|
สำนักงานอุทยานการเรียนรู้ร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติ จัดแถลงข่าวผลสำรวจการอ่านของประชากร พ.ศ. 2561 เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2562 มีการนำเสนอผลสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 55,920 ครัวเรือน ทั่วประเทศ และการจัดทำหนังสือ ‘เข็ม’ รวบรวมข้อมูลความเปลี่ยนแปลงในรอบ 10 ปีของทศวรรษแห่งการอ่าน (พ.ศ.2552-2561) ข้อมูลต่างๆ รวมถึงข้อสังเกตจากผลการสำรวจ ตลอดจนเนื้อหาในหนังสือจะทยอยนำมาลงเป็นตอนๆ ตลอดเดือนเมษายนจนถึงมิถุนายน
|
ผลสำรวจการอ่าน พ.ศ. 2561 ยังพบว่าการอ่านจากหนังสือกระดาษและจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์กำลังจะมีสัดส่วนใกล้เคียงกัน คือร้อยละ 88.0 อ่านหนังสือกระดาษ และร้อยละ 75.4 อ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ กระนั้นก็ดี พึงสังเกตว่าการอ่านประเภทหลังนั้นส่วนใหญ่เป็นการใช้โซเชียลมีเดียและอินเทอร์เน็ต (เกือบร้อยละ 70) หากย้อนดูข้อมูลการสำรวจครั้งก่อนซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการปรับนิยามการอ่านให้ครอบคลุมถึงการอ่านผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ด้วย จะพบว่าการอ่านหนังสือกระดาษและอ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ยังมีความแตกต่างกันมาก คือร้อยละ 96.1 และ 54.9 ตามลำดับ ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการอ่านหนังสือกระดาษลดลงทีละน้อย ส่วนการอ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
เมื่อจำแนกตามช่วงอายุยังพบอีกว่า เยาวชนวัยรุ่นอายุ 15-24 ปีเป็นเพียงกลุ่มเดียวที่อ่านจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์มากกว่าหนังสือกระดาษ คืออ่านจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์ร้อยละ 96.7 อ่านหนังสือกระดาษร้อยละ 84.7 และเป็นการใช้โซเชียลมีเดียสูงที่สุดถึงร้อยละ 89.9 แสดงให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่างแพร่หลาย และอุปกรณ์สื่อสารเหล่านั้นมีอิทธิพลอย่างสูงต่อการพฤติกรรมการอ่าน
เมื่อพิจารณาเชิงพื้นที่ระหว่างในและนอกเขตเทศบาล การอ่านของกลุ่มวัยรุ่นเปรียบเทียบสองพื้นที่มีความใกล้เคียงกันมากคือร้อยละ 93.9 และร้อยละ 92.1 ตามลำดับ จนอาจกล่าวได้ว่าลักษณะความเป็นเมืองหรือความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานเมืองไม่มีผลต่อการอ่านในกลุ่มวัยรุ่นเท่าไรนัก ตราบใดที่โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีและอุปกรณ์การสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์สามารถเข้าถึงได้สะดวกทั่วถึง พฤติกรรมของวัยรุ่นซึ่งเป็นกลุ่มที่สนใจความทันสมัย อยากรู้อยากเห็น อยากสื่อสาร และอยากแสดงออก เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ได้เร็ว (แต่ไม่ได้หมายถึงมีทักษะการรู้ดิจิทัลเสมอไป) เป็นเงื่อนไขสนับสนุนให้การอ่านเกิดขึ้นได้อย่างเท่าเทียม โดยไม่มีข้อจำกัดว่าด้วยความเป็นเมืองและชนบท