ในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง มีข้อกังวลว่า “ผู้สูงวัย” ที่ตามไม่ทันจะกลายเป็นกลุ่มคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง และสถานการณ์โควิด-19 อาจกลายเป็นตัวเร่งให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล (Digital Divide) เนื่องด้วยผู้สูงวัยเป็นกลุ่มเสี่ยงในการติดเชื้อ ในหลายๆ ประเทศจึงได้มีการขอความร่วมมือให้ผู้สูงวัยกักตัวอยู่บ้าน และงดการเข้าเยี่ยมบ้านพักคนชรา การติดต่อสื่อสารและการเรียนรู้ได้ถูกย้ายไปสู่โลกออนไลน์ ในขณะที่ผู้สูงวัยหลายคนยังรู้สึกประหม่ากับการใช้อินเทอร์เน็ต แอพพลิเคชั่น และโปรแกรมต่างๆ
ผลวิจัยของ Pew Research ในปี ค.ศ. 2017 เผยว่า 3 ใน 4 ของผู้สูงวัยที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ต้องการคนช่วยแนะนำการใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และ 1 ใน 3 รู้สึกไม่มั่นใจว่าตนมีความสามารถในการใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเว็บไซต์ ผู้สูงวัยจำนวนมากเผชิญอุปสรรคในการใช้อุปกรณ์ดิจิทัลเพื่อติดต่อสื่อสารกับเพื่อนฝูงและครอบครัว ในช่วงเวลาแห่งความโดดเดี่ยวที่พวกเขาต้องการกำลังใจมากที่สุด
เรียนรู้โดยมีผู้ช่วยประคับประคอง
เจน โคห์น วัย 84 ปี อาศัยอยู่เพียงลำพังในนิวยอร์ก ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เธอต้องนัดพบแพทย์ผ่านระบบออนไลน์ การเข้าคอร์สบำบัด และการเรียนวิชาสถาปัตยกรรมและผังเมืองถูกย้ายไปอยู่บน Zoom ซึ่งเจนไม่เคยใช้แอพนี้มาก่อนเลย รวมทั้งยังประสบปัญหากับการใช้วิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ด้วยเหตุนี้เธอจึงจำเป็นต้องพึ่งบริการของเทคสตาร์ทอัพอย่างเช่น Candoo ที่ให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์ และช่วยให้เธอสามารถผ่านการเรียนออนไลน์ไปได้ อย่างไรก็ตาม เจนคิดว่าอุปสรรคในการใช้เทคโนโลยีสร้างความรู้สึกตึงเครียดให้กับเธออย่างมาก
เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล องค์กรบางแห่งและอาสาชุมชนในประเทศสหรัฐอเมริกาได้จัดตั้งสายด่วน และจัดกิจกรรมเวิร์กชอปเพื่อแนะนำการใช้อุปกรณ์ดิจิทัลเบื้องต้นให้แก่ผู้สูงวัย ในสถานพยาบาลและบ้านพักคนชรา มีการมอบหมายให้เจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกให้ผู้สูงวัยที่ประสบปัญหาการใช้งานสมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก สอนการใช้ FaceTime, Skype, Zoom เป็นสื่อกลางในการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้สูงวัยกับครอบครัว บ้านพักคนชราบางแห่งในรัฐแมรีแลนด์ นำเครื่องเล่นเกม Nintendo Wii และโปรแกรมดนตรีบำบัด SingFit มาใช้จัดกิจกรรมสันทนาการให้กับผู้สูงวัย
ตัวอย่างโครงการที่น่าสนใจ ได้แก่ Teeniors กิจการเพื่อสังคมในรัฐนิวเม็กซิโก ที่มีการจัดคอร์สติวฟรีให้กับผู้สูงวัย โดยให้อาสาสมัครหนุ่มสาวมาเป็นพี่เลี้ยงสอนการใช้งานอุปกรณ์ดิจิทัลแบบตัวต่อตัว ซึ่งผู้เรียนสามารถเรียนรู้ตามอัธยาศัย ขอให้อาสาสมัครสอนอะไรก็ได้ เช่น การใช้อีเมล วิดีโอคอล อัพโหลดหนัง แชร์รูปภาพ หรือสอนการใช้แอพและโปรแกรมต่างๆ เป้าหมายของ Teeniors คือการส่งเสริมให้ผู้สูงวัยสามารถใช้เทคโนโลยีเพื่อติดต่อสื่อสารกับครอบครัว เชื่อมต่อกับชุมชนและสังคมโลก โครงการนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2015 และจนถึงปัจจุบันได้สอนผู้สูงวัยไปแล้วถึง 3,000 คน สร้างงานให้กับวัยรุ่นหนุ่มสาวกว่า 50 คน
อาสาสมัครในโครงการ Teeniors กำลังสอนการใช้งานอุปกรณ์ดิจิทัลกับผู้สูงวัย
Photo : Megan Kamerick/KUNM
ทลายกำแพงเทคโนโลยีด้วย ‘คนกลาง’
เกล็น วอลล์ รองประธานศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต U3A Network Victoria ประเทศออสเตรเลีย กล่าวว่า ในชุมชนผู้สูงวัยจำเป็นต้องมี “คนกลาง” ที่เชื่อมต่อการสื่อสาร เป็นคนที่ใช้เทคโนโลยีเป็น หรือพยายามเรียนรู้การใช้งาน และสามารถนำประสบการณ์นั้นมาถ่ายทอดให้กับผู้อื่นได้
เกล็นยกตัวอย่างของคุณยายจิลเลียน ชีแธม วัย 74 ปี ที่สามารถจัดประชุมออนไลน์กับเพื่อนๆ ชมรมหนังสือผ่าน Zoom เป็นครั้งแรกได้สำเร็จ โดยความช่วยเหลือของลูกสาว-นาโอมิ ซึ่งคอยช่วยสอนคุณแม่แบบค่อยเป็นค่อยไป เริ่มต้นจากการสอนให้จิลเลียนหัดใช้วิดีโอคอลบน WhatsApp ก่อน เพื่อให้เคยชินกับการใช้กล้องมือถือ นาโอมิจับจุดสำคัญได้อย่างหนึ่งว่าการสอนผู้สูงวัยให้ได้ผลนั้นจะต้องทำ “โพย” หรือคู่มือลัดที่เข้าใจง่าย โดยเธอจะแคปภาพหน้าจอไปทีละขั้นตอน และใช้คำบรรยายให้น้อยที่สุด ซึ่งคุณยายจิลเลียนก็ได้นำโพยที่ลูกสาวทำมาให้ส่งต่อไปให้กับเพื่อนๆ ในชมรมด้วย
อีกกรณีศึกษาหนึ่งคือ อาวีนา เต อาโม รับหน้าที่ดูแลคุณแม่วัย 70 ปีที่ป่วยเป็นอัลไซเมอร์ ซึ่งปกติแล้วเธอจะคอยพาแม่ไปเรียนเต้นรำ ออกกำลังกายแอโรบิกบนเก้าอี้ และรำไท้เก๊ก แต่สถานการณ์โควิดทำให้ทุกอย่างต้องย้ายไปสู่โลกออนไลน์หมด อาวีนากับแม่ต้องติดต่อสื่อสารกันผ่านทางอีเมลและ WhatsApp ประสบการณ์ของอาวีนานำมาสู่การสร้างกลุ่มใน Facebook และกำลังสร้างช่องวิดีโอบน YouTube เพื่อแบ่งปันสิ่งที่เธอเรียนรู้เกี่ยวกับการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีกับผู้สูงวัยให้กับเพื่อนสมาชิกในชมรม
ใช้เทคโนโลยีเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างวัย
นอกจากอุปกรณ์อัจฉริยะ (Smart Devices) ที่ใช้งานง่ายสำหรับผู้สูงวัยและราคาไม่แพงจนเกินไป เช่น Amazon's Echo Show, The Facebook Portal และ Google's Nest Hub Max แล้ว ครอบครัว
ฮิลยาร์ดในเมืองเบลฟาสต์ ประเทศไอร์แลนด์เหนือ ได้นำลำโพงอัจฉริยะ Toniebox [1] ที่ออกแบบมาสำหรับเด็ก มาเป็นตัวช่วยในการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างตายายกับหลานๆ ที่ต้องพลัดพรากอยู่ห่างกัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ แต่จำต้องหยุดการพบปะใกล้ชิดในช่วงล็อคดาวน์ ซึ่งคุณแม่เมดห์ ฮิลยาร์ด ได้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการให้คุณยายวอร์ดวัย 69 ปี กับคุณตาฮิลยาร์ดวัย 76 ปี ใช้แอพมือถืออัดเสียงเล่านิทานส่งมาให้หลานชายทั้งสอง - โรรี วัย 3 ขวบ และฟินน์ วัย 18 เดือนได้ฟังก่อนนอนผ่านทางลำโพง Toniebox นี้
เคล็ดลับการสอนเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้แก่ผู้สูงวัย
เว็บไซต์ Papa Blog ได้สรุปแนวทางการสอนเทคโนโลยีให้แก่ผู้สูงวัยไว้ 9 ข้อ คือ
1. อธิบายให้เห็นความสำคัญ เช่น การใช้แอพสื่อสารจะช่วยให้คุณปู่คุณย่าสามารถติดต่อกับเพื่อนเก่า หรือคุยกับหลานตัวน้อยได้
2. ใช้ภาษาง่ายๆ
3. สอนแบบค่อยเป็นค่อยไป
4. จดบันทึก โดยให้ผู้สูงวัยเขียนขั้นตอนลงในบันทึกช่วยจำ เมื่อไหร่ที่ลืมก็สามารถย้อนดูรายละเอียดในสมุดนั้นได้
5. ความอดทนคือหัวใจสำคัญ
6. เสริมสร้างความมั่นใจ เช่น แสดงความยินดีกับความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ เมื่อผู้สูงวัยทำถูกต้อง จะช่วยให้พวกเขามีกำลังใจทำต่อไป
7. แนะนำเว็บไซต์เรียนออนไลน์ฟรี เช่น TechBoomers, Course Square, Thai MOOC, Skill Lane
8. สร้างความเคยชิน โดยแนะนำให้ผู้สูงวัยโหลดแอพเกมปริศนา (puzzle) หรือซูโดกุ (Sudoku) เพื่อให้พวกเขารู้สึกคุ้นเคยกับการใช้ปุ่มและทัชสกรีน
9. ให้ความรู้เรื่องความปลอดภัยในการใช้อินเทอร์เน็ต แนะนำเรื่องการตั้งรหัสผ่าน และกำชับว่าอย่าส่งข้อมูลส่วนบุคคลทางอีเมลเด็ดขาด
ส่วนเว็บไซต์ Public Health Degrees ได้สรุปแนวทางการสอนผู้สูงวัยเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่จากทางไกลไว้ 5 ข้อ ดังนี้
1. เริ่มต้นกันใหม่
ผู้สูงวัยบางคนที่เคยล้มเหลวกับการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ อาจจะรู้สึกเข็ดและหมดความมั่นใจ ฉะนั้นผู้สอนจะต้องพยายามเกลี้ยกล่อมอย่างถ่อมตัว ด้วยประโยคสนทนาอย่างเช่น “คุณแม่ครับเรามาเริ่มเรียนกันใหม่กันมั้ย ผมอยากช่วยสอนวิธีสั่งยาออนไลน์ให้ ผมรู้ว่าผมอาจจะไม่ใช่ครูที่ดีนัก แต่ผมเองก็กำลังเรียนรู้อยู่เหมือนกัน” การสอนผู้สูงวัยต้องใช้ความอดทน และถ้าจำเป็นคุณก็ควรเริ่มต้นใหม่
2. มีอุปกรณ์สื่อสารสำรอง
ลองนึกถึงอุปกรณ์สื่อสารที่ผู้สูงวัยใช้งานได้คล่อง อาทิ โทรศัพท์บ้าน หรือแอพ FaceTime ซึ่งอุปกรณ์สำรองเหล่านี้สามารถนำมาใช้เป็นสื่อในการสอนผู้สูงวัยได้ เพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกกลัวการใช้อุปกรณ์ใหม่ๆ ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้สูงวัยต้องการใช้บริการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ และเขามีโทรศัพท์บ้านอยู่แล้ว คุณสามารถโทรหาเขาเพื่ออธิบายขั้นตอนการใช้แอพบนสมาร์ทโฟนได้
3. ตระหนักถึงความยากลำบากในการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ
พึงตระหนักว่าการเปลี่ยนแปลงแบบกระทันหัน และการถาโถมของข้อมูล เป็นเรื่องที่ยากลำบากสำหรับผู้สูงวัย แม้แต่คนทั่วไปก็ยังต้องใช้เวลาในการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่เป็นปีๆ แต่สถานการณ์โควิด-19 ที่มีการเรียกร้องให้ผู้สูงวัยกักตัวอยู่บ้าน เป็นตัวเร่งให้พวกเขาต้องเรียนรู้ทักษะเหล่านี้แบบเร่งรัดภายในเวลาไม่กี่วัน ฉะนั้นการสอนวิธีใช้เทคโนโลยีให้กับผู้สูงวัยจะต้องให้ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจให้มาก และกระตุ้นให้ผู้สูงวัยเปิดใจเรียนรู้
4. วัดระดับความคล่องแคล่ว
สังเกตว่าผู้สูงวัยใช้อุปกรณ์ต่างๆ ได้คล่องแค่ไหน และอย่าเผลอทึกทักไปเอง ลองดูว่าพวกเขารู้วิธีเปิด-ปิดอุปกรณ์หรือไม่ พวกเขาปิดเสียงเป็นหรือไม่ พวกเขารู้หรือไม่ว่าต้องชาร์จอุปกรณ์บ่อยแค่ไหน การสังเกตเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่บทเรียนการสอนใช้เทคโนโลยีให้กับบรรดาผู้สูงวัยได้เป็นอย่างดี
5. ใช้อุปมาโวหารที่เข้าใจง่ายและหลีกเลี่ยงศัพท์เทคนิค
ผู้สอนอาจเปรียบเปรยว่า สแปมเมล์คือเมล์ขยะ หรือเปรียบเทียบเว็บแอดเดรสกับชื่อถนน เพื่อจำลองภาพว่าการท่องเว็บไซต์ใหม่สักเว็บหนึ่งก็เหมือนกับการท่องเที่ยวในสถานที่ใหม่ๆ สักแห่ง และพึงระลึกว่าผู้สูงวัยอาจไม่คุ้นเคยกับศัพท์เทคนิคทั้งหลาย หรือแม้กระทั่งวิธีเช็คสัญญาณไวไฟ