหาให้ ถามไว้ก่อนเลย หรือวันออกกอง มันมีคนเยอะ บางคนจะถามว่าขับรถไปหรือเปล่า เพราะจะหาที่จอดรถให้ คิดล่วงหน้าว่าวันนั้นจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง มันมีเด็กจำนวนมากที่คิดได้ และคิดได้เร็ว ซึ่งทำให้รู้สึกว่า เราต้องแอคทีฟมากขึ้น เพราะเด็กคิดเร็วกว่าเรา คือบางงานต้องทำเองให้ได้ ซึ่งบางครั้งเราบอกเขาครั้งแรก ครั้งที่สอง ครั้งที่สามเริ่มคิดได้แล้วว่า การให้เกิดสิ่งนี้ ต้องมีสิ่งนี้ก่อน เมื่อมีตรรกะจะทำให้งานเร็วขึ้น เช่น หลักการบัญชี คือต้องขอบัตรประชาชนใช่ไหม เพราะไม่งั้นเอาบัตรใครมาแอบอ้างเอาเงินก็ได้ ถ้าเด็กถูกสอนให้รู้จักวิธีคิดที่ถูกต้อง เด็กมันจะคิดเอง แล้วเด็กคนนั้นจะเก่งเร็วมาก ถ้าเราปลูกฝังวิธีคิดให้เขาได้
ทักษะที่เป็นจุดเด่นของเด็กยุคใหม่
ไอติม : ผมว่าจุดเด่นของเด็กรุ่นใหม่ คือความเร็ว ความลึก และความกว้าง ความเร็วคือต้องยอมรับว่า เด็กคิดอะไรเร็ว ทำอะไรเร็ว เพราะเขาเติบโตมาในโลกที่อะไรหลายอย่างได้รวดเร็ว เวลาเขาคิดอะไร เขาอยากลงมือทำให้เร็วที่สุด ความรวดเร็วคือกุญแจความสำเร็จ ความลึกคือเข้าถึงข้อมูลได้หลากหลาย ไม่ต้องรอข่าวทีวี ส่วนรุ่นพ่อรุ่นแม่ต้องรอหนังสือพิมพ์ แต่ปัจจุบันเขาเข้าถึงข้อมูลในโซเชียลมีเดีย ขวนขวายหาข้อมูลได้ครบถ้วน โลกของข้อมูลกว้างขวางขึ้นจึงมีความลึก สุดท้ายคือความกว้าง คนรุ่นใหม่ในไทยมองว่าตัวเองเป็นพลเมืองของโลกมากกว่าพลเมืองของชาติ เมื่อเส้นแบ่งมันจางลง ความสัมพันธ์ของคนชาติใดชาติหนึ่งมันน้อยลง และโลกออนไลน์ไม่ได้แบ่งคนสัญชาติหนึ่งกับอีกสัญชาติหนึ่ง เขามองตัวเองเป็นพลเมืองของโลกมากขึ้น เพราะฉะนั้นจึงต้องการขวนขวายหาความรู้ให้กว้างขวาง เวลาเขามีไอเดีย อยากแก้ไขอะไร เขาไม่ได้อยากแก้แค่ประเทศเขา แต่อยากแก้กับโลกด้วย
ช่องว่างของการทำงานระหว่างวัย
วิชัย : สังเกตไหมคำว่าโลกหมุนเร็ว มันดูเป็นคำพูดของคนแก่เนอะ เพราะวัยเราใช้คำว่าโลกหมุนเร็ว แต่วัยรุ่นอยู่ในจุดที่หมุนอยู่ เขาไม่รู้สึกว่าโลกหมุนเร็ว เพราะเขาหมุนไปตามโลก เด็กเกิดมาก็เท่านี้ เราตามไม่ทันแล้ว แต่สำหรับผู้ใหญ่อย่างเราต้องกดปุ่มให้ถูก ถ้าวางเขาถูกที่ถูกเวลา เขาจะช่วยทำงานให้เรา ปัญหาการทำงานกับผู้ใหญ่ คือผู้ใหญ่ที่ใช้งานไม่เป็น หรือยังไม่เข้าขา บางอย่างผู้ใหญ่ต้องให้เด็กนำ มันไม่ใช่ผู้ใหญ่ต้องนำทุกโปรเจค แต่ต้องวางไดเรคชั่นที่ดี เพื่อนำไปสู่สิ่งที่ถูกต้อง ที่เหลือเราแค่ไว้ใจแล้วปล่อยให้เขาทำ
ไอติม : ทักษะใหม่ คือทักษะในการทำงานกับคนรุ่นต่างๆ บางบริษัทคิดว่าไม่จำเป็น จึงเห็นว่าบริษัทสตาร์ทอัพหลายแห่งไม่สนใจ เขาเอาแต่คนรุ่นใหม่มาทำงานอย่างเดียว อายุเฉลี่ยของสตาร์ทอัพรุ่นใหม่น้อยมาก แต่ผมเชื่อว่าในหลายองค์กร การทำงานกับคนหลายรุ่นเป็นสิ่งจำเป็น ต้องเข้าใจก่อนว่าคนรุ่นก่อนมองในมุมไหน ผู้ใหญ่เติบโตมาในโลกที่ไม่หมุนเลย ทุกอย่างเหมือนเดิมตลอด สิ่งเดียวที่ทำให้อีกคนมีความรู้ความสามารถมากกว่าอีกคนคือประสบการณ์ ผู้ใหญ่คิดแบบนี้ เขาไม่ได้เติบโตในโลกที่เปลี่ยนแปลงเยอะ เขามีประสบการณ์อยู่ 30 ปี คุณอยู่มาปีสองปี จะดีกว่าฉันได้ไง ประสบการณ์ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง นี่เป็นการทำความเข้าใจว่าทำไมผู้ใหญ่ถึงคิดแบบนี้ ตอนนี้กลุ่มคนที่ต้องเรียนรู้วิชาใหม่ๆ ไม่ใช่แค่เด็ก ผู้ใหญ่ก็ต้องเรียนทักษะใหม่ๆ ที่พูดว่าเด็กต้องเรียนทักษะการคุยกับผู้ใหญ่ แต่ผู้ใหญ่ต้องเรียนรู้ทักษะการคุยกับเด็กด้วยเหมือนกัน
ทักษะที่เด็กยุคใหม่ยังขาด
วิชัย : ทักษะที่เด็กยุคนี้ขาดคือ ทักษะการขายงาน เด็กต้องรู้ว่าบางคนต้องขายงานยังไง พูดยังไง โน้มน้าวแบบไหน การเรียกร้องบางอย่างจากคนบางคนต้องใช้วิธีไม่เหมือนกัน ถ้ามีทักษะนี้จะสามารถพูดในสิ่งที่เขาอยากทำ ซึ่งการทำงานก็ง่ายขึ้น อย่างแรกผมคิดว่าห้องเรียนไม่อนุญาตให้เด็กพูดในสื่งที่อยากพูด สำคัญจริงๆ พอไม่ได้พูด เด็กเลยไม่กล้าพูด อย่างที่สองเวลานำเสนองาน เวลาแซลมอน เฮ้าส์ ทำหนังตลก แต่การคิดงาน ไม่ตลกเลย ซีเรียสมาก เอาความตลกมาตบ เด็กมักจะมองปลายทางจนรู้สึกเด็กมองขาดตรงนั้น และอย่างที่สาม ชั้นเรียนในเมืองไทยไม่ได้ออกแบบให้เด็กคุยกันเยอะๆ เราคุยกันน้อยมาก และการบ้านค้นคว้าน้อย เด็กเลยไม่มีวิธีคิดที่ถูกต้อง พอมาเจอกันต้องมาสอนการคิดงาน การขายงาน
ไอติม : ประเด็นแรกผมว่าทักษะการทำงานเป็นทีม การเสนองาน การเล่าเรื่อง มันไม่ได้มาจากการเรียนรู้ในห้องเรียนเสียทีเดียว บางครั้งมันได้จากประสบการณ์ฝึกงาน ทำกิจกรรมกับเพื่อนๆ กับคนที่ตัวเองรู้จัก เด็กไทยใช้เวลาในห้องเรียนเยอะมาก เราสร้างระบบการศึกษาที่เด็กอยู่ในห้องเรียนจนขาดประสบการณ์นอกห้องเรียน การเรียนรู้ทักษะเหล่านี้น้อยลง และขาดทักษะเหล่านี้ในการทำงาน ประเด็นที่สอง บรรยากาศในห้องเรียนก็แปลงมาสู่บรรยากาศในสังคมเหมือนกัน เด็กเกิดมาขี้สงสัย แต่พอจะยกถามก็ถูกปฏิเสธ แล้วแทนที่ครูจะหาคำตอบก็ไปด่าว่าไร้สาระ ลงโทษ เด็กจึงหมดไฟอยู่เงียบๆ ไม่ถาม เมื่อเติบโตมาในสังคมวัยทำงาน เขามีทัศนคติเหมือนกัน เขาคิดว่าถ้ายกมือจะโดนเพ่งเล็ง โดนประเมินไม่ดี
ถ้าห้องเรียนไม่มีให้ ออกไปพัฒนาทักษะนอกห้องเรียน
วิชัย : ง่ายมาก ขอของเล่นพ่อแม่ ขอซื้อขนม ของกิน ซื้อเกมเพลย์สเตชั่น 5 ลองหว่านล้อมพ่อแม่ ลองคิดสิ หาเหตุผลอะไร ทำให้พ่อแม่ฟัง ตอนผมฝึกงานโรงแรม ผมชอบสร้าง Concept ให้ตัวเอง เช่น ทั้งวันจะไม่ยอมให้ลูกค้าเลย แต่จะจบทุกเคสอย่างสวยงามให้ได้ หรือลองตั้งเป้าชวนเพื่อนไปดูหนังเรื่องนี้ โน้มน้าวอย่างมีเหตุผล อาจจะแพ้ก็ได้นะ แต่ตั้งเป้าหมายของตัวเองดู ผมชวนให้น้องลองฝึกกับคนใกล้ตัวครับ
ไอติม : ถ้าในโลกสมัยก่อนเป็นปัญหาแน่นอน เพราะไม่มีที่ปลอดภัยที่อื่นให้เรียนรู้ แต่พอมันเรียนออนไลน์ ห้องเรียนไม่สามารถกักขังการเรียนรู้ของเด็กๆ ได้ เพราะมีการเรียนรู้อื่นๆ อีกเยอะ ถ้าวันนั้นโน้มน้าวครู ถกเถียงกับครูไม่ได้ ให้ไปถกเถียงในทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก ตั้งคำถามอย่างอื่นได้เหมือนกัน ห้องเรียนไม่สามารถปลูกฝังค่านิยมกับสังคมได้แล้ว
วิชาใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์โลกอนาคต
วิชัย : วิชาแชท เมื่อก่อนเราเรียนวิธีเขียนจดหมาย ทุกวันนี้เราสื่อสารกันผ่านแชท มันควรจะมีวิธีแชทอย่างถูกต้อง ไม่แย่เกินไป การแชทกับผู้ใหญ่ต้องแชทยังไง ลูกค้าต้องแชทยังไง ผมมีคำถามว่า ถ้าคุยกับลูกค้าอยู่จะส่งสติกเกอร์ ต้องส่งสติกเกอร์หน้าอะไร ดังนั้น แชทในการสื่อสาร ในการทำงานจึงจำเป็น
ไอติม : วิชารับมือกับความล้มเหลว ผมรู้สึกว่าเมื่อโลกเปลี่ยนแปลงเร็ว เป็นเรื่องปกติถ้าเราลองทำสิ่งต่างๆ แล้วมันไม่ประสบความสำเร็จ แต่ปัจจุบันการศึกษาไทยให้ความสำคัญมากกับความสำเร็จ และตีความความสำเร็จแบบแคบๆ เด็กที่เรียนเก่งประสบความสำเร็จต้องได้เกรดสี่ทุกวิชา ต้องเรียนสายวิทย์ ต้องสอบเข้าหมอ วิศวะ ทั้งๆ ที่มันปกติมากที่ล้มเหลว ความสำเร็จในโลกยุคใหม่ คือไม่ใช่การที่เราประสบความสำเร็จทุกครั้ง แต่เป็นการลุกขึ้นมากับความล้มเหลวนั้นได้เร็วแค่ไหน ผมคิดว่าจะออกแบบหลักสูตรอย่างไรให้เด็กได้ซึมซับว่า การลองผิดลองถูก ความล้มเหลวมีหลายรูปแบบ เป็นเรื่องปกติที่ทุกคนต้องเจอไม่ว่าช้าหรือเร็ว
วิชัย : มีอีกวิชาที่เด็กควรเรียนรู้ คือ สุดท้ายจะเหงา ชีวิตการทำงานคือจะเหงาไม่มีคนคุยด้วย แล้วต้องอยู่กับสิ่งนั้นให้ได้ มันเหงามานะ ต้องจัดการภาวะตนเองเมื่ออยู่คนเดียว มันจะมีบางเรื่องที่ไม่สามารถปรึกษาใครได้ บางภาวะยากมากที่ต้องผ่านให้ได้
ทักษะที่ขาดไม่ได้ ภายใต้การเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็ว
ไอติม : อย่างแรกทักษะใช้เทคโนโลยี ให้มาทำสิ่งที่เทคโนโลยีทำได้ดีกว่าเรา เพราะถ้าใช้เทคโนโลยีเป็น ไม่ต้องมาเสียเวลาทำอะไรบางอย่าง ทั้งๆ ที่เทคโนโลยีทำได้ดีกว่า ส่วนที่สองคือ ส่งเสริมอะไรที่หุ่นยนต์ไม่สามารถทดแทนได้ ทักษะบางอย่าง เช่น การเห็นใจผู้อื่น การทำงานเป็นทีม การให้บริการ คุณเสริมไว้เถอะยากที่หุ่นยนต์จะมาทดแทน
วิชัย : ของผมคือภาษา คุณควรรู้ภาษาอังกฤษ กับภาษาที่สาม ไม่งั้นองค์ความรู้จะถูกขังอยู่กับภาษาไทย และยิ่งรู้ภาษาที่สาม ญี่ปุ่น จีน คุณจะมีเรื่องสนุกๆ ของประเทศอื่นๆ เพิ่ม ซึ่งทักษะภาษาเป็นเรื่องจำเป็นเสมอ อย่างเรารับเด็กฝึกงาน ถ้าเขาหาข้อมูลภาษาอังกฤษได้ เขาจะเร็วมาก อย่างที่สองคือ การเข้าถึงข้อมูลอย่างถูกต้อง ยุคนี้กับยุคที่แล้วต่างกันคือ ยุคที่แล้วเราต้องรู้ความรู้รอบตัว แต่ยุคนี้ไม่ต้องรู้อะไรเลย รู้แค่ว่าความรู้ชุดนี้จะหาจากไหน เราแค่จำบ่อน้ำบ่อนี้ไว้แล้วกดเข้าไปหาได้เลย ซึ่งการเข้าถึงข้อมูลอย่างเร็วขึ้น ไกลขึ้น และไวขึ้น คือภาษาต่างประเทศ มีอีกวิธีที่ผมชอบทำ คือ ลองเข้ายูทูบ แล้วเปิดคลิปดูไปเรื่อยๆ ดูว่ามันพาเราไปไกลขนาดนั้น คืนไหนเรานอนไม่หลับ มาดูสิว่ายูทูบพาไปถึงไหน พอมันเป็นภาษาอังกฤษสนุกจริงๆ และมันเปิดโลกมาก
ท้อไม่เป็นไร ทักษะไม่ได้ฝึกกันแค่วันเดียว
ไอติม : อย่างแรกเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า ทักษะไม่ได้ฝึกวันเดียวแล้วได้เลย เช่น ภาษาอังกฤษ เป็นเรื่องปกติที่ต้องใช้เวลา และไม่มีจุดสิ้นสุด ทุกความรู้ทุกสกิลของทักษะบางอย่างไม่ใช่การแข่งร้อยเมตร มันมาราธอน ไม่ใช่เรื่องแปลกที่บางช่วงรู้สึกอยากพักบ้าง แต่พยายามกลับมาให้เร็วที่สุด และมีความสุขกับการเดินทาง มีความสุขเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างการเรียนรู้ ทำให้สุขภาพดีแข็งแรงตลอดเวลา และอยากให้น้องๆ ไม่เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น เห็นทุกคนเป็นซึมเศร้าเยอะ เพราะการเปรียบเทียบ แต่การเปรียบเทียบนอกจากทำให้เรารู้สึกแย่ มันไม่แฟร์นะ ชีวิตของเรามีความเจ็บปวด มีเบื้องหลัง แต่คนอื่นเราเห็นแค่ความสำเร็จ คุณจะเครียด รู้สึกกดดัน ท้อแท้ได้ง่าย
วิชัย : ต้องถามตัวเองก่อนว่าอยากทำมันแค่ไหน คนที่อยากทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากๆ มันไม่เสียเวลาถาม มันทำไปแล้ว มันไม่สนใจว่าใครจะห้าม มันอยากทำมากจนเสียงคนรอบข้างไม่สำคัญ ซึ่งถ้ารู้สึกว่ามันท้อ มันไม่ใช่ ก็ถามตัวเองว่าอยากทำจริงๆ ไหม ถ้าไม่อยากทำก็เปลี่ยนไปทำอย่างอื่น ยังเป็นเด็กอย่าไปซีเรียสมาก แล้ววันหนึ่งสิ่งนี้จะกลับมามีประโยชน์ แต่วันไหนที่เริ่มท้อถามตัวเองอย่างซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาว่า ไม่มีคนชมเลยไม่ทำหรือเปล่า เราเคยฝึกโรลเลอร์เบลดแล้วเจ็บ ไม่ทำแล้วแต่ได้ลองไง ได้ลองแล้วมันไม่ใช่ก็ไม่ทำมันต่อ แต่ต้องฝึกจนถึงจุดที่ซื่อสัตย์กับตัวเองว่าไม่ใช่แล้ว หรือเราเคยทำงานโรงแรม 8 ปี ก่อนมาทำครีเอทีฟ เหมือนข้ามสายแต่การทำโรงแรมเกื้อหนุนกับครีเอทีฟมากๆ วันหนึ่งมันจะมาประกอบกันเป็นสิ่งที่เราชอบจริงๆ
สำหรับบทเรียนทุกทักษะในวันนี้ อยากให้ทุกคนลองฟังแล้วนำไปปรับใช้กับตัวเอง เพราะแต่ละคนมีก็มีเงื่อนไขของชีวิตไม่เหมือนกัน แล้วอย่าลืมลองคิดภาพตามในอนาคตว่า สำหรับทักษะที่คิดว่าไม่จำเป็น ลองจินตนาการดูว่าถ้าเราใช้ทักษะเหล่านี้จะเป็นประโยชน์กับเราไหม ถ้ามีก็จะช่วยเพิ่มแรงใจในการฝึกทักษะให้มากขึ้น เพราะเราสามารถเอาไปใช้ประโยชน์ในอนาคตได้อย่างดีงามแน่นอน
สุดท้ายอย่าลืมว่า ทุกการล้มเหลวคือการเรียนรู้ ล้มแล้วก็ลุกขึ้นมาใหม่ได้ ไม่เห็นเป็นอะไรเลย