บทเรียน รู้รอดปลอดภัย 2:
การเจ็บป่วยจากสาเหตุที่ไม่ใช่อุบัติเหตุ
การเจ็บป่วยนั้นมีหลายประเภท คือมีทั้งการเจ็บป่วยที่เกิดอุบัติเหตุอันไม่คาดคิด และการเจ็บป่วยจากสาเหตุที่ไม่ใช่อุบัติเหตุ ซึ่งเป็นการเจ็บป่วยที่เกิดจากความผิดปกติต่างๆ ของร่างกายผู้ป่วย บางครั้งอาจอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ หากไม่ได้รับการปฐมพยาบาลอย่างถูกวิธี โดยที่เด็กๆ เองก็สามารถเรียนรู้วิธีการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือชีวิตของผู้อื่นได้
อุทยานการเรียนรู้ TK park ร่วมมือกับสมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดกิจกรรม ค่ายรู้รอดปลอดภัย ซึ่งเป็นการต่อยอดมาจากกิจกรรม เตรียมตัว รู้รอด โดยครั้งนี้มาในรูปแบบของค่ายฝึกทักษะเต็มรูปแบบ เปิดโอกาสให้เด็กๆ อายุระหว่าง 9 - 12 ปี จำนวน 45 คนได้ฝึกฝนทักษะในการช่วยเหลือตนเองและผู้อื่นถึง 2 วันเต็ม ในวันที่ 16 - 17 ธันวาคมที่ผ่านมา ด้วยการเรียนรู้ทั้งทฤษฎีและการลงมือปฏิบัติจริง โดยความร่วมมือของทีมบุคลากรจากโรงพยาบาลราชวิถี, กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย, สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร, มูลนิธิร่วมกตัญญู, มูลนิธิป่อเต็กตึ้ง, ศูนย์ความปลอดภัย โรงพยาบาลรามาธิบดี และสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ
ฐานการเรียนรู้ออกเป็น 4 ฐานกิจกรรมใหญ่ๆ โดย กิจกรรมการเรียนรู้ที่ 2 การเจ็บป่วยจากสาเหตุที่ไม่ใช่อุบัติเหตุ ให้เด็กๆ ได้เรียนรู้การเจ็บป่วยในรูปแบบต่างๆ ที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุ ซึ่งเป็นอาการที่สามารถช่วยเหลือด้วยการปฐมพยาบาลผู้อื่นเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง รูปแบบกิจกรรมจึงมีการให้เด็กๆ ได้ลงมือปฏิบัติจริงๆ เพื่อเรียนรู้ขั้นตอนที่ถูกต้อง โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ มาดูแลแนะนำอย่างใกล้ชิด
การช่วยเหลือผู้ป่วยที่ประสบภาวะการอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนบน
เริ่มต้นกันด้วยฐานกิจกรรมแรกคือ การประสบภาวะการอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนบน เป็นเหตุการณ์ที่เกิดได้ง่ายและบ่อยมากในชีวิตประจำวัน อาจเป็นการประสบเหตุจากอาหารที่กินเข้าไปหรือมีสิ่งแปลกปลอมหลุดเข้าไปในช่องปาก ส่งผลให้ผู้ป่วยหายใจติดขัดหรือหายใจลำบาก ซึ่งหากไม่ได้รับการช่วยเหลือโดยด่วน อาจอันตรายถึงชีวิตได้
พี่ๆ จากมูลนิธิร่วมกตัญญู ได้สอนวิธีการช่วยเหลือผู้ป่วยจากด้านหลัง เพื่อให้สิ่งแปลกปลอมที่อุดกั้นทางเดินหายใจอยู่หลุดออกมาด้านหน้า กะระยะโดยการวัดระยะด้วยฝ่ามือจากหน้าท้องขึ้นมาถึงกะบังลมหน้า แล้วกอดเข้าหาตัวประมาณ 5 - 6 ครั้ง เพื่อให้สิ่งแปลกปลอมหลุดออกมาจากปากของผู้ป่วย
แม้จะเป็นวิธีการง่ายๆ ที่สามารถช่วยเหลือชีวิตผู้อื่นได้ แต่ขณะเดียวกันมักจะมีเหตุการณ์ที่เพื่อนๆ ของเด็กๆ มักจะแสดงอาการแกล้งเพื่อนว่าตนเองกำลังหายใจไม่ออก ซึ่งหากไม่แน่ใจว่าเพื่อนแกล้งเล่นหรือเป็นจริงๆ พี่ๆ แนะนำว่าให้ประเมินว่าเป็นอาการจริงไว้ก่อน แล้วรีบช่วยเหลือทันที
การช่วยเหลือผู้ที่ป่วยเป็นโรคลมชัก
ในฐานกิจกรรมต่อมา คือการช่วยเหลือผู้ที่ป่วยเป็นโรคลมชัก โดยคำแนะนำจากพี่ๆ จากมูลนิธิป่อเต็กตึ้ง ซึ่งอาการลมชักเป็นอาการที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติของระบบประสาทหรือความผิดปกติของระบบไฟฟ้าในสมองที่พบบ่อย ผู้ป่วยมักมีอาการชักเกร็ง กระตุก กัดฟัน และน้ำลายฟูมปาก
พี่ๆ แนะนำว่า เมื่อพบผู้ป่วยอย่างแรกให้ตั้งสติของตนเองก่อน แล้วจึงเริ่มลงมือช่วยเหลือ โดยการจัดท่าผู้ป่วยให้นอนลงในท่าที่ปลอดภัย คลายเสื้อผ้าให้หลวม โดยมากแล้วอาการชักจะเกิดขึ้นประมาณ 3 นาที ในระหว่างนั้นไม่ควรจะยึดหรือรั้งแขนขาของผู้ป่วย เพราะอาจทำให้กระดูกหักได้ และที่สำคัญคืออาการกัดฟัน ซึ่งคนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่า ผู้ป่วยพยายามกัดลิ้นตนเองจนอาจเสียชีวิต จึงพยายามนำวัสดุต่างๆ มาใส่ไว้ในปากเพื่อป้องกันการกัดลิ้น แต่ความจริงแล้ว เมื่อเกิดอาการจริงๆ ผู้ป่วยจะกัดฟันตนเองก่อน จึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้ป่วยจะกัดลิ้น และการนำสิ่งของใส่เข้าไปในปากของผู้ป่วยอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บได้
หลังจากนั้นจึงจัดท่าผู้ป่วยให้อยู่ในท่าพักคอย จัดตะแคงศีรษะไปด้านข้างเพื่อป้องกันการสำลักน้ำลาย เพื่อรอการช่วยเหลือ โดยการโทรเบอร์ 1669 เพื่อให้ศูนย์กู้ชีพมาช่วยเหลือต่อไป
การช่วยเหลือผู้ป่วยที่หมดสติหรือหยุดหายใจ
การช่วยเหลือผู้ป่วยที่หมดสติหรือหยุดหายใจ ด้วยการทำ CPR หรือการปั๊มหัวใจ มักเห็นได้บ่อยๆ ในละครหรือภาพยนตร์ แต่โดยส่วนมากมักจะเป็นการทำแบบผิดวิธี พี่ๆ จากโรงพยาบาลราชวิถี จึงให้เด็กๆ ได้ทดลองการปั๊มหัวใจด้วยอุปกรณ์หุ่นจำลองเสมือนจริง เพื่อเรียนรู้ขั้นตอนที่ถูกต้อง
วิธีที่ถูกต้องของปฏิบัติการฟื้นคืนชีพเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่หัวใจหยุดเต้นหรือหยุดหายใจกะทันหัน มีขั้นตอนแบบจำง่าย ด้วยหลัก 6 ป. ต่อไปนี้
ปลอดภัย ตรวจสอบความปลอดภัยของสถานที่ ไม่เคลื่อนย้ายผู้ป่วยหากไม่จำเป็น
ปลุก เช็คการรู้สึกตัวด้วยการตบที่บ่าของผู้ป่วยทั้งสองข้างแรงๆ
ประกาศ หากผู้ป่วยไม่ตอบสนอง ให้ขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้างหรือโทร. 1669 โดยเร็วที่สุด
ปั๊ม ให้ลงมือทำ CPR ด้วยวิธีที่ถูกต้อง จนกว่าทีมช่วยเหลือจะมาถึง
เป่า ให้ช่วยหายใจด้วยการเป่าปาก 2 ครั้ง ครั้งละประมาณ 1 วินาที สลับกับการกดหน้าอก 30 ครั้ง หากไม่มั่นใจเรื่องความปลอดภัย สามารถข้ามขั้นตอนนี้ได้
แปะ หากสามารถหาเครื่อง AED หรือเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้า ให้ทำตามสัญญาณของเครื่องจนกว่าทีมช่วยเหลือจะมาถึง
แม้ว่าสรีระของเด็กๆ บางคนอาจจะไม่สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยด้วยวิธีการข้างต้นได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่การเรียนรู้วิธีที่ถูกต้องไว้ก่อน ก็สามารถบอกให้ผู้ใหญ่สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างถูกต้อง เรียกได้ว่าเป็นทักษะติดตัวที่สามารถนำไปใช้ เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดได้จริงๆ
วิชญ์พล พลพิทักษ์ชัย