อาจฟังดูแปลกอยู่ไม่น้อยหากมีใครบางคนเดินมาบอกว่า ข้อความบนหน้าจอเฟซบุ๊กที่เห็นกันอยู่ทุกวันอาจทำรายได้มากถึงหลายล้านดอลลาร์ และอาจจะยิ่งแปลกเข้าไปอีก หากใครคนนั้นย้ำว่าสิ่งที่เราต้องทำเพื่อจะได้เงินมาก็เพียงแค่แคปหน้าจอแล้วเอาไปปล่อยบนอินเทอร์เน็ตในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
แต่ไม่ว่าเรื่องนี้จะฟังดูเกินจริงขนาดไหนก็ต้องยอมรับว่ามันกำลังเกิดขึ้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เพียงแต่ทุกอย่างอาจฉับไวเสียจนเราไม่ทันตั้งตัวเท่านั้นเอง ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมาแจ็ค ดอร์ซี ซีอีโอและผู้ก่อตั้งทวิตเตอร์นำข้อความแรกของตัวเองบนโลกออนไลน์เมื่อปี 2006 มาแปลงเป็นสิ่งที่เรียกย่อๆ ว่า “NFT” ก่อนที่จะนำเข้าไปประมูลในตลาดดิจิทัล ผลปรากฏว่าในเวลาไม่นาน ข้อความของเขาที่เขียนว่า “just setting up my twttr” มีคนประมูลไปเป็นจำนวนเงินถึง 2.9 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 91 ล้านบาท ตัวเลขนี้สูงจนมีคอลัมนิสต์ออนไลน์ชื่อดัง เจย์ ปีเตอร์ส ออกมาเขียนบทความตอบโต้ที่มีหัวข้อว่า “ได้โปรดอย่าจ่ายเงินค่าข้อความบนทวิตเตอร์แก่เศรษฐีพันล้านอย่างแจ็ค ดอร์ซี” แต่ไม่ว่าเรื่องราวนี้จะดูมีเงื่อนงำหรือสร้างความไม่พอใจแก่หลายๆ คน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าคำถามที่เกิดขึ้นมาทันทีก็คือ “แล้วอะไรคือ NFT?”
Blockchain และความเชื่อมโยงกับ NFT
หากดูจากชื่อเต็มๆ ของ NFT หรือ Non-fungible Token ในแง่หนึ่ง เราอาจแปลความหมายได้ว่า “เหรียญตราที่ไม่อาจทดแทนได้” แต่จริงๆ แล้วกระบวนการทำงานของสิ่งที่เราเรียกว่า NFT นั้น คือการเปลี่ยนสินทรัพย์ใดๆ ก็ตามที่มีอยู่ให้กลายเป็นดิจิทัล ก่อนจะนำมาแลกเปลี่ยนบนเครือข่ายแลกเปลี่ยนระหว่างคอมพิวเตอร์ไร้ศูนย์กลาง (Decentralized Network) หรือที่หลายๆ คนอาจคุ้นหูในช่วงสิบปีมานี้ในชื่อของ Blockchain
Blockchain ใช้ระบบของตัวเองที่เรียกว่า “Peers to Peers” หรือการทำให้คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องสามารถสอดส่องดูแลกันเอง โดยวิธีการคร่าวๆ ก็คือเมื่อคอมพิวเตอร์ A เข้ารหัสเพื่อลงข้อมูล Blockchain จะทำการล็อคข้อมูลและส่งต่อผ่านลูกโซ่ไปสู่คอมพิวเตอร์ B เมื่อคอมพิวเตอร์ B รับข้อมูลแล้วก็จะล็อคข้อมูลส่วนนี้และส่งให้คอมพิวเตอร์ C จนครบทุกเครื่องในเครือข่าย ลักษณะนี้ทำให้ระบบ Blockchain เป็นโครงข่ายที่มีความปลอดภัยสูง เพราะคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะได้รับเฉพาะข้อมูลที่ถูกส่งผ่านมาเป็นทอดๆ หากลองเปรียบเทียบง่ายๆ เราอาจเปรียบเทียบ Blockchain ได้กับระบบการเงินที่ประกอบด้วยสามส่วนคือ หน่วยงานรัฐหรือธนาคารกลาง ธนาคารสาขา และเงินหรือสื่อกลางการแลกเปลี่ยน
เมื่อเทียบเคียงกับสามองค์ประกอบดังกล่าว อาจพูดได้ว่า Blockchain ก้าวเข้ามาเป็นธนาคารกลางหรือหน่วยงานที่ดูแลระบบทั้งหมด ส่วนเว็บไซต์ต่างๆ ที่เราใช้ซื้อขายสินทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ก็คือธนาคารสาขา ส่วนเหรียญตราที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนก็มีทั้งแบบที่สามารถถูกแทนที่ได้ หรือ Fungible Token อย่างสกุลเงินดิจิทัล หรือ Cryptocurrency ที่จะแตกเป็นเหรียญที่ใช้แลกเปลี่ยนในรูปแบบต่างๆ และ NFT หรือเหรียญซื้อขายที่ไม่สามารถแทนที่ได้นั่นเอง จากตรงนี้ เมื่อประโยชน์ของ NFT คือการไม่สามารถถูกแทนที่ได้หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเมื่อผลิตออกมาแล้วจะกลายเป็นอะไรก็ตามที่มีเพียงชิ้นเดียวในโลก ขณะเดียวกันก็อยู่บนเครือข่ายดิจิทัล ที่มีความปลอดภัยสูงมากอย่าง Blockchain ดังนั้น NFT จึงถูกนำมาใช้หรือถูกปรับเข้ากับการทำงานสร้างสรรค์มากกว่าจะเป็นอะไรที่แลกเปลี่ยนเพื่อตรึงมูลค่าตลาดอย่างบิตคอยน์ที่เรามักจะคุ้นชื่อกว่า
แล้วทำไมต้อง NFT?
แต่เมื่อเป็นเช่นนั้น NFT จึงไม่ใช่อะไรที่จะสามารถใช้รักษา “มูลค่า” อย่างบิตคอยน์ แต่เป็นอะไรที่เข้ามารับรอง “คุณค่า” ของสิ่งสิ่งนั้น อาทิ หากมีศิลปินอยากจะขายรูปภาพสู่ตลาดบนเงื่อนไขของระบบ Blockchain สิ่งที่เขาต้องทำคือแปลงภาพของตัวเองให้เป็นดิจิทัล อัพโหลดลงบนเว็บไซต์ที่สามารถแลกเปลี่ยนมูลค่าสินค้าด้วย Cryptocurrency จากนั้นก็ทำการหลอมหรือ “Mint” รูปภาพนั้นให้กลายเป็น NFT บนแพลตฟอร์ม แล้วก็รอรับเงินไปได้เลย และเมื่อวิธีการเป็นเช่นนี้ การทำ NFT จึงสามารถปรับใช้กับอะไรก็ตามเพื่อรักษาคุณค่าของสิ่งนั้นบนโลกดิจิทัล ไว้ เช่น การขายคลิปวิดิโอสั้น GIF ภาพถ่าย หรือแม้แต่การขายข้อความสั้นๆ บนโลกออนไลน์อย่างที่แจ๊คทำ
แต่หากกระบวนการของ NFT สามารถดำเนินไปแบบนี้ได้ คำถามต่อมาก็คือ แล้วเราจะซื้อ NFT ไปทำไมกัน เพราะนอกจากเราจะได้แค่ของที่ลอยอยู่ในอากาศ ไม่สามารถที่จะจับต้องได้แล้ว ในอีกแง่หนึ่งต้องไม่ลืมว่าลิขสิทธิ์ของอะไรก็ตามที่เราซื้อมาก็จะยังคงเป็นของผู้สร้างสรรค์สินค้านั้นๆ ด้วย
ตัวอย่างที่เห็นชัดคือเหตุการณ์ที่ Vignesh Sandaresan ซื้องานคอลลาจที่เป็นการนำภาพมาต่อๆ กัน ก่อนจะแปลงเป็น NFT บนเว็บไซต์ของ Mike Winkelmann ที่ชื่อ Everydays: The First 5000 Days ไปเป็นมูลค่ากว่า 69 ล้านเหรียญ ข่าวนี้ขึ้นหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์หลายฉบับและมีผู้ออกมาวิจารณ์ว่า “ผมไม่เข้าใจว่าเขาจะซื้อภาพนั้นทำไม ผมเข้าไปดูภาพนั้นกี่ครั้งก็ได้โดยที่ไม่ต้องจ่ายอะไรเลย” ซึ่งนี่เป็นจุดที่ทำให้ NFT ยังคงเป็นที่ถกเถียงในหมู่ผู้ซื้อขายและในหมู่นักลงทุนจำนวนมาก
เพราะแม้ว่าสิ่งที่ผู้ซื้อ NFT ได้ไปจากการซื้อภาพชั่วขณะประทับใจของนักกีฬาสักคนหนึ่ง ภาพ ดิจิทัล หรืออาจจะซื้อเสียงลอยๆ ของเครื่องดนตรีแจ๊ส จะเป็นกรรมสิทธิ์ในฐานะผู้ครอบครองผลงานแต่เพียงผู้เดียว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าบางงานบางชิ้นอาจถูกทำซ้ำได้อย่างง่ายดาย หรือคุณค่าที่มีอาจไม่ได้ยั่งยืนหรือน่าประทับใจเท่าไหร่นักในโลกแห่งความจริง แต่อย่างไรก็ตาม คำยืนยันของนักลงทุนที่ชื่นชอบ NFT หลายๆ คนก็ยังพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “มันก็เหมือนการขอลายเซ็นคนดังนั่นแหละ ถ้ามันไร้ความหมาย คุณจะขอไว้ทำไมล่ะ ลอกลายเอาก็ได้ นั่นแหละเหตุผลของ NFT”
ความน่าสนใจของ NFT ในปี 2021
ตั้งแต่ NFT เข้าตลาดและเริ่มมีการใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้นเรื่อยๆ แนวโน้มของสินทรัพย์ดิจิทัล ชนิดนี้ก็ยังไม่มีแนวโน้มจะตกลงมาแต่อย่างใด เว็บไซต์เก็บข้อมูล NFT ที่ได้รับการยอมรับทั่วโลกอย่าง NonFungible.com เผยว่าในปี 2017 อัตราการเติบโตของผู้ใช้ NFT ขึ้นสูงถึง 17% แล้วหลังจากนั้นในปี 2020 เพียงปีเดียวก็เติบโตขึ้นอีกกว่า 50% และที่น่าตกใจกว่านั้นก็คือตัวเลขซื้อขาย NFT ในอาทิตย์แรกของปีที่ผ่านมาเพียงอาทิตย์เดียวมีมูลค่าถึง 1 ล้านเหรียญ
จากตัวเลขนี้ อะไรที่ทำให้ NFT กลายเป็นสินทรัพย์ที่น่าจับตามองในปี 2021 หรือในอนาคตอีกหลายปีข้างหน้ากันแน่ เพราะอย่างที่เราได้คุยกันไปแล้ว หากวัดกันแค่การเปลี่ยนงานสร้างสรรค์เป็นผลงานดิจิทัล การใช้ NFT ก็ยังคงมีปัญหาบางอย่างที่ทำให้เป็นที่ถกเถียงต่อไป แต่แม้จะเป็นอย่างนั้น ก็มีผู้พัฒนาบิตคอยน์และ Blockchain หลายๆ คน อาทิ @Dclblogger ที่ได้คาดการณ์ไว้ว่าจะมีอย่างน้อย 25 วงการที่มีในโลกตอนนี้ที่จะโดนแทรกแซงโดย NFT ผ่านรูปแบบที่แตกต่างกัน
Digital Collectibles การสะสมคุณค่าทางใจแนวใหม่ นอกจาก NFT จะเป็นทางออกของผู้สร้างสรรค์งานศิลปะและเปิดทางให้นักสะสมทั่วทุกมุมโลกเข้ามาเป็นเจ้าของกันได้แล้ว NFT ยังมีส่วนเปลี่ยนวิธีหรือเปลี่ยนความเข้าใจเรื่องนี้ใหม่ในอนาคตด้วย เพราะ NFT จะทำให้บทบาทของธุรกิจแกลเลอรี่และพ่อค้าคนกลางที่จัดหางานศิลปะหมดไป เรื่องนี้จะกลายเป็นเรื่องใหญ่พอสมควร เพราะเงินหมุนเวียนส่วนใหญ่ของวงการศิลปะหลั่งไหลไปที่การจัดนิทรรศการ และการแสดงผลงานในระดับต่างๆ กัน แต่ NFT กำลังจะทำให้เราไม่ต้องไปเดินตามที่ต่างๆ เพื่อหาหรือซื้อภาพที่ตัวเองชื่นชอบ แต่เพียงแค่คลิกเดียวก็สามารถจับจองกรรมสิทธิ์รูปภาพใดก็ได้
เมื่อเป็นแบบนี้ NFT ย่อมจะเปลี่ยนรูปแบบการเซ็นสัญญาผลงานสร้างสรรค์ต่างๆ ด้วย เพราะศิลปินจะสามารถเพิ่มมูลค่าผลงานตัวเองทุกครั้งที่กรรมสิทธิ์ถูกเปลี่ยนมือจากผู้ถือครองคนหนึ่งไปสู่อีกคน เราอาจลองคิดภาพนักฟุตบอลชื่อดังที่เป็นเจ้าของ Footage การซ้อมของตัวเอง แล้วเอามาปล่อยแบบ NFT แน่นอนว่าเขาสามารถที่จะเลือกตัดขายหรือประมูลช็อตความประทับใจสั้นๆ ของตัวเองก็ได้ ซึ่งถ้าสิ่งนี้กลายเป็นเรื่องปกติในอนาคต แน่นอนว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงสัญญาค่าตัวในหลายอาชีพ และจะต้องมีกฎหมายจัดการให้สอดคล้องกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน
การเปลี่ยนแปลงโลกของ Gaming แม้ตอนนี้การสตรีมมิ่งเกมจะกลายเป็นอีกอาชีพหนึ่งที่ทำรายได้หลักให้หลายๆ คนไปแล้ว แต่การเข้ามาของ NFT จะทำให้วงการเกมมิ่งขยายใหญ่มากขึ้นไปอีก เพราะการเล่นเกมจะกลายเป็นเรื่อง “Play2Earn” อย่างแท้จริง เราอาจไม่เห็นภาพการนำของในเกมมาแลกของในความเป็นจริงอีกต่อไปแล้ว เพราะ NFT จะทำให้เกมเมอร์สามารถรับเงินสดๆ ขณะที่กำลังสตรีมมิ่งได้เลย ใครเล่นเก่งแค่ไหนก็รับรายได้ไปเท่านั้น และแน่นอนว่าระบบนี้ยังทำให้รายได้จากการเล่นเกมมากขึ้น บวกกับความปลอดภัยที่มาพร้อมกับ Blockchain ด้วย เรียกว่าพลิกโฉมวงการจากหน้ามือเป็นหลังมือกันเลยทีเดียว
Virtual World ที่ไม่ได้แค่เสมือนจริงอีกต่อไป นอกจากการเปลี่ยนเงินของวงการเกมมิ่ง เราอาจได้เห็นโลกเสมือนจริงที่ไม่ใช่แค่อะไรที่อยู่ในจออีกต่อไป เพราะเมื่อ NFT ผสานเข้ากับ AR และ VR และผนวกกับแพลตฟอร์มโลกเสมือนที่กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง NFT จะเอื้อให้ผู้คนเข้าไปสร้างโลกเสมือนของตัวเองได้มากขึ้น และทำสิ่งที่เหมือนจะอยู่แค่ในจินตนาการให้กลายเป็นความจริงออกมา
ซึ่งแบรนด์รองเท้ายักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง Nike ก็เห็นประโยชน์ของเรื่องนี้จึงริเริ่มทำแคมเปญขายรองเท้าตัวเองบน Blockchain ที่ชื่อว่า CryptoKicks ซึ่งจะให้ลูกค้าเข้าไปออกแบบและเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ของเท้าที่มาจากการสร้างสรรค์ของตัวเองแต่เพียงผู้เดียว ถ้าหากแคมเปญนี้แพร่ขยายได้ในระดับสขาเมื่อไหร่ก็จะต้องถือว่าพลิกคิดเกี่ยวกับการ Customize สินค้าไปอีกระดับหนึ่งเลยทีเดียว
ถ้าได้อ่านบทความนี้แล้วไม่อยากตกขบวนก็อย่ารอช้า รีบศึกษาเกี่ยวกับ Blockchain และ NFT ไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะไม่แน่ว่านอกจากจะได้ปรับตัวกับกระแสที่กำลังมาแรงในขณะนี้แล้ว หลายๆ คนอาจจะสามารถพลิกให้เป็นโอกาสใช้เป็นช่องทางเพิ่มรายได้ของตัวเองอีกวิธีหนึ่งด้วย
บทความอ้างอิง
Bsteh, Sheila, and Prof Dr Filip Vermeylen. "From Painting to Pixel: Understanding NFT artworks."
(2021).
Chuen, David LEE Kuo, Li Guo, and Yu Wang. "Cryptocurrency: A new investment opportunity?." The
Journal of Alternative Investments 20.3 (2017): 16-40.
https://www.theverge.com/2021/3/5/22316320/jack-dorsey-original-tweet-nft-cent-valuables
https://www.theverge.com/22310188/nft-explainer-what-is-blockchain-crypto-art-faq
https://www.linkedin.com/pulse/why-2021-year-non-fungible-tokens-nfts-ruben?fbclid=IwAR1tbapG5d81XEplAyqckyXKTM3zLwpCx_v2wVrX4LgRdZ4B7Qk0lTcKKMQ